ในปี 2566 ประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 หลังจากที่คนไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารมาเกือบ 10 ปี การเลือกตั้งดังกล่าวทำให้คนไทยได้รัฐบาลผสมนำทีมโดยพรรคเพื่อไทย และมีนายกชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ซึ่งเดือนพฤษภาคมนี้จะครบรอบ 1 ปีของการเลือกตั้ง ทางสถาบันพระปกเกล้าร่วมกับสำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด ทำแบบสำรวจความคิดเห็นและวิเคราะห์ เรื่อง ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี: 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวน 1,620 ตัวอย่าง โดยได้การทำสำรวจตั้งแต่ช่วงวันที่ 7 – 18 พฤษภาคม 2567 โดยมีผลสำรวจที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
7 อันดับที่ประชาชนอยากได้เป็น ‘นายก’ มากที่สุดในช่วงเวลานี้ เรียงตามลำดับ ดังนี้
- พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 46.9%
- พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 17.7%
- แพทองธาร ชินวัตร 10.5%
- เศรษฐา ทวีสิน 8.7%
- อนุทิน ชาญวีรกูล 3.3%
- จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 1.7%
- พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ 0.4%
โดยหากสังเกตจากลำดับจะเห็นว่าอันดับ 1 ยังคงเป็น ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ จากพรรคก้าวไกลที่ปีที่แล้วชนะการเลือกตั้งด้วยเสียง 14 ล้านเสียงแต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนอันดับ 3 คือ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ จากพรรคเพื่อไทย และนายกคนปัจจุบันอย่าง ‘เศรษฐา ทวีสิน’ อยู่ลำดับที่ 4
เมื่อพูดถึงคำถามที่ว่า หากมีการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อในช่วงนี้จะเทคะแนนให้กับพรรคอะไร ผลที่ได้อันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล แบ่งเป็นแบบแบ่งเขต 35.7% แบบบัญชีรายชื่อ 44.9% อันดับที่ 2 คือ พรรคเพื่อไทย แบ่งเป็นแบบแบ่งเขต 18.1% แบบบัญชีรายชื่อ 20.2% อันดับ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย แบ่งเป็นแบบแบ่งเขต 11.2% แบบบัญชีรายชื่อ 3.5%
นอกจากนี้ทางสถาบันพระปกเกล้า ได้นำข้อมูลจากการทำสำรวจทั้งหมดมาทำการประมาณที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองว่า หากมีการเลือกตั้งในช่วงนี้แต่ละพรรคการเมืองจะได้ที่นั่งประมาณเท่าไหร่ และพบว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสได้ 208 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ 105 ที่นั่ง, พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสได้ 61 ที่นั่ง, พรรครวมไทยสร้างชาติมีโอกาสได้ 34 ที่นั่ง, พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้ 30 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสได้ 22 ที่นั่ง, พรรคชาติไทยพัฒนามีโอกาสได้ 10 ที่นั่ง, พรรคประชาชาติมีโอกาสได้ 9 ที่นั่ง และพรรคการเมืองอื่น ๆ 21 ที่นั่ง
นอกจากนี้อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือ สถาบันพระปกเกล้า ได้นำข้อมูลจากแบบสำรวจไปเทียบเคียงกับผลการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว พบว่า พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น (จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต) ได้แก่ พรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น 9.67% และพรรคประชาชาติเพิ่มขึ้น 0.35%
ส่วน 3 อันดับพรรคที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง (จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต) ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ลดลง 7% พรรคพลังประชารัฐลดลง 3.41% และพรรคภูมิใจไทย ลดลง 2.64%
ส่วนพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น (จากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ) 3 พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ได้แก่ พรรคก้าวไกล เพิ่มขึ้น 8.33%, พรรคพลังประชารัฐ เพิ่มขึ้น 1.62%, พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้น 0.66% พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมลดลง (จากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ) ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ลดลง 7.49%, พรรครวมไทยสร้างชาติ ลดลง 1.18%, พรรคประชาชาติ ลดลง 0.24%
อย่างไรก็ดี จากตัวเลขจะพอเห็นภาพว่า จากผลการสำรวจพอจะสรุปผลได้ว่า พรรคเพื่อไทยที่กำลังสวมหมวกรัฐบาลอยู่ ณ ขณะนี้กำลังมีคะแนนความนิยมลดลง และพรรคก้าวไกลมีคะแนนความนิยมพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มจะได้ที่นั่งสูงที่สุด หากมีการเลือกตั้งในช่วงนี้นั่นเอง
อ้างอิง
- https://www.kpi.ac.th/knowledge/research/data/1440
- https://thaipublica.org/2024/05/survey-found-that-most-people-still-vote-for-the-move-forward-party