กรุงเทพฯ - Bangkok

“เปลี่ยนป้ายทำไม ของเก่าก็ดีอยู่แล้ว”

ใจความสำคัญของเสียงตอบรับจากผู้คนหลากหลายต่อดรามาเมื่อวันนี้ในปีที่แล้ว หลังจากที่ กทม. แปลงโฉมพื้นที่ใจกลางเมืองสุดฮิตอย่าง ‘Skywalk แยกปทุมวัน’ ซึ่งเปลี่ยนตัวเองจากแค่แยกสำคัญแยกหนึ่ง กลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่เชื่อมสถานี BTS สนามกีฬาแห่งชาติ, หอศิลป์กรุงเทพฯ, MBK Center, Siam Discovery และ Siam Square เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ

พื้นที่ทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่ใช้สัญจรข้ามตัวอาคารในแต่ละมุมของแยก เป็นพื้นที่ที่แฟนคลับมายืนรอดูศิลปินขึ้นจอหน้าอาคาร MBK Center และที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ที่ชาวต่างชาติมายืนถ่ายรูปกับป้าย ‘Bangkok…City of life’ หรือ ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’ แคมเปญเก่าตั้งแต่สมัยผู้ว่าฯ อภิรักษ์ โกษะโยธิน เมื่อปี 2549 ที่แม้แคมเปญจะจบไปแล้ว สีบนป้ายจะถูกแดดแผดเผาจนซีดลงตามกาลเวลา แต่กราฟิกและสิ่งที่หลงเหลือไว้ก็คือความ Iconic และภาพจำบางอย่างที่ฝังอยู่ในความคิดผู้คนมาจนถึงตอนนี้ และแน่นอนว่าเราทุกคนรู้ว่าตอนนี้ป้ายนั้นในบริเวณนั้นได้เปลี่ยนไปกลายเป็นป้ายคำว่า ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ ไปแล้ว ปีนี้เราเลยกลับไปดูว่าตอนนี้ป้ายนั้นเป็นอย่างไร มุมมองของผู้คนที่ทั้งเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไรไปแล้วบ้าง

เกิดอะไรขึ้นกับดรามา ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ เมื่อ 1 ปีที่แล้ว

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 กทม. ปรับปรุงพื้นที่หลายส่วนให้สอดรับกับการมาถึงของอีเวนต์ใหญ่ใจกลางกรุงในช่วงนั้น คือ Pride Month ทำให้ กทม. เลือกออกแบบป้ายใหม่จาก CI กรุงเทพมหานคร โดยเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ ที่ใช้ Custom Font ‘Sao Chingcha’ ประกบข้างด้วย Signature Graphic ‘วัชระ’ อาวุธคู่กายของพระอินทร์ และมีพื้นหลังเป็นเฉดสีเขียวมรกต (PANTONE 3415 C) ที่มี Code สีคือ #00744B ก่อนที่ในวันถัดมา (30 พฤษภาคม 2567) จะมีการเปลี่ยนป้ายอีกฝั่งให้กลายเป็นป้ายเฉดสีชมพู (PANTONE 232C) ค่าสี Hex Code #ec3faa ด้วยชุดคำเดียวกัน อาจจะแตกต่างกันด้วยรายละเอียดของกราฟิกบางส่วนเท่านั้น

กรุงเทพฯ - Bangkok
กรุงเทพฯ - Bangkok
กรุงเทพฯ - Bangkok

‘เอกวรัญญู อัมระปาน’ โฆษกกรุงเทพมหานครลงพื้นที่ดูการติดตั้งในครั้งนั้นด้วยตัวเอง และเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ว่าโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จากการพูดคุยกันในวงแคบ ๆ ว่ามีกระแสความสนใจกับป้ายในบริเวณนี้เพิ่มมากขึ้น และเราควรจะทำอะไรกับมันสักอย่าง จึงเกิดการพูดคุยกันกับคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทาง ‘Farmgroup’ ผู้ดูแล Corporate Identity นี้ของกรุงเทพฯ และยังคอยช่วยเหลือด้านการนำเสนอภาพลักษณ์อยู่เรื่อย ๆ หลังส่งมอบงาน เพื่อทำให้โปรเจ็กต์การเปลี่ยนป้ายนี้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด

ไอเดียแรก ๆ ที่ตบให้เข้าที่อยู่นานเลยคือจะเอาอะไรมาอยู่บนป้ายดี มีทั้งไอเดียการใส่คำว่า ‘เมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน’ หรือการใส่ตราสัญลักษณ์พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พร้อม Logotype ‘กทม’ ลงไปเลย แต่ก็ถูกปรับแก้กันไปมา ก่อนจะรู้ตัวว่าเทศกาลสำคัญที่ทำให้สายตาทุกคู่ของสังคมจับจ้องมาบริเวณนี้อย่าง ‘Pride Month’ ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน ป้ายในธีมนี้จึงจำเป็นต้องติดตั้งไปก่อนในช่วงเวลานี้ เพื่อที่อย่างน้อยอัตลักษณ์ใหม่ของกรุงเทพฯ จะได้ถูกเผยแพร่ให้เห็นอย่างเป็นทางการและเป็นรูปธรรมเสียที ก่อนที่อนาคตอาจจะมีแคมเปญอะไรเพิ่มเติมเพื่อทำให้ป้ายบริเวณนี้เปลี่ยนหน้าตาไปก็ได้

และใครจะไปเชื่อว่าแค่การเปลี่ยนป้ายเพียง 2 ป้ายจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่อง Corporate Identity มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วข้ามคืน จากความสงสัยของทุกคนว่าเปลี่ยนป้ายทำไม คำตอบก็คือเปลี่ยนเพื่อให้มันใหม่ เข้ากับสถานการณ์ และป้ายนี้ใช้งบ 3 ล้านบาทเลยหรือ สรุปก็คือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมูลค่า 3 ล้านบาท คือค่าออกแบบ CI กรุงเทพมหานครทั้งระบบที่ทาง ‘Farmgroup’ บริษัทผู้รับออกแบบงานนี้ได้รับต่างหาก ซึ่งไม่ได้ทำแค่ป้ายนี้ แต่พวกเขารับหน้าที่หาตรงกลางของทั้งชุดสี ฟอนต์ กราฟิกโดยรวม และงานออกแบบชิ้นงานประชาสัมพันธ์อื่นเพิ่มเติม

กรุงเทพฯ - Bangkok

1 ปีผ่านไป ป้าย ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ เป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องราวนั้นก็ซาลงไป ทุกคนเริ่มชินตาขึ้นกับทั้งป้ายเหนือ Skywalk แยกปทุมวัน และ CI กรุงเทพฯ ที่ถูกใช้งานมากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราจึงลงพื้นที่ไปสำรวจป้ายและมุมมองของผู้คนบนพื้นที่อีกครั้งหลังจากผ่านดรามานี้ไปแล้ว 1 ปีเต็ม

อย่างแรกเลย สติ๊กเกอร์ดังกล่าวยังคงติดแน่นอยู่เหมือนเดิม อาจจะมีบางจุดที่น้ำเข้าบ้าง หรือมีอากาศแทรกตัวอยู่ภายใน แต่โดยรวมถือว่าผ่านมา 1 ปี ป้ายนี้ก็ยังคงสีสดใสท้าสายตาผู้ใช้รถใช้ถนน ผู้คนที่เดินผ่านไปมา และยังเป็นป้ายที่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนจำนวนมากยังคงมีบันทึกภาพร่วมกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่เรายืนสังเกตการณ์

อีกทั้งด้านหน้าป้ายเวอร์ชันสีชมพูก็มีงานศิลปะที่ต่อยอดมาจาก Custom Font ‘Sao Chingcha’ ฟอนต์ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับการออกแบบร่วมสมัยให้กลายเป็นอัตลักษณ์องค์กรของเมืองหลวงแห่งนี้ ในชื่อ ‘กรุงเทพฯ ไทโปกราฟี (Bangkok Typography)’ รูปทรงตัวอักษรคำว่า ‘กทม’ ตั้งสะท้อนแสงแดดโดดเด่นอยู่กลาง Skywalk อีกด้วย

กรุงเทพฯ - Bangkok

ความเห็นผู้คนมากมาย หลังผ่านดรามาไป 1 ปีเต็ม

ในส่วนของความเห็นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบน Skywalk แยกปทุมวันก็มีความแตกต่างกัน เริ่มจาก ‘ใหญ่’ หญิงวัย 60 ปี ที่วันนี้มาเดินเล่นและถ่ายรูปกับป้ายบน Skywalk ก่อนเราเข้าไปสอบถาม เธอมองว่าชอบแบบเก่ามากกว่า เพราะตัวอักษรมันอ่อนช้อยกว่านี้ ป้ายใหม่มันเหมือนเอาสติกเกอร์มาแปะทับเพียงเท่านั้น ทางด้าน ‘นุช’ หญิงวัย 60 ปีที่มาเดินเล่นด้วยกันมองว่าทั้ง 2 ป้าย สวยกันคนละแบบ แบบใหม่นี้ดูสดใสขึ้น 

ทางด้านของ ‘กบ’ นักเรียนชายวัย 18 ปีที่โตมาในย่านนี้ บอกว่าการเปลี่ยนป้ายทำให้รู้สึกว่าเมืองเปลี่ยนไป และการมีอยู่ของป้ายเดิม ‘Bangkok…City of life’ หรือ ‘กรุงเทพฯ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’ นั้นทำให้ผู้คนได้สะท้อนสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ได้ดีกว่า แม้จะเป็นด้านการจิกกัดก็ตาม แต่มันก็เป็นสัญลักษณ์เมืองอย่างหนึ่งที่ดีที่ถูกนำออกไปหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น และเขามองว่าคำว่า ‘กรุงเทพฯ – Bangkok’ ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นจุดเด่นกลับดูจืดลงในแง่การให้ความหมายผ่านชุดคำ 

อีกด้านหนึ่ง ‘บอส’ นักศึกษาวัย 21 ปี มองว่าป้ายนี้ถือเป็นการปรับปรุงที่ดีขึ้นจากป้ายก่อนหน้า เพราะเห็นว่ามีคนมาถ่ายรูปกันอยู่เรื่อย ๆ ปิดท้ายมุมมองของ ‘แพร’ และ ‘ใบเฟิร์น’ นักศึกษาหญิงวัย 21 ปีที่มองตรงกันว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นไปตามยุคสมัย และน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพียงแต่ดรามาที่เกิดขึ้นมาจากความไม่คุ้นเคยของผู้คน

เมื่อเราถามต่อว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่ กทม. จะเปลี่ยนป้ายในแยกอื่น ๆ อีก 4 พื้นที่ที่มีป้ายแคมเปญเก่าติดไว้อยู่ นั่นคือบริเวณแยกนานา แยกชิดลม แยกราชประสงค์ และแยกอโศก ทางด้าน ‘นุช’ และ ‘ใหญ่’ มองว่าถ้ามีการเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะป้ายเก่าสีซีดจางลงแล้ว ตรงกันกับ ‘บอส’ ที่มองว่าป้ายเหล่านี้ควรเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แตกต่างจาก ‘กบ’ ที่มองว่าถ้าเปลี่ยนใหม่ ยังอยากเห็นเป็นชุดคำเดิม อาจเปลี่ยนแค่ชุดสี หรือการออกแบบเพียงเท่านั้น เพราะชุดคำเดิมมีความ Iconic กว่านั่นเอง

กรุงเทพฯ - Bangkok

ความเห็นของ ‘แต๊บ Farmgroup’ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลังผ่านดรามานี้ไป 1 ปี

เรามีโอกาสสัมภาษณ์เรื่องนี้กับ ‘แต๊บ-วรทิตย์ เครือวาณิชกิจ’ Chief Creative Officer แห่ง Farmgroup หนึ่งในทีมผู้ดูแลโปรเจกต์การออกแบบอัตลักษณ์กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ที่งาน OBJ: Objects as Art

วรทิตย์มองว่าเหตุผลที่ผู้คนสนใจเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก มาจากการที่คนส่วนมากอาจมองว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่ กทม. ควรเอา CI ตัวเองมาใช้ อีกทั้งเวลาคนเราเจอการเปลี่ยนแปลง ทุกคนก็มีวิธีการตอบสนองไม่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่ตอบสนองด้านลบก็ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวตัดสินผลงานว่ามันเหมือนสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เคยพบเจอมาในความทรงจำ เขาเข้าใจในเรื่องนี้และเปิดโอกาสให้ผู้คนแสดงความเห็นกันอย่างเสรี จากประสบการณ์ทำงานด้านงานออกแบบหลายสิบปีทำให้เขาตระหนักรู้ได้ว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นเสมอ 

ในแง่ความตั้งใจ เขาอยากใช้ความรู้ ความสามารถที่ตัวเองมีในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบางสิ่งบางอย่างอย่างเต็มที่ แต่เขามีหน้าที่ทำได้เท่าที่พื้นที่แห่งโอกาสนั้นจะเปิดให้เขาได้กระทำเท่านั้นเอง ไม่ได้เกี่ยวว่าเพราะเป็นผู้ว่าฯ คนนี้ถึงมาทำงานให้ ไม่ว่าผู้ว่าฯ คนไหนที่ตัดสินใจสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา และหากเขาได้รับโอกาสนี้ เขาก็จะทำมันอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์อื่นไม่ได้มาก

กรุงเทพฯ - Bangkok

วรทิตย์เล่าเพิ่มเติมว่าในวันที่มีดรามาวันนั้น ทีม Farmgroup กำลังเดินทางไป Outing อยู่ที่เกาะกูด และเขาได้ให้สัมภาษณ์กับเพียงสื่อเดียวในช่วงนั้นนั่นคือ BT Beartai เนื่องจากพอจะรู้จักกัน วันนั้นทีม Farmgroup เล่าและให้คำอธิบายได้ตามเนื้อผ้า เพราะยังไม่ได้ตามดรามาดังกล่าวมากนัก และเขาก็แจ้งไปยังทีมทำงานทุกฝ่ายว่าไม่ต้องตอบความเห็น ต่อว่า หรือโต้เถียงกับความเห็นต่าง ๆ ให้รอดูสถานการณ์ก่อน

ที่น่าสนใจมากกว่านั้นเลยคือผู้คนรอบข้าง ลูกค้าที่เคยทำงาน คู่แข่งทางธุรกิจดีไซน์ เพื่อนในวงการ นักศึกษาออกแบบ และผู้ที่เข้าใจในเรื่องนี้ต่างช่วยกันมอบองค์ความรู้แก่สังคมว่า CI คืออะไร ทำไมค่าทำงานถึงได้แพงขนาดนั้น เขารู้สึกทันทีว่านี่คือสิ่งที่เจ๋งมาก เพราะวงการออกแบบมีความเป็น Community อย่างแท้จริง และวันนั้นน่าจะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่คนไทยได้ตระหนักรู้และเข้าใจเรื่องความสำคัญของ CI มากขึ้นอย่างมาก และเป็นแรงกระเพื่อมที่ดีต่อความเข้าใจในสิ่งนี้ ซึ่งจะช่วยให้แวดวงธุรกิจต่าง ๆ เห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นด้วย

เราถามเพิ่มเติมว่าหากมองย้อนกลับไปเขาอยากกลับไปแก้ไขอะไรในงานครั้งนี้บ้าง เขาใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่าแม้ปัจจุบันเราจะเห็นการใช้ CI กทม. อย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่เมื่อมองกลับไปยังชิ้นงานกราฟิกในภาพรวม มันยังคงเป็น Element Graphic ที่ไม่ได้ออกแบบมาใช้คู่กัน และ Visual Style ที่ยังไม่ได้อยู่ในกรอบแนวคิดเดียวกันในการเลือกใช้ภาพประกอบสื่อประชาสัมพันธ์ ผู้ออกแบบส่วนมากยังคงใช้แนวคิดเดิมในการออกแบบกราฟิกให้สื่อถึงความเป็นกรุงเทพฯ ด้วยการใช้ภาพกราฟิกของสถานที่สำคัญต่าง ๆ มาแปะไว้รวมกันในภาพเดียว

อีกทั้งขอบเขตของงานที่ Farmgroup ได้รับมอบหมายก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงภาพลักษณ์การนำไปใช้ในแง่นี้ ทำให้สุดท้ายงานที่หยิบเอา CI กทม. มาสื่อสารต่อยังอาจไม่สะท้อนจิตวิญญาณความเป็นกรุงเทพฯ ได้มากเท่าที่ควร เขาจึงอยากกลับไปออกแบบและกำหนดภาพรวมการนำเสนอกราฟิก และสื่อที่สะท้อนความเป็นกรุงเทพฯ (Key Visual) เพราะชิ้นงานทั้งหมดมีเพียง Template พื้นฐานเท่านั้น

ในขณะที่การออกแบบโลโก้รองคำว่า ‘กทม’ และฟอนต์ ‘Sao Chingcha’ เขามองว่าทำออกมาได้อย่างดีแล้ว จากแนวคิดแรกที่เขาพูดกับตัวเองและทีมว่าเขาตัดสินใจออกแบบทั้งโลโก้และฟอนต์ให้ดู ‘ไม่เชยตลอดไป’ ด้วยการทำให้มันดู ‘เชย’ ไปเลย ราวกับว่ากราฟิกชุดนี้ประกอบรวมไปด้วยช่วงเวลาเก่าแก่ของเมือง พร้อมกันกับกลิ่นอายเพียงบางอย่างของความทันสมัยเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาให้ดูโมเดิร์นไปเลยจนอาจดูเก่าได้เมื่อเวลาผ่านไป

เขามองว่า Farmgroup คิดถูกในเรื่องนี้ รู้สึกแฮปปี้กับทั้งโลโก้และฟอนต์ที่ได้ทำออกมา เพราะมันอยู่ได้ทั้งอดีตและอนาคต โดยเฉพาะ Custom Font ‘Sao Chingcha’ ที่ทาง กทม. อนุมัติให้ทำ เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันมีพลังและมีประโยชน์มาก ไม่ว่าใครจะเอาไปใช้จากการแจกฟอนต์แบบสาธารณะก็ตาม เราจะยังคงนึกถึงความเป็นเจ้าของของกรุงเทพมหานครเสมอเมื่อเห็นฟอนต์เหล่านี้ และในแง่ของ กทม. เองก็ควรจะยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเป็นผ่านการย้ำเตือนหน้าตาและภาพลักษณ์นี้ด้วยการใช้ซ้ำ ๆ จนเกิดภาพจำไปเรื่อย ๆ

กรุงเทพฯ - Bangkok

ปัจจุบันทาง Farmgroup ส่งมอบงานหมดแล้ว และยังคงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสำหรับการออกแบบการสื่อสาร และการใช้งานในภาพรวมได้เสมอมาเมื่อต้องการ รวมถึงยังมองว่าในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าฯ เกิดขึ้น และมีแนวคิดของการรื้อชิ้นงานอัตลักษณ์ชุดนี้ทั้งหมดทิ้ง เขาคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีการคิดใหม่ทำใหม่ เพราะผู้คนจดจำภาพลักษณ์นี้ไปเรียบร้อยแล้ว สมมติว่าผู้ว่าฯ คนใหม่จะทำของตัวเองขึ้นมาและไม่ดีเท่าเดิม คนก็จะจำของเดิมมากกว่า และเอาทั้งสองงานมาเปรียบเทียบกับงานชิ้นนี้ได้เหมือนกัน เพราะอย่างน้อยงานอัตลักษณ์ กทม. นี้ก็ได้กลายเป็นก้าวแรกที่ดีของภาพลักษณ์เมือง (City Branding) และถ้าผู้ว่าฯ คนใหม่ทำมาดียิ่งกว่า ก็จะเป็นเรื่องที่ดีขึ้นไปอีก

สุดท้ายแล้ววรทิตย์มองย้อนกลับไปยังดรามานี้ในวันนั้น เขาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นเต็มที่แล้ว และยังคงภูมิใจเสมอว่างานนี้ออกมาได้ภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขที่มีอยู่ ยอมรับคอมเมนต์ทั้งทางบวกและทางลบ และเชื่อมั่นว่าอย่างน้อยโปรเจ็กต์นี้ของเขาก็ได้พาวงการออกแบบ และ CI กทม. ขยับไปข้างหน้าในทางที่ดีขึ้น จากทั้งคณะทำงานและหน่วยงานอย่าง กทม. ที่เปิดกว้างโอกาสนี้จนเขาเรียกได้เต็มปากว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่ Dreams come true ได้อย่างแท้จริง ทำให้เขามีความหวังกับโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของภาครัฐมากขึ้น พร้อมทั้งเชื่อว่าผลลัพธ์ของงานดังกล่าวจะออกมาเมื่อกาลเวลาได้พิสูจน์ตัวเองในอนาคต

กรุงเทพฯ - Bangkok

ที่มา

AUTHOR

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป

ความสำเร็จอยู่ที่ไหน
ความสำเร็จอยู่ที่ไหน