นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลากว่า 104 ปี ที่มาสด้า รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้ปรากฏตัวในสายตาชาวโลก และเป็น 1 ในแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นยอดนิยมของคนไทยและประเทศอื่น ๆ
ในปี 1920 นั้นเองที่ Jujiro Matsuda ได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Toyo Cork Kogyo ที่เมือง Hiroshima ประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตสิ่งที่เรียกว่าจุกไม้ก๊อก แต่ด้วยผลประกอบการที่ไม่ดีนักในอีก 7 ปีถัดมา ชื่อบริษัทจึงถูกเปลี่ยนโดยตัดคำว่า Cork เหลือเพียงแค่ชื่อ Toyo Kogyo โดยในปีนั้น Toyo Cogyo ได้เปลี่ยนมาผลิตเครื่องจักรสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
จนถึงปี 1931 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์รถยนต์แบรนด์นี้ ชื่อ “มาสด้า” ถือกำเนิดขึ้นจากชื่อของ Matsuda โดยมีความหมายที่สื่อถึงความรอบรู้อันชาญฉลาดของเทพเจ้าเอเชียตะวันตก, ความเป็นอัจฉริยะ และความผสมผสานกลมกลืนของวัฒนธรรม
หากอิงจากเว็บไซต์ของมาสด้า รถยนต์คันแรกของมาสด้ามีชื่อเล่นว่า GREEN PANEL แต่มีชื่อจริง ๆ ว่า Mazda-Go ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรถสามล้อ ผสมรถกระบะ ซึ่งถูกส่งออกไปจำหน่ายยัง 2 ประเทศ เริ่มต้นที่จีนในปี 1932 และอินเดียในปี 1949
Mazda-Go ได้รับคำชมและความนิยมจากจุดเด่นเรื่องความสามารถในการควบคุมรถ
วันที่ 6 สิงหาคม 1945 เมื่อสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงที่เมือง Hiroshima วันเกิดปีที่ 70 ของ Jujiro กลายเป็นวันเกิดที่กระทบกระเทือนจิตใจมากที่สุด เพราะตัวบริษัทต้องสูญเสียคนงาน และครอบครัวไปเป็นจำนวนมาก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด เมือง Hiroshima ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่โรงงานของมาสด้าไม่ได้รับความเสียหายมากนัก โรงงานของมาสด้าจึงกลายเป็นสถานที่กระจายเสียงของรัฐบาลญี่ปุ่น และเป็นแหล่งบัญชาการในการฟื้นฟูและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง ไม่นานเพียง 4 เดือน มาสด้าก็สามารถกลับมาผลิตรถยนต์ได้อีกครั้ง และหลังจากนั้นไม่นาน Jujiro ก็จากไป ก่อนจะส่งต่อหน้าที่การดูแลธุรกิจให้ Tsuneji Matsuda ลูกชายของเขา
ในปี 1960 เป็นช่วงที่มาสด้าได้รุกตลาดรถยนต์นั่งอย่างจริงจัง มาสด้าได้เปิดตัวรถยนต์รุ่น R360 Coupe รถยนต์สองประตู ความจุ 2 ที่นั่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง จนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาสด้าเลือกธุรกิจผลิตรถยนต์เป็นธุรกิจหลัก และทยอยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Mazda ทีละนิด จนกลายเป็น Mazda Motor Corporation โดยสมบูรณ์ในปี 1986
ในปี 1961 มาสด้าได้เซ็นสัญญาร่วมมือกับ NSU และ Wankel ในการสนับสนุนการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเครื่องยนต์โรตารี่ ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ในอุดมคติของรถสปอร์ต เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด และให้รอบเครื่องยนต์ที่สูง แต่การที่มีเครื่องยนต์ดี ก็แลกกับข้อเสียที่ว่าเครื่องยนต์ชนิดนี้กินน้ำมันมากพอสมควร โดยรุ่นแรกที่เครื่องยนต์ชนิดนี้ได้เฉิดฉาย คือ Cosmo 110S ในปี 1967 หรืออีก 6 ปีถัดมาซึ่งในปัจจุบัน มาสด้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวในโลก ที่ยังมีสิทธิ์ใช้เครื่องยนต์ชนิดนี้เพิ่มเติมจากเครื่องยนต์แบบปกติที่มีอยู่
ในปี 1970 ฟอร์ด บริษัทรถยนต์จากสหรัฐอเมริกาได้ตกลงเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 27 และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตซึ่งกันและกัน จนเมื่อปี 2008 ที่เกิดวิกฤตทางการเงิน ฟอร์ดได้ทยอยขายหุ้นของมาสด้าออกเรื่อย ๆ จนถึงปี 2015 ที่ฟอร์ดเหลือสัดส่วนการถือหุ้นในมาสด้าเพียงไม่ถึงร้อยละ 2 และมาสด้าก็กลายมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์อิสระ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของเครือใด
เมื่อปี 2020 แม้จะเป็นปีที่โควิด-19 จะแพร่ระบาดในวงกว้าง แต่ในปีนั้นก็เป็นปีสำคัญสำหรับมาสด้า เพราะในปีนั้นของชาวมาสด้าเอง ปีนั้นคือการเฉลิมฉลองปีที่ 100 ของการดำเนินธุรกิจนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1920 ที่มาสด้าได้ยึดถือวัฒนธรรมการทำงานของช่างฝีมือญี่ปุ่นที่ชื่อว่า MONOZUKURI หรือแปลว่าการผลิตสิ่งของที่มี จากฝืมือของผู้ชำนาญ โดยใช้เทคนิคที่ยึดถือตามประเพณี รวมไปถึงการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ และยังหมายถึงกิจกรรมที่ทำอะไรบางอย่างโดยใช้มือของคนในการทำ หรือเทคนิค ทักษะ และความรู้ดังกล่าว ซึ่ง 3 หัวใจหลักของหลักการทำงานแบบ MONOZUKURI คือหัวใจ ทักษะ และร่างกาย
และปัจจุบันมาสด้าก็ยังคงยึดถือหลักนี้ ในการผลิตรถยนต์เข้าสู่ตลาดรถยนต์โลกอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้…
เรื่อง : กันต์ หิรัญคุปต์
ภาพ : วัชระ รอดวัตร์
อ้างอิง
- https://www.mazda.co.th/why-mazda/brand-heritage/
- https://mgronline.com/motoring/detail/9630000010094
- https://www.mazda.com/en/innovation/mazda-stories/mazda/behind/
- https://www.longtunman.com/13424
- https://monodzukuri.tpa.or.th/
- https://www.bt-training.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=2147544922&Ntype=1
CREATED BY
นักเขียนเล่นผู้สนใจเรื่องของการตลาด การกิน คอสเพลย์ เกมโชว์ และสื่อ ชื่นชอบการออกไปทำงานนอกบ้าน และรักคุณนักเก็ตเป็นที่สุด