สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

“สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร” นั้น เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเป็นนักปฏิบัติ ทรงเป็นนักวิชาการ ทรงเป็นนักบริหาร ทรงเป็นนักการศึกษา ทรงมีพระจริยวัตรที่งดงามและเป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านที่เข้ามาพึ่งพิงอย่างกว้างขวาง ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชนมายุยาวนานที่สุด และทรงดำรงพระสมณศักดิ์ ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

พระองค์ทรงมีผลงานด้านต่างๆ มากมาย ในวันนี้ (3 ตุลาคม 2567) ซึ่งครบเป็นวาระ 111 ปีประสูติกาล และจะครบวาระ 11 ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ทีม SUM UP ถือเป็นโอกาสอันดีในการรวบรวมเรื่องราวฉบับลัดสั้นที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ  11 ข้อ เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณูปการที่ยังประโยชน์จนถึงกาลปัจจุบันนี้ โดยข้อมูลต่างๆ และรูปภาพของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น ได้รับความเมตตาจาก ‘พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์’ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) อนุญาตให้เผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชน และอนุชนคนรุ่นใหม่ให้ได้ศึกษาเรียนรู้

1. ด้านการบริหารคณะสงฆ์

“ต้องพยายามรักษาความสามัคคี ความพร้อมเพรียงกันในระหว่างนิกาย อย่าให้เป็นศัตรูกัน แต่ให้เป็นมิตรกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยกันรักษาพระศาสนา” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

การบริหารคณะสงฆ์นั้น พระองค์มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งได้กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ทรงมีอำนาจทางกฎหมายและพระวินัย ซึ่ง ณ ขณะนั้น พระองค์พระชนมายุราว 48 พรรษา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ และรับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ “พระสาสนโสภณ” (“พระสาสนโสภณ” หรือ “พระศาสนโศภน” ปัจจุบันเป็นราชทินนามของพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ หรือ รองสมเด็จพระราชาคณะ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ในการทำหน้าที่บริหารการพระศาสนาในตำแหน่งใดก็ตาม พระองค์ทรงถือหลัก 3 ประการ คือ

1. ฐาตุ จิรํ สตํ ธมฺโม

การบริหารพระศาสนานั้น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรม นั่นหมายถึง การจัดการศึกษาให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย หน้าที่ของผู้บริหารพระศาสนาจำเป็นต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้เป็นหลัก แต่ก็ต้องผ่อนไปทางโลก คือการให้การศึกษาไปในทางโลกพอสมควร เพราะเป็นสมัยที่จะยืนยันไปในทางเดียวไม่ได้ 

2. ธมฺมธรา จ ปุคฺคลา

การบริหารพระศาสนานั้น ต้องให้ผู้มีธรรม ทรงวินัย หมายถึง ตั้งแต่ทรงจำและทรงไว้ด้วยการปฏิบัติ คือ ให้มีผู้ปฏิบัติพระธรรมวินัยให้มีพระธรรมวินัยขึ้นในตน

3. สงฺโฆ โหตุ สมคฺโค ว

ผู้บริหารพระศาสนาจะต้องบริหารให้พระสงฆ์มีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันโดยธรรมวินัย และหลักของความพร้อมเพรียงกันนั้นก็คือ “หลักสาราณียธรรม 6” 

กล่าวโดยสรุปทั้งหลัก 3 ประการนี้นั้น ก็คือ การสร้างโรงเรียน สร้างคน และสร้างสามัคคี โดยพระองค์ทรงย้ำอยู่เสมอว่า การเป็นพระต้องมีงานทำ ถ้าไม่มีงานทำอยู่ว่างๆ ก็จะเป็นที่รำคาญฟุ้งซ่าน อยู่ไม่ได้ และงานโดยตรงของพระก็คือ ‘กรรมฐาน’ ถือเป็นงานที่ขาดไม่ได้ ถ้าทิ้งกรรมฐานใจจะมากไปด้วยกามตัณหา แล้วจะร้อน แล้วจะอยู่ไม่ได้ 

ท้ายที่สุดทรงสรุปว่า ทุกคนมีหน้าที่ปกครองอยู่ด้วยกันทั้งนั้น คือ การปกครองตนเอง โดยจะต้องมีธรรมสำหรับปกครองตัวเองให้ดำเนินไปในทางที่ดี ที่ชอบ และในการปกครองนั้นเอง ถ้าทำกรรมฐานแล้วจะปกครองตนเองได้ง่ายขึ้น

2. ด้านการศึกษา

“อันที่จริง ปัญญาทางธรรมกับทางโลกนั้น ต้องควบคู่กันไป การที่ได้มีสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย กับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยขึ้น ก็เพื่อที่จะประสานปัญญาทางธรรมกับปัญญาทางโลกคู่กัน ก็จะเป็นประโยชน์มาก พระภิกษุสามเณรปัจจุบันนี้ก็สนใจในการศึกษาแสวงหาปัญญาทางโลกด้วย เพื่อจะได้พูดกับชาวโลกเขารู้เรื่อง แต่ว่าต้องการวิธีการดำเนินการให้เหมาะสม และก็ต้องไม่ละทิ้งการศึกษาพระธรรมวินัยอันเป็นหลักของพระศาสนา” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

ด้านการศึกษานั้น สมเด็จพระสังฆราชฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบุกเบิกก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เรียกว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย” ตามเอกสารหลักฐานนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2486 มีประชุมกรรมการมูลนิธิมหามงกุฏราชวิทยาลัยในเรื่องว่าจะสร้างหอสมุดในสมัยนั้น ภายหลังจากประชุมเสร็จปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราชฯ กับพระอาจารย์สุชีพ (สุชีพ ปุญญานุภาพ) มีการคุยกันนอกรอบว่า พวกเราไม่มีความรู้ทางโลกเลย เราอาจจะมีความรู้ทางธรรมในเวลาที่ไปสอนชาวบ้าน แต่เราไม่เคยจะรู้เรื่องชาวบ้านเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เราน่าจะเชิญผู้มีความรู้ทางฆราวาสมาสอนพระบ้าง เราจะได้รู้เท่าทันโลก ในเวลานั้น เป็นความคิดที่พระหนุ่ม 2 รูปได้คุยกัน

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

หลังจากนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นำความคิดนี้ไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร) พระองค์ทรงรับสั่งว่า ก็ดีสิ ทำไมไม่ตั้งเป็นมหาวิทยาลัยเลยล่ะ จึงเกิดเป็นมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น และ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยชุดแรก โดยพระองค์ท่านทรงเป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระสูตร (พระสุตตันตปิฎก – ประมวลพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยังที่ต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นอีกแห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยจัดให้มีการเรียนการสอนที่วัดมหาธาตุฯ ในเวลานั้นฐานะของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนี้ยังไม่มีการรับรอง ในระหว่างนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเสนอมหาเถรสมาคมให้รับรองมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งเป็นการศึกษาของคณะสงฆ์ เพราะการที่ไม่ได้ถูกรับรองนำมาซึ่งอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง 

จนเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2512 มหาเถรสมาคมได้มีการพิจารณาและรับรองการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง ว่าเป็นการศึกษาของคณะสงฆ์ และได้มีการก่อตั้งสภาการศึกษาของคณะสงฆ์ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับส่งเสริม กำกับนโยบายทั้งหมดในสังฆมณฑล และทำหน้าที่ประสานงานระบบการศึกษาทุกสาขาของคณะสงฆ์

ปัจจุบัน “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” กับ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” รับผู้เข้าศึกษาทั้งพระภิกษุสงฆ์และฆราวาส ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ เป็นสถาบันอุดมศึกษา มีการเรียนการสอน และการวิจัยในระดับสูง 

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นพระเถระรูปแรกที่ได้รับอาราธนาให้เป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในสถาบันอุดมศึกษา อาทิเช่น ในปี 2514 ทรงได้รับอาราธนาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ทรงเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาอารยธรรมไทยร่วมกับ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยทรงบรรยายเรื่องพระพุทธศาสนากับสังคมไทย และในปี 2520 ทรงได้รับอาราธนาจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาสมถะและวิปัสสนา 

พระองค์ทรงได้รับอาราธนาให้ไปบรรยายเกี่ยวกับการฝึกสมาธิแก่นิสิตนักศึกษาสถาบันอื่นๆ ตลอดจนถึงข้าราชการ บุคลากรในหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมาย

3. ด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

“ข้อสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติทางจิตใจ เมื่อจิตใจมีความสงบ มีความบริสุทธิ์ ก็ทำให้ความประพฤติทางกาย ทางวาจาบริสุทธิ์ไปด้วย ฉะนั้น การปฏิบัติทางกรรมฐาน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่บรรดาผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตคือผู้บวช ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส สมควรจะประพฤติปฏิบัติกัน” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

สมเด็จเจ้าพระคุณฯ ทรงเป็นนักวิชาการ เป็นนักบริหารตัวจริง มีอยู่ยุคหนึ่งท่านกำลังสนุกกับการเรียนภาษา ซึ่งท่านทรงศึกษาภาษาต่างประเทศเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ฯลฯ

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ในเวลานั้นสมเด็จสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชริญาณวงศ์ ทรงทราบจึงเลยเรียกให้เข้าไปหา แล้วรับสั่งว่า “กำลังเรียนใหญ่หรือ อย่าบ้าเรียนให้มากนัก หัดทำกรรมฐานเสียบ้าง” ตั้งแต่นั้นมาพระองค์จึงเหลือเรียนแค่ภาษาอังกฤษ และหันมาสนพระทัยในเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน จนกลายเป็นเอกอุในแง่ของวิปัสสนากรรมฐานที่พระสายกรรมฐานยอมรับและให้ความเคารพ 

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แม้จะเป็นพระภิกษุในเมือง แต่ทรงปฏิบัติพระองค์เสมือนพระกรรมฐานในเมือง กล่าวคือ ทรงตื่นบรรทมในเวลาตีสาม ต่อจากนั้นทรงไหว้พระสวดมนต์ ทรงทบทวนพระปาฏิโมกข์วันละตอน ทรงทำสมาธิ เมื่อถึงเวลารุ่งอรุณทรงเสด็จออกบิณฑบาต เสวยมื้อเดียวในบาตรช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า และเมื่อทรงมีโอกาสก็จะเสด็จจาริกไปประทับตามสำนักวัดป่าภาคอีสานเสมอ

พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว) เล่าถึงการศึกษา และปฏิบัติกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า …

“โห เวลาคุยธรรมนี้ท่านเอาจริงเอาจังมาก เฉพาะกับเราคุยสองต่อสอง ท่านชอบซักนั้นซักนี่เรื่องจิตตภาวนา เราเป็นผู้เล่าถวายท่าน หรือว่าจะแนะก็ไม่ผิด เพราะท่านตั้งใจศึกษากับเราจริงๆ ทางด้านจิตตภาวนา เราก็ถวายอุบายต่างๆ ให้ท่านฟังตลอด ท่านหนักในทางจิตตภาวนาอานาปานสติ ท่านมาอยู่นี้ ท่านภาวนาไม่เกี่ยวกับใครเลย เราก็ไม่ไปกวน ท่านอยู่เงียบๆ นะ ท่านจะมาแต่ตอนเช้ามาบิณฑบาต มาพบกันตอนเช้านี่เท่านั้น ท่านบิณฑบาตหน้าศาลานี้ แล้วก็มาฉันที่นี่แล้วไปเงียบเลย เช้าวันหลังจะมาพบกันใหม่ๆ ท่านภาวนาเต็มที่ของท่าน แต่ก่อนพระก็ไม่มีมาก เราไม่ได้รับพระมาก 18 องค์เป็นอย่างมากวัดนี้…”

4. ด้านการสร้างสิ่งปลูกสร้าง

“ขอให้ช่วยกันสร้างวัดภายใน คือ การมีธรรมะประจำใจอยู่เสมอ ย่อมอำนวยความสุขประโยชน์แก่ชีวิตได้แน่นอนตลอดไป และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีวัดให้เป็นที่พำนักของจิตใจ เป็นที่ชุ่มเย็นของจิตใจอยู่เสมอ ทั้งเป็นสถานที่ที่ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน เมื่อทุกคนมีวัดในใจ” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเปลี่ยนวัดบวรฯ ให้เป็นรูปแบบที่เรียกว่าทันสมัย อย่างตึกเก่าๆ โทรมๆ หรือบริเวณโดยรอบก็ให้เป็นป่าไม้ เหมือนกับการสร้างวัดป่าในเมือง นอกจากนั้น พระองค์ยังเป็นผู้จัดการบริหารในการสร้างพิพิธภัณฑ์แรกขึ้นมาในวัด คือ ‘พิพิธภัณฑ์ ภปร.’ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์กรรมฐาน เรียกว่าเป็นสมรรถกรรมฐานทั้ง 40 วิธีที่อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระองค์นำมาแสดงเป็นนิทรรศการ มีการพิจารณาอสุภกรรมฐาน ทรงขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลศิริราช มีทั้งสิ่งต่างๆ ในร่างกายทุกอย่าง มีการแสดงของจริง มีโครงกระดูก มีสิ่งที่น่ากลัว ๆ ทั้งหมด

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

เพราะฉะนั้น วิธีการกรรมฐานทั้งหมดที่มีการแสดงเป็นนิทรรศการมีที่นี่ที่เดียว ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้ของผู้คนในสมัยนั้น

นอกจากที่วัดบวรฯ แล้ว พระองค์ทรงสร้างวัดอีกมากมายเริ่มจากวัดรัชดาภิเษก อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี, วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี, วัดล้านนาญาณสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น 

วัดไทยในต่างประเทศ เช่น วัดแคโรไลนาพุทธจักรวนาราม รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา, วัดศรีกีรติวิหาร กาฐมาณฑุ เนปาล, วัดพุทธรังสี ซิดนีย์ ออสเตรเลีย (วัดไทยแห่งแรกในทวีปออสเตรเลีย) เป็นต้น 

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเน้นย้ำในเรื่องสุขภาพของพระ พระองค์ทรงมีโครงการสร้างอาคารตามโรงพยาบาลต่างๆ เรียกว่าตึกสำหรับพระสงฆ์บ้าง หรือตึกทั่วไปที่บริการประชาชน แต่ให้มีห้องสำหรับพระสงฆ์ด้วย นอกเหนือจากนั้นพระองค์ทรงสร้างโรงพยาบาล 19 แห่ง เรียกว่า “อาคารสกลมหาสังฆปริณายก” เพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชทั้ง 18 พระองค์ อีกทั้งยังสร้างโรงเรียนต่างๆ มากมายในหลายพื้นที่ อาทิเช่น โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดนาควัชรโสภณ จังหวัดกำแพงเพชร, โรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่, โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร จังหวัดยโสธร, โรงเรียนผู้รู้ ญสส. 80 เป็นต้น 

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ นอกจากจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกแก่มหาชนแล้ว ยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงพระคุณธรรมในพระองค์หลายประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง คือความกตัญญูที่ทรงมีต่อครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณทั้งหลายทั้งโดยทางตรงและโดยอ้อม ความเมตตากรุณาที่ทรงมีต่อมหาชน ทั้งในฝ่ายพระศาสนาและในฝ่ายบ้านเมือง ทั้งหมดนี้ย่อมรวมลงในพระคุณธรรมข้อสำคัญคือความเสียสละ ไม่ยึดติดในวัตถุธรรมทั้งหลาย แต่ทรงมุ่งสุขประโยชน์ของมหาชนเป็นหลักสำคัญ

5. สนับสนุนการศึกษา

“เราไม่มีโอกาสเรียน จึงอยากส่งเสริมคนอื่นให้ได้เรียนมากๆ” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงดำเนินการให้จัดสร้าง “ตึกกวีบรรณาลัย” โดยทุนบริจาคของนายกวี เหวียนระวี เพื่อเป็นหอสมุดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทรงโปรดให้สร้าง “อาคาร 80 ญสส.” ภายในโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดนาควัชรโสภณ จังหวัดกำแพงเพชร ถวายเป็นพระราชกุศลฯ อาคารนี้เป็นทั้งที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร และเป็นสถานศึกษาพุทธศาสนาสำหรับเยาวชน ทรงมีพระดำริให้จัดสร้าง “โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต” อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นโรงเรียนประจำ สำหรับช่วยเหลือเด็กที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนจบชั้นมัธยาศึกษา และรับเด็กจากทั่วประเทศเพื่อศึกษาฟรีตลอดหลักสูตร 

ในปี 2505 พระองค์ทรงจัดตั้ง “กองทุนนิธิน้อย คชวัตร” เพื่อสนับสนุนการศึกษาของเยาวชน รวมถึงพระภิกษุและสามเณร อีกทั้งยังจัดตั้งทุนการศึกษาในมหาวิทยาลัยเพื่อใช้ดอกผลมอบเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษา โดยเมื่อปี พ.ศ. 2520 ที่พระองค์ทรงไปเป็นพระอาจารย์สอนวิชาสมถะและวิปัสสนา เมื่อจบการศึกษาทรงมอบเงินค่าสอนเป็นทุนเริ่มต้น จัดตั้งเป็น “ทุนศิษย์สมเด็จ” เพื่อส่งเสริมการศึกษาของนิสิตอีกด้วย

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น เป็นเพียงตัวอย่างของการสนับสนุนการศึกษาที่เป็นพระดำริของพระองค์ท่าน จนถึงทุกวันนี้ แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่การมอบทุนการศึกษา ยังคงดำเนินอยู่ผ่านมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2552 วาระที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเจริญพระชันษา ครบ 8 รอบ (96 ปี)

6. ด้านพระนิพนธ์

“พระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดานั้น ไม่เคยขาดสาย ไม่เคยว่างเว้น พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความประเสริฐสถานเดียว เป็นไปเพื่อความหมดจากกิเลสและกองทุกข์แท้จริง ตราบใดที่ยังมีทุกข์ พระคุณของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นที่พึ่งตลอดไป” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงชอบที่จะบันทึกเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ในสมุด โดยทรงนำเอาสมุดแบบฝึกหัดมาพับเป็นเล่มเล็กๆ และบันทึกเรื่องราวความทรงจำเพื่อทรงเก็บไว้เป็นที่ระลึก เมื่อถึงคราวเจริญวัยขึ้น พระอุปนิสัยยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ทรงจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย อีกทั้งเมื่อเสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือภายในประเทศ ก็จะทรงจดบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้โดยย่อบ้าง

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

นอกเหนือจากบันทึกการเดินทาง พระองค์ยังทรงจดเรื่องราวเหตุการณ์น่ารู้ น่าสนใจ อย่างเช่น คำบอกกล่าวจากบุคคลต่างๆ เรื่องราวในหนังสือพิมพ์ และโดยพระอุปนิสัยที่ทรงโปรดการจดจึงนำมาซึ่งการประพันธ์ โดนพระองค์ทรงเริ่มนิพนธ์เรื่องต่างๆ ตั้งแต่ยังทรงเป็นพระเปรียญ ซึ่งพระนิพนธ์ต่างของพระองค์ ได้มีการจัดแบ่งตามลักษณะของเรื่องราวออกเป็นดังนี้

  • พระธรรมเทศนา งานราชพิธี งานทั่วไป มีจำนวนไม่น้อยกว่า 200 กัณฑ์
  • ธรรมบรรยาย โดยมากเป็นคำสอนพระใหม่ในช่วงเข้าพรรษาของแต่ละปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา 
  • คำสอนกรรมฐาน ธรรมบรรยายอบรมกรรมฐานที่ทรงบรรยายแก่พระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั่วไป โดยมากจะมีการตีพิมพ์เผยแพร่ค่อนข้างมากแล้ว เช่น คู่มือกรรมฐาน, แนวปฏิบัติทางจิต, บันทึกกรรมฐาน เป็นต้น
  • หลักพระพุทธศาสนา เป็นพระนิพนธ์ที่แสดงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงขั้นสูง บางเรื่องทรงนิพนธ์เป็นพระธรรมเทศนา เช่น หลักพระพุทธศาสนา, คำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา, ความเข้าใจเรื่องนิพพาน เป็นต้น
  • ประวัติหรือตำนาน พระนิพนธ์เกี่ยวกับพุทธประวัติและประวัติเกี่ยวกับพุทธศาสนา ทรงนิพนธ์ไว้หลายเรื่อง คือ 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า เป็นการเล่าถึงพระพุทธประวัติแนวใหม่ โดยนำเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องมาเล่าประกอบ ทำให้ผู้อ่านรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งอดีตและปัจจุบัน เป็นต้น
  • ธรรมคดี พระนิพนธ์ที่แสดงคำสอนของพุทธศาสนาในแง่มุมต่างๆ เช่น เรื่องโลก เรื่องชีวิต เรื่องจิต เรื่องกรรม สังคม การเมือง การพัฒนา พระนิพนธ์เหล่านี้ทรงนิพนธ์ขึ้นเป็นตอนๆ ลงเผยแพร่ในนิตยสาร บางเรื่องทรงนิพนธ์สำหรับออกอากาศผ่านทางวิทยุกระจายเสียง เช่น เรื่องการบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ เป็นบทความที่ออกอากาศทางรายการวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต ประจำทุกเช้าวันอาทิตย์เป็นระยะเวลานานถึง 7 ปี 
  • ธรรมนิยาย นิยายที่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างอย่าง “จิตตนคร” เมืองนิรมิตรแห่งจิตและความรู้สึกนึกคิด จิตตนคร ทำให้ผู้คนมากมายได้เข้าใจถึงความหมายของอารมณ์ต่างๆ อย่างเช่น โทสะ โมหะ สันโดษ อาสวะ สติ ฯลฯ นอกเหนือจะมีการผลิตเป็นหนังสือเล่ม หนังสือการ์ตูน ยังได้ถูกนำไปผลิตเป็นการ์ตูน animation ออกอากาศทางช่อง Thai PBS เป็นที่ชื่นชอบของเด็กไปจนถึงผู้คนหลากหลายทุกเพศทุกวัย ให้ได้เรียนรู้เรื่องจิตอย่างง่ายๆ และเข้าถึงความหมายที่ถูกต้องและเข้าใจ
  • พระโอวาทและคติธรรม ที่พระองค์ทรงประทานในโอกาสต่างๆ 
  • คำประพันธ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน อาทิ คำกลอนนิราศสังขาร เป็นต้น
  • พระนิพนธ์ภาษาอังกฤษ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงริเริ่มการสอนพระพุทธศาสนาให้แก่ชาวต่างประเทศ ณ วัดบวรฯ เรียกว่า Dhamma Class พระองค์ทรงสอนด้วยพระองค์เองเป็นส่วนมาก เป็นเหตุให้ต้องเตรียมการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษโดยเน้นการฝึกสมาธิกรรมฐาน พระนิพนธ์ภาษาอังกฤษจึงเป็นเรื่องการฝึกสมาธิกรรมฐาน เช่น กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา ธรรมะภาคปฏิบัติ เป็นต้น

7. ด้านการรักษาพระวินัย

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นผู้เคร่งครัดและรักษาวินัย อย่างเช่นถ้าพระองค์ทรงมีกิจนิมนต์ที่จะต้องไปออกในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวัน) ก่อนเสโจออกจากวัด พระองค์จะทรงลาวิกาลก่อนเสมอ แม้ว่าจะเป็นเจ้าอาวาส และสกลมหาสังฆปริณายกแล้วก็ตาม พระองค์จะต้องหาพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเพื่อลาวิกาล ให้เป็นไปตามพระวินัย

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ในเรื่องของพระวินัย ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาจีวร ญาติโยมมักจะถวายจีวรมาเยอะมาก แต่ว่าโดยพระวินัย จีวรนั้น เราจะเก็บได้แค่ 2-3 ผืน เมื่อมีมากกว่านั้นก็ต้องทำให้เป็นของสองเจ้าของตามหลักพระวินัย เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระองค์จะทรงบรรทมก็จะมาดู มารับสั่งถามพระผู้สนองงานก่อนเสมอว่า “วันนี้มีผ้าต้องวิกัปไหม?”  (วิกัป – ทำให้เป็นของสองเจ้าของ คือ ขอให้ภิกษุสามเณรอื่นร่วมเป็นเจ้าของบาตรหรือจีวรนั้นๆ ด้วย ทำให้ไม่ต้องอาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตรหรืออติเรกจีวรไว้เกินกำหนด

วันนี้ใครมาถวายจีวร มีอยู่เท่าไหร่ เอาทั้งหมดมากองแล้วก็ทรงประกาศ ทำพิธีให้เป็นของสงฆ์จะได้ไม่เป็นอาบัติ เพราะฉะนั้น ความละเอียดในเรื่องของการรักษาพระวินัย พระองค์ทรงเคร่งครัดมากๆ และนี่ก็คือสิ่งที่เราเห็นได้ในพระจริยวัตรของพระองค์ 

8. ด้านพระธรรมทูต

ในยุคหลังพุทธกาล งานพระธรรมทูตที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในพุทธประวัติ คือ พระธรรมทูตสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่โปรดให้จัดส่งพระธรรมทูต 9 สาย เดินทางออกไปเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกชมพูทวีป เป็นการทำให้พุทธศาสนาถูกแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง นำมาซึ่งมรดกล้ำค่าของชาวโลกจนถึงทุกวันนี้ 

เรื่องพระธรรมทูต พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ พ.ศ. 2509 และทรงเป็นประธานสำนักฯ ลูกศิษย์พระธรรมทูตรุ่นแรกของพระองค์ก็คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน)

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเริ่มงานพระธรรมทูตต่างประเทศ โดยเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 

พระองค์ทรงมีพระวิสัยทรรศน์ 2 ประการเกี่ยวงานพระธรรมทูต คือ

ประการแรก ทรงเห็นว่าการฝึกอบรมพระธรรมทูตนั้น ควรพัฒนาให้เป็นการศึกษาระดับปริญญาโท พระองค์จึงทรงดำเนินการร่างหลักสูตรปริญญาโท สาขาพระธรรมทูต เพื่อเสนอต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง แต่ด้วยความไม่พร้อมหลายประการในเวลานั้น จึงทำให้ร่างหลักสูตรนี้ยังไม่เกิดขึ้น 

ประการที่สอง เนื่องจากทรงมีประสบการณ์ในเรื่องการพระศาสนา อีกทั้งยังได้เสด็จไปสังเกตการณ์ในประเทศต่างๆ ทุกทวีป จึงทรงมีพระวิสัยทรรศน์ในงานพระธรรมทูตแถบประเทศทางตะวันตกว่า “เราจะเป็นครูเขาได้ ก็ในทางปฏิบัติเท่านั้น” เพราะทรงพบว่า ชาวตะวันตกนั้นศึกษาพุทธศาสนามามากและอาจจะมากกว่าชาวเอเชียเสียด้วยซ้ำ ดังจะเห็นว่าตำราทางพุทธศาสนาที่ใช้กันอยู่ในวงการวิชาการทั่วโลก ล้วนเป็นผลงานของชาวตะวันตกแทบจะทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ชาวตะวันตกยังคงขาดอยู่และไม่เคยทำก็คือ “พุทธศาสนาภาคปฏิบัติ” ซึ่งในแถบตะวันออกนั้น มีครูบาอาจารย์ในทางปฏิบัติอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในฝ่ายเถรวาทและมหายาน

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

วิสัยทรรศน์ในข้อนี้ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาโลกในปัจจุบัน

งานพระธรรมทูตเป็นงานหลักของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธที่จะต้องนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปแนะนำสั่งสอนชาวโลกให้ได้รับประโยชน์สุข ให้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงวางกรอบ วางแนวทาง และประกาศไว้เมื่อครั้งพุทธกาล

ในปัจจุบัน เรามีพระธรรมทูตมากมาย ซึ่งเป็นงานที่พระองค์ทรงริเริ่ม เรามีวัดไทยในต่างประเทศเกือบ 500 กว่าวัด มีพระธรรมทูตในประเทศอินโดนีเซีย ในทวีปออสเตรเลีย ในประเทศนิวซีแลนด์ ในประเทศฟิลิปปินส์ ในประเทศเนปาล รวมถึงแถบอเมริกาและยุโรป หรือแม้แต่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์จีน เมื่อรัฐบาลจีนได้กราบทูลอาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ และพระองค์ทรงเสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2536 

พระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูตโดยทรงแสดงธรรมให้แก่ประชาชนในทุกสถานที่ที่ทรงไปเยี่ยมเยือน แม้การพบปะกับผู้นำของประเทศ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงพระธรรมคำสอน พร้อมกับฝากฝังพระพุทธศาสนาต่อท่านประธานาธิบดีให้ช่วยอุปถัมภ์ดูแล

เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของจีน ฝ่ายรัฐบาลจีน รวมถึงพุทธสมาคมจีนได้กล่าวตรงกันว่า ภาพลักษณ์และพระโอวาทของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อพุทธศาสนาและประชาชนชาวจีนอย่างมหาศาล เมื่อข่าวและพระโอวาทของพระองค์ได้รับการเผยแพร่ไปสู่ประชาชนชาวจีนทั่วประเทศ ทำให้รัฐบาลจีนรู้จักและเข้าใจพุทธศาสนาดียิ่งขึ้น

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

9. ทรงเป็น “พระของประชาชน” ผู้มักน้อยและสันโดษ

“พระไม่ควรอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย แต่ควรอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย และประหยัด” (พระดำรัสในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย แม้ที่อยู่อาศัยก็ไม่โปรดให้ตกแต่งจนเกินงาม สบงจีวรก็ทรงใช้จนเก่า เมื่อเกิดรอยฉีกขาดก็จะทรงเย็บด้วยพระองค์เอง หากมีผู้ศรัทธาถวายเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ ท่านก็จะทรงอนุโมทนาและทรงปฏิเสธ 

ครั้งหนึ่ง ในโอกาสที่ทรงบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) ถวายปัจจับร่วมบำเพ็ญกุศลนับล้านบาท พระองค์ทรงอนุโมทนาขอบคุณ และรับสั่งกับหลวงพ่อคูณว่า “ขอถวายคืนร่วมทำบุญกับหลวงพ่อด้วยแล้วกัน” เป็นอันว่าทรงรับและถวายคืนเต็มจำนวน 

ท่านทรงถือคติที่ว่า “พระต้องจน อยู่เนืองนิจ” ครั้งหนึ่งหลังจากที่ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ไม่นาน ลูกศิษย์คนหนึ่งมากราบทูลท่านว่า “ขณะนี้ที่วัด…ที่เมืองกาญจน์กำลังสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเกือบจะเสร็จแล้ว ยังขาดเงินอีกราว 7-8 แสนบาท อยากกราบทูลใต้ฝ่าพระบาทเสด็จไปโปรดสักครั้ง สะพานจะได้เสร็จเร็วๆ”

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ รับสั่งตอบว่า “เวลาน่ะพอมี แต่เงินตั้งแสนจะเอาที่ไหน เพราะพระไม่มีอาชีพการงาน ไม่มีรายได้เหมือนชาวบ้าน แล้วแต่เขาจะให้”

พระราชดำรัสนี้ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทรงถือว่าพระองค์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยพระยศใดๆ แต่ทรงถือว่าพระองค์เป็น “พระรูปหนึ่ง” และทรงวางพระองค์เป็น “พระของประชาชนอย่างแท้จริง”

หากจะกล่าวถึงพระเมตตา พระองค์เป็นพระผู้ที่มีเมตตามาก อย่างเช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ก็ถวายงานพระองค์ซึ่งอยู่ในช่วงวันประสูติ ผู้คนแวะเวียนมากราบพระองค์มากมาย และแน่นอนว่าในช่วงวันประสูติทุกคนที่มากราบ เขาก็อยากได้พระเครื่องที่พระองค์แจก ปรากฏว่าอาจารย์เห็นคนคนหนึ่งเวียนมารับหลายรอบ ก็เลยทักว่าเนี่ยรับไปหลายครั้งแล้ว มาทำไมอีก มารับทำไม

พระองค์นั่งตรงนั้นก็ได้ยินที่อาจารย์พูดกับคนคนนั้นด้วย พอทุกคนไปหมดแล้ว พระองค์รับสั่งกับอาจารย์ว่า อย่าไปทำเช่นนั้นอีก อาจารย์กราบทูลพระองค์ว่า เขาเอาพระไปขาย ตอนนี้องค์นี้มีราคาเท่านั้นเท่านี้แล้วกระหม่อม พระองค์รับสั่งต่อว่า ก็ดีแล้วนี่ เราช่วยอะไรเขาไม่ได้ อย่างน้อยเขาจะได้มีข้าวกิน ในสิ่งที่เราคิดว่ามันแย่แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงเมตตา 

ในเวลาที่เกิดทุพภิกขภัยในสังคม ไม่ว่าจะไฟไหม้ น้ำท่วม อย่างเช่นน้ำท่วมใหญ่ๆ ในสมัยนั้นพระองค์ก็จะเสด็จไปประทานความช่วยเหลือตามสถานที่ต่างๆ และเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยพระองค์เอง ตอนไฟไหม้ทางหลังวัดก็เหมือนกัน พระองค์ก็เป็นสัญลักษณ์ของพระเมตตา เป็นพระที่มีเมตตาคุณสูงมากในแง่ของการช่วยเหลือ 

10. สิ้นพระชนม์

ช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2556 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ สิ้นพระชนม์ในเวลา 19.30 น. จากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต สิริพระชนมายุได้ 100 พรรษา กับ 21 วัน 

ตลอดระยะเวลาที่ประทับรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระองค์ไม่เคยแสดงพระอาการเจ็บปวดให้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาต้องลำบากใจ พระองค์ทรงอยู่ในพระอิริยาบถนิ่งสงบเสมือนไม่ทรงรับรู้อาการเจ็บป่วยของร่างกาย คล้ายกับจะปล่อยให้แพทย์ได้ทำหน้าที่ดูแลร่างกายของพระองค์ไปตามความรับผิดชอบของเขา ส่วนพระองค์ก็ทรงดูแลจิตของพระองค์ตามหน้าที่ของพระองค์ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ด้วยความสงบ

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

11. สถาปนาพระอัฐิขึ้นเป็น 
“สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร”

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (4 พฤษภาคม – 28 กรกฎาคม 2562) พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระราชกรรมวาจาจารย์ในพระองค์ขึ้นเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร” นับว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทย

19 มีนาคม 2563 ได้มีพิธีอัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานในหอพระนาก ครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอัฐิขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคำ และอัญเชิญไปประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นที่ทรงสักการะบูชา และทรงบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายในฐานะพระบุพการีทางธรรม

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

หมายเหตุ : 

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาผลงานพระประวัติรวมถึงผลงานของ “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร” สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่ https://sangharaja.org/  ซึ่งภายในเว็บไซต์นั้น ประกอบด้วยผลงานของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มากมาย อาทิเช่น ผลงานด้านนิพนธ์ วีดิทัศน์ พระธรรมเทศนาซึ่งเป็นเสียงจริงๆ ของพระองค์ท่าน อีกทั้งยังมีพระรูปที่หาดูได้ยากอีกมากมาย เป็นต้น

เนื้อหา : 

  • เรียบเรียงคำสัมภาษณ์บางส่วนจากพระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย)
  • หนังสือวชิรญาณสังวร พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร 

รูปภาพ : 

AUTHOR

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน