ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความตึงเครียด การเติบโตขึ้นในบางวันอาจจะทำให้เรารู้สึกกดดันและเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าหากเราลองวางทุกอย่างรอบ ๆ ตัวลง ไม่ว่าจะเป็น ความคิด, ความคาดหวัง, ความรู้สึกลบ ๆ และหยิบหนังขึ้นมาดูสักเรื่องอย่างจดจ่อ ในช่วงเวลา 1 – 2 ชั่วโมงนั้นอาจจะช่วยให้เราลืมเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตไปชั่วขณะและอาจจะทำให้วันนั้นกลายเป็นวันดีดีก็ได้ ซึ่งมีหนังเก่าเรื่องหนึ่งที่ไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาดูกี่ครั้ง เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันมีเสน่ห์และสามารถทำให้เราจดจ่อไปกับมันได้ แม้ว่าจะเป็นหนังที่ใช้สีขาวดำและใช้ฉากเดียวทั้งเรื่อง แต่วิธีการเล่าผ่านบทสนทนาของตัวละครที่เรียกได้ว่าแซ่บจนใจเจ็บ ทำให้เวลาชั่วโมงครึ่งนั้นไม่น่าเบื่อและไม่สามารถละสายตาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว โดยหนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า ’12 Angry Men’ หนังเก่าที่ฉายเมื่อปี 1957 (หลังจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน)
12 Angry Men เป็นผลงานการกำกับหนังเรื่องแรกของ Sidney Lumet ผู้กำกับชาวอเมริกัน ซึ่ง 12 Angry Men เป็นหนังที่มีเนื้อหาใจความหลักคือ คณะลูกขุนทั้ง 12 คนต้องมาตัดสินคดีเด็กวัย 19 ปีฆาตกรรมพ่อตัวเองจริงหรือไม่ โดยโทษที่เด็กคนนี้จะได้รับหากลูกขุนตัดสินว่าเขาทำผิดจริงก็คือ ‘การประหารชีวิต’ ซึ่งในทางกฏหมายคณะลูกขุนต้องมีผลตัดสินเห็นพ้องต้องกันเป็น 12 – 0 เท่านั้น การตัดสินจึงจะถือว่าสมบูรณ์
ในช่วงต้นที่เปิดดูหนังเรื่องนี้ก็อาจจะมีความรู้สึกว่า ตัวละครหลักของเรื่องนี้น่าจะเป็นเด็กผู้ชายวัย 19 ที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าพ่อตัวเอง แต่ทำไมหนังถึงชื่อเรื่องว่า 12 Angry Men นะ แต่เมื่อเปิดดูไปสักพักก็เข้าใจได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นการปะทะคารมด้วยอารมณ์ที่โกรธเกี้ยวของลูกขุนทั้ง 12 คนนี้นั่นเอง สิ่งที่หนังเรื่องนี้สะท้อนออกมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตยและการตัดสินของมนุษย์ที่อาจจะมีอิทธิพลมาจากการถูกโน้มน้าว หรือการมีประสบการณ์ร่วมกับอะไรบางอย่างที่อาจส่งผลต่อความคิดและการตัดสินใจของเรา
จุดตัดของเรื่องนี้ที่ทำให้บทสนทนาเดือดขึ้นมาดื้อ ๆ ก็คือ ในขณะที่ลูกขุนทุกคนกำลังจะรีบตัดสินด้วยความรวดเร็วว่าเด็กคนนี้ฆาตกรรมพ่อเขาแน่ ๆ ลูกขุนหมายเลข 8 ก็ได้พยายามงัดข้อโต้แย้งต่าง ๆ มาแย้งว่าสิ่งที่พวกคุณตัดสิน คือการส่งเด็กคนหนึ่งไปถูกประหารชีวิตอย่างรีบร้อนและการด่วนตัดสินนั้นอาจจะไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการโต้เถียงบนโต๊ะพิจารณาคดีขึ้น
โดยลูกขุนทั้ง 12 คนมีนิสัย ทัศนคติ การมองโลก ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ลูกขุนคนหนึ่งต้องการจะไปดูกีฬาจึงอยากจบเรื่องนี้ให้ไวที่สุด ไม่ว่าแนวโน้มของการโหวตจะเป็นไปในทิศทางไหนเขาก็พร้อมจะเปลี่ยนโหวตเพื่อจบเรื่องนี้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนประเภทนี้ไม่สนใจอะไรนอกจากประโยชน์ของตนเอง, ลูกขุนคนหนึ่งรู้สึกอคติกับเด็กคนนี้เพราะมีความทรงจำที่ไม่ดีกับลูกชายตนเอง สะท้อนให้เห็นว่าเขาเอาความรู้สึกและภูมิหลังส่วนตัวมาผสมร่วมไปกับการตัดสินคดีในครั้งนี้, ลูกขุนอีกคนหนึ่งพูดจาในเชิงดูถูกเด็กคนนี้ว่าเขาโตมาจากสลัม เด็กพวกนี้สร้างปัญหาอยู่แล้ว ตาย ๆ ไปก็คงจะดีกับโลกมากกว่า สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่คับแคบ มองโลกและเชื่อในสิ่งที่ตนเองเลือกจะเชื่อเท่านั้น มีฉากหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ เมื่อลูกขุนคนหนึ่งเริ่มพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ปราศจากเหตุผล ใส่ร้ายป้ายสีอย่างไร้เหตุผล ลูกขุนแต่ละคนก็ได้เริ่มทยอยหันหลังให้กับลูกขุนคนนี้เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าความคิดที่สกปรกเช่นนี้ไม่ถูกยอมรับในวงของประชาธิปไตย
หากถามว่าหนังเรื่องนี้สะท้อนอะไร สำหรับเราหนังเรื่องนี้สะท้อนความเป็น ‘มนุษย์’ ผ่านมุมมองของลูกขุนแต่ละคนไว้อย่างชัดเจน ความแหลมคมของหนังเรื่องนี้คือการเชื่อมโยงความต่างของมนุษย์และสร้างสถานการณ์หนึ่งอย่างขึ้นมาเพื่อสะท้อนความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนเล่าร้อยผ่านบทสนทนา การโต้เถียง และการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปพร้อม ๆ กับสะท้อนความเป็นตัวตนของแต่ละคนออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้การใช้ฉากเดียว แถมสีขาวดำ ไม่มีผล หนังเรื่องนี้ส่วนตัวเรายังมองว่าเป็นหนังที่สนุกและเลือกวิธีเล่าได้อย่างชาญฉลาด
อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงไม่กี่พาร์ตของหนังเรื่องนี้ที่หยิบมาเล่า ยังมีดีเทลเชิงลึกอีกมากมาย และถ้าหากช่วงนี้ใครต้องการจดจ่อหรือมีสมาธิกับอะไรสักอย่าง การหยิบหนังเก่าเรื่อง 12 Angry Men ปัดฝุ่นสักหน่อยและเปิดดู อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี และรับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน