เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11 พฤษภาคม 2568) คือวันเลือกตั้งเทศบาล 2568 ของประชาชนคนไทยที่อยู่ในเขตเทศบาลทั่วประเทศ กล่าวคือ เป็นการเลือกตั้งทั้ง 2 อย่าง ได้แก่ นายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) โดยเริ่มเปิดให้ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00 น. และปิดหีบในเวลา 17.00 น
ในสนามนี้เรามักคุ้นเคยกันในชื่อการเลือกตั้ง ‘นายกเล็ก’ และ ‘สท.’ โดยหลายพื้นที่เป็นที่น่าจับตาเพราะเชื่อมโยงกับทั้งอิทธิพลท้องถิ่นและการเมืองใหญ่ของประเทศอย่างแยกไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นแง่ของบ้านใหญ่ หรือมีพรรคใหญ่คอยสนับสนุน โดยในบทความนี้เราจะขอรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ได้อ่านกัน
รวบรวมผลลัพธ์ที่น่าจับตาจากการเลือกตั้งครั้งนี้
หลังจากผลเลือกตั้งถูกเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการออกมา สำหรับพรรคประชาชนนั้นชนะการเลือกตั้งถึง 10 แห่ง ทั้งในปริมณฑลและเทศบาลตำบล โดยที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน มองว่าผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพอใจ และจะทำงานอย่างหนักเพื่อตอบแทนการสนับสนุนที่ประชาชนมอบให้ในครั้งนี้
สำหรับฝั่งเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี กลุ่มธัญญก้าวหน้าชนะยกทีม นำโดย ยุพเยาว์ หลีนวรัตน์ ภรรยาของนายกเบี้ยว-กฤษฎา หลีนวรัตน์ ซึ่งตระกูลนี้ถือเป็นตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองสำคัญในพื้นที่ ความน่าสนใจคือสมาชิกที่ชนะยังรวมไปถึง พีช-สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากกรณีขับรถ BMW ปาดหน้ารถกระบะจนรถพุ่งชนไหล่ทางจนคนขับบาดเจ็บสาหัสเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ส่วนที่เชียงใหม่พรรคเพื่อไทยยังคงครองใจชาวบ้านอย่างเหนียวแน่น โดยคะแนนอันดับหนึ่งตกเป็นของ อัศนี บูรณุปกรณ์ ที่ทำสำเร็จเป็นแชมป์ในสมัยที่สองและนำโด่งพรรคประชาชนอยู่หลักหมื่นคะแนน
‘เทศบาล’ คืออะไร?
ข้อมูลจาก iLaw ระบุว่า “เทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับพื้นฐาน มีความใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของประชาชน มากกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับใหญ่อย่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เนื่องจาก อบจ.มีเขตพื้นที่ดูแลครอบคลุมทั้งจังหวัด แต่เทศบาลนั้นมีพื้นที่รับผิดชอบในขนาดที่เล็กกว่า ทำให้การดูแลจัดการเป็นไปได้อย่างทั่วถึงมากกว่า“
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยยังพบว่า ปัจจุบันเรามีเทศบาลทั่วประเทศทั้งหมดถึง 2,472 แห่ง ซึ่งในครั้งนี้ได้มีการเลือกตั้งรวมกันทั้งหมด 2,469 แห่ง ขณะเดียวกันในจำนวนนี้ก็ยังมีอีก 2,121 แห่งที่ต้องเลือกตั้งทั้ง ‘นายกเทศมนตรี’ และ ‘สภาเทศบาล’ ไปพร้อม ๆ กัน
สำหรับภารกิจและอำนาจหน้าที่ของเทศบาลนั้น ใน พ.ร.บ.กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และพ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ระบุว่า หน้าที่หลักของเทศบาล คือการจัดทำบริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะเรื่องสาธารณะในเขตที่ตนรับผิดชอบ เช่น
- การก่อสร้างซ่อมแซมระบบขนส่งต่าง ๆ และถนนหนทาง
- การจัดการศึกษา
- การจัดการขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และน้ำเสีย
- การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและจัดการที่อยู่อาศัย
- การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบของบ้านเมือง
- การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
โดยงบประมาณของทางเทศบาลจะมาจาก ‘รายได้จัดเก็บเอง’ กล่าวคือ การที่เทศบาลได้จัดเก็บภาษีต่าง ๆ ภายในเขตของตนเองเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น จากภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือที่เก็บบ่อย ๆ อีกอย่างก็จะมีส่วนของภาษีป้าย เป็นต้น นอกเหนือจากรายได้ส่วนนี้ก็ยังมีรายรับจากงบประมาณส่วนกลางและเงินอุดหนุนบางส่วนที่รัฐบาลจัดสรรให้อีกด้วย
ความน่าสนใจที่เราเห็นได้จากตรงนี้คือ เทศบาลมีงบประมาณที่ ‘สูงมาก’ เพราะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย รวมถึงยังมีจุดแข็งอีกอย่างหนึ่งคือการ ‘ใกล้ชิดกับชุมชน’ (ซึ่งขณะที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้อยู่ ยังมีพรรคที่เป็นเจ้าเก่าเจ้าเดิมมาหาเสียงทั้งพรรคถึงที่บ้านเลย) ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความใกล้ชิดกับประชาชนในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะอะไรหลายคนจึงมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว?
อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่เราไม่ค่อยเห็นเรื่องของการเมืองท้องถิ่นถูกเสนอในหน้าสื่อหรือกระทั่งการพูดคุยกันในวงการวิชาการมากนัก สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเรายัง ‘ไม่เห็นภาพ’ ของการเมืองระดับเทศบาลอย่างเป็นระบบและดูจับต้องได้ยาก อีกทั้งเมื่อพูดถึง ‘ส่วนกลาง’ เราก็มักจะทึกทักเอากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางไปเลย โดยที่ไม่ได้มองผ่านเลนส์อื่น ๆ
ข้อเสนอที่น่าสนใจจาก ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ที่นำเสนอผ่านบทความ “เราสนใจ ‘เทศบาล’ กันแค่ไหน? : มองการเลือกตั้งเทศบาล ในฐานะศึกการกำหนดชะตาชีวิตของเมืองและผู้คนตะวันออก” ระบุว่า ด้วยหลายเหตุปัจจัย ทั้งการที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นภาพการปกครองแบบเทศบาล, การผูกขาดศูนย์กลางไว้ที่กรุงเทพฯ, การนำเสนอข่าวที่อาจยังไม่รอบด้าน (มีการนำเสนอเพียงแค่เรื่องของบ้านใหญ่ หรือก็ต่อเมื่อนักการเมืองตัวใหญ่ ๆ เข้ามาช่วยผู้สมัครหาเสียงเท่านั้น) และอีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันอย่างรูปแบบของพื้นที่เมืองที่มีทั้ง ‘กระจุกเชื่อมต่อ’ และ ‘กระจัดกระจาย’ อยู่หลากหลายพื้นที่ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ เมื่อกระบวนการกลายเป็นเมืองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองที่ซ่อนรูปอีกมาก ทั้งการแบ่งแยกแบบ ‘เขตเทศบาล’ อาจเป็นวิธีที่ล้าสมัยไปเสียหน่อย
ทั้งหมดนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้รับความสนใจมากขึ้นเท่าที่ควร และสำหรับผู้เขียนก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ คนต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อยยังคงเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่อย่างกระจุกตัวในเมืองหลวง บ้านที่ไม่ได้กลับ คุณภาพชีวิตที่ไม่ได้ใช้ อาจทำให้เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ยิ่งถูกผลักไสให้ไกลตัวออกไปอย่างน่าเสียดาย
สิ่งสำคัญหากเราพูดถึงเพิ่มขึ้นไปมากกว่านั้น ทั้งในแง่ของการเลือกตั้งในครั้งนี้และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เราอาจต้องแยกแยะการวิเคราะห์ของ ‘อิทธิพล’ ออกมาคลี่ขยายให้เห็นถึงสิ่งที่ถูกซ้อนทับหลากหลายลักษณะ ทั้งการเมืองท้องถิ่น ความซับซ้อนเชิงพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาที่จะมีต่อ ๆ ไปในภูมิภาคนั้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ต้องถอดบทเรียนร่วมกัน นอกเหนือไปจากการย้ายสายตาจากศูนย์กลางให้ขยายออกไปยังพื้นที่ท้องถิ่น
หากไม่ได้ไปใช้สิทธิต้องทำหนังสือแจ้งเหตุ
เมื่อไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเทศบาลยังภูมิลำเนา ต้องแจ้งเหตุของการไม่ไปใช้สิทธิเพื่อรักษาสิทธิทางการเมืองในอนาคต โดยต้องทำเป็นหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านภายใน 7 วันก่อนเลือกตั้ง หรือภายใน 7 วันนับแต่เลือกตั้ง (นับตั้งแต่วันที่บทความเผยแพร่ยังเหลือเวลาอีก 6 วัน) โดยสามารถแจ้งทางออนไลน์ได้ผ่านเว็บไซต์ https://boraservices.bora.dopa.go.th/election/abscauselocal/
อ้างอิง
- https://www.thairath.co.th/news/politic/2857697
- https://www.ilaw.or.th/articles/51733
- https://www.ilaw.or.th/articles/4579
- https://epigramnews.co/politics/how-important-of-municipality-election/
- https://www.thaipbs.or.th/news/content/351772
