5 เพลงไทยจากสโลแกนโฆษณา

เพราะเพลงทุกเพลงย่อมมีต้นทางของไอเดียเสมอ อาจจะมาจากเรื่องจริงของผู้แต่ง ประสบการณ์จากเพื่อนพ้องน้องพี่ใกล้ตัว คำบอกเล่าของผู้คนบนโลกออนไลน์ หรือการมโนประเด็นจนได้แก่นเรื่องที่น่าสนใจมาก็มี

แต่วันนี้เพลย์ลิสต์เพลงที่เราจะเอามาแนะนำกัน คือเพลงไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจาก ‘สื่อโทรทัศน์’ ที่พวกเราคุ้นเคยในยุครุ่งเรือง ก่อนจะถูกโค่นบัลลังก์ความนิยมด้วยโลกออนไลน์มานานนับศตวรรษ มีทั้งเพลงที่ได้มาจากสโลแกนสินค้าบ้าง และคำฮิตในรายการโทรทัศน์บ้าง วันนี้เราเลยอยากหยิบเพลงเหล่านั้นมาเล่าให้คุณฟังแบบรวบรัดว่าการที่ ‘สโลแกน’ จะกลายมาเป็น ‘เพลง’ ทั้ง 5 เพลงเหล่านี้ได้ มันพอมีอะไรเชื่อมโยงถึงกันได้บ้างนะ

1
จากสโลแกน “คุณค่าที่คุณคู่ควร” ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมความงาน ลอริอัล
สู่เพลง ‘คุณค่าที่เธอคู่ควร’ ของศิลปิน Anatomy Rabbit

เริ่มกันที่สโลแกนแรกที่คนดูทีวีหลายคนน่าจะคุ้นเคย เพราะเป็นแบรนด์ที่ลงโฆษณาทางโทรทัศน์ค่อนข้างบ่อย และยังเลือกใช้พรีเซนเตอร์สาวมากหน้าหลายตามาช่วยโปรโมตให้ภาพลักษณ์แบรนด์ชัดเจนและแข็งแรง อย่าง ‘ลอริอัล (L’Oreal Paris)’ แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าเสริมความงามชั้นนำสัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2452 โดยนักเคมีอัจฉริยะชาวฝรั่งเศส ‘Eugène Schueller’ และมีแบรนด์ในเครือมากมายอย่าง ลังโคม, เมย์เบลลีน และการ์นิเย่

แบรนด์ลอริอัลนี้มีภาพจำแสนโดดเด่นจากการเปิดตัวแบรนด์ Préférence ในปี 1970 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากการสร้าง Tagline ใหม่ ‘Because I’m worth it.’ ซึ่งถือเป็นข้อความโฆษณาแรก ๆ ที่นำเสนอมุมมองการเห็นความสำคัญต่อคุณค่าในตนเอง โดย Tagline นี้ในเวอร์ชันภาษาไทยก็คือ ‘คุณค่าที่คุณคู่ควร’ ซึ่งหมายถึงว่าคุณค่าจากสรรพคุณทั้งหลายของแบรนด์นี้ คือสิ่งที่ผู้ใช้งานอย่างคุณคู่ควรจะได้รับนั่นเอง

จนในเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ‘Anatomy Rabbit’ วงดนตรีอินดี้ไทยแห่งยุค ปล่อยเพลงใหม่ออกมาที่มีชื่อเพลงใกล้เคียงกับสโลแกนสุดคุ้นหูนี้ในชื่อ ‘คุณค่าที่เธอคู่ควร (Self-Worth)’ ที่เล่าเรื่องของผู้ร้องที่มองเห็นคนที่แอบรักถูกย่ำยีหัวจิตหัวใจ จนเกินอาการทั้งเศร้า ร้องไห้ทุรนทุราย แต่เธอก็กลับไปรักกะไอหมอนั่นได้ทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยทำให้เธอยิ้มได้เลย

ทำไมคุณค่าที่เธอคู่ควร ถึงไม่ได้เป็นฉันกันล่ะ?

กลายเป็นว่าสโลแกนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมความงามนี้ดันตรงกับไอเดียความรักที่เพลงต้องการจะสื่อเหมือน ๆ กัน นั่นคือคุณค่าที่กลุ่มเป้าหมายคู่ควรในการให้เข้าไปอยู่ในชีวิต คือผู้ที่กำลังพูดอยู่ด้วยนั่นเอง

2
จากสโลแกน “เจ็บแล้วไม่จำ” ของแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ควิกแสบ
สู่เพลง ‘เจ็บแล้วไม่จำ’ ของศิลปิน Tattoo Colour

ถัดมาที่แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทย ที่เป็นซับแบรนด์ของ ‘ไวไว’ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ประสบภัยปลายเดือนที่ทุกคนคุ้นเคย อย่าง ‘ไวไว ควิก’ หรือชื่อใหม่ที่เรารู้จักกัน ‘ควิกแสบ’ ที่มีจุดขายคือการนิ่มของเส้นที่ใช้เวลาน้อยกว่าแบรนด์อื่น จากราว 3 นาที เหลือเพียง 2 นาทีเท่านั้น และถึงแม้ซับแบรนด์นี้จะมีรสชาติกลมกล่อมธรรมดาอย่างหมูสับ แต่อีก 6 รสชาติที่เหลือกลับถูกยกเป็นเรือธง ไม่ว่าจะรสชาติต้มยำมันกุ้ง, ต้มโคล้ง หรือกุ้งนึ่งมะนาว รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของควิกแสบ

ซึ่งประมาณปี 2556 ควิกแสบได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์สุดคูลแห่งยุคอย่าง ‘Tattoo Colour’ วงกึ่งอินดี้ที่ก้าวมาสู่การเป็นวง Mass ได้อย่างเต็มภาคภูมิ และได้มาร่วมแสดงโฆษณาสั้นความยาวประมาณ 15 วินาที 4 ตัว ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบทเรียนแบบ ‘เจ็บแล้วไม่จำ’ จากการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ทุกรสชาติล้วนเผ็ดร้อน ซึ่งทุกโฆษณาในเซตนี้มีเสียงดนตรีเพราะ ๆ ดังคลออยู่เบื้องหลัง แต่ทุกครั้งที่ดังระหว่างโฆษณามันก็จะถูกตัดให้หายไปเพื่อทำให้ตัวโฆษณาได้เล่าเรื่องต่อ จนผู้คนถามหาว่าอยากให้แบรนด์ปล่อยตัวเต็มออกมา

แต่สรุปสิ่งที่ได้คือเพลงเวอร์ชันสั้นที่ถูกนำมาใช้ในโฆษณาจริง ๆ ที่มีความยาวแค่ 30 วินาทีเท่านั้น แต่ก็เป็นเพลงขนาดความยาวไม่มากที่ฟังเพราะ และมีศักยภาพมากเพียงพอจะเป็นเพลงเต็มมาก ๆ

“เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่จำ เจ็บอยู่อย่างนั้นทรมาน
มันแสบมันร้อนเกินกว่าที่ใครเข้าใจ
เจ็บสักกี่ครั้งก็จะยอมไม่ว่าจะร้องอีกสักเท่าไร
จะเจ็บต่อไปแค่ไหนก็จะยอม”

จากเพลงโฆษณาที่เล่าเรื่องความเจ็บแสบจากความเผ็ดร้อนของรสชาติบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่รู้ว่าเผ็ดแสบจนทนไม่ไหวทุกครั้งแต่ก็กิน กลายเป็นเพลงช้าเพราะ ๆ ที่เล่าเรื่องความเจ็บปวดแสบร้อนจากความรัก จากคนที่ยอมให้อีกฝ่ายอยู่เสมอมา และไม่ว่าจะเจ็บขนาดไหนก็ยังจะยอมต่อไปแบบนี้เสมอ

แฟน ๆ วงศักดิ์ศรีต่างเฝ้ารอคอยการมาถึงของเพลงนี้มาก ๆ จนทางควิกแสบบอกว่าเพลงนี้กำลังจะกลายเป็นเพลงจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว และก็กลายเป็นเพลงเต็มที่ชื่อ ‘เจ็บแล้วไม่จำ (LOVE ALZHEIMER)’ เหมือนดั่งชื่อแคมเปญทุกประการ

ที่เมื่อเนื้อเพลงถูกขยายออก เนื้อหาทั้งหมดก็กลายเป็นเพลงเพราะเนื้อหาดี และกลมกล่อมเพลงหนึ่งไปเลย โดยแทบไม่ได้ดูเหมือนเพลงโฆษณาเลยแม้แต่น้อย

เนื้อหาที่อยู่ในความเป็นเพลงมีการขยายใจความของคำว่า ‘เจ็บแล้วไม่จำ’ ออกไปด้วยตัวอย่างอีกหลายบริบท ทั้งการบอกว่าคนรักของเรามีมีดเล่มเดิมที่เคยทำให้เจ็บ และเธอก็ยังถือมันเอาไว้อยู่ พร้อมใช้มันแทงเราตลอดเวลา แต่เราเองนี่แหละที่ยอมและบอกว่าไม่เป็นไร ชินแล้ว ทนได้ จะแทงเมื่อไหร่ก็เอาเลย

ซึ่งถือเป็นอีกเพลงที่หยิบเอาใจความของสโลแกนสั้น ๆ มาใช้เป็นเพลงโฆษณาได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าสนใจ

3
จากสโลแกน “คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้” ของรายการโทรทัศน์ เกมเศรษฐี
สู่เพลง ‘คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้’ ของศิลปิน Slapkiss

“ผมขอใช้ตัวช่วยครับ” ผู้เข้าแข่งขันกำลังงงงวยกับคำถามและคำตอบทั้ง 4 ตัวเลือกตรงหน้าบบนเวทีกลางรายการ และบอกไปยัง ‘ไตรภพ ลิมปพัทธ์’ พิธีกรรายการ ‘เกมเศรษฐี’ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

“คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้” นี่คือประโยคที่อาต๋อยจะใช้ตอบ ก่อนจะถามอีกครั้งว่าผู้เข้าแข่งขันจะเลือกใช้ตัวช่วยตัวไหนที่มีอยู่เพื่อให้ผ่านคำถามข้อนี้ไปได้

คำว่า “คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้” เป็นแค่เพียงประโยคเล็ก ๆ ที่แซมอยู่ภายในรายการ ท่ามกลางความ Iconic ของเกมการแข่งขันที่เรียบง่าย แต่ลุ้นสุดใจ แถมได้ความรู้ประกอบจากคำถามที่รายการเลือกมาวัดกึ๋นผู้เข้าแข่งขัน ทำให้รายการ Quiz show ที่ชื่อ ‘เกมเศรษฐี’ นี้กลายเป็นหนึ่ง Pop culture บนสื่อโทรทัศน์ไทยของชาว Gen Z ขึ้นไปหลาย ๆ คน

จนซีนตอบคำถามในรายการถูกหยิบเอาไปเป็น Meme ในประเทศไทยมากมาย ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ที่ประเทศไทยเริ่มรู้จัก Facebook อย่างแพร่หลาย เพจต่าง ๆ ก็นำ CG ช่องคำถาม และตัวเลือกของรายการไปตัดต่อเอาคำถามและคำตอบเดิมออก และใส่คำถามคำตอบใหม่ที่กวน ๆ ลงไป ซึ่งก็มี Meme นี้อยู่เรื่อยมา เพราะเป็นมุกที่จะใส่เนื้อหาอะไรลงไปล้อก็ได้

จน ‘Slapkiss’ วงดนตรีหนุ่มยุคใหม่ได้หยิบเอาประโยคเด็ดเกี่ยวกับความรักที่ผู้คนเอาไปล้อกันในยุคนี้ ที่หยิบเอาประโยคจากรายการเกมเศรษฐีมาล้ออีกที อย่าง “คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ สิทธิ์ของการเป็นพี่น้องกัน” ที่พูดถึงความคลุมเครือในสถานะของคนสองคน ที่อีกฝ่ายกำลังต้องการความชัดเจนว่าจะได้เป็นแฟนมั้ย แต่สุดท้ายก็มักจะได้สถานะพี่น้องกันมากกว่า ก็คือโดนปฏิเสธนั่นเอง

กลายมาเป็นเพลง ‘คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ ((UN)LUCKY)’ เพลงที่หยิบเอาห้วงเวลาแห่งความสัมพันธ์แบบนี้ของใครหลายคนมาล้อ คุยกันทุกวัน ไปกินข้าวกันเหมือนแฟน จนคิดว่าไม่น่าจะนก สุดท้ายพอถามเธอออกไปว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่า เธอเลยตอบกลับมาว่า “เป็นพื่น้องกันดีกว่า”

“คุณได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ สิทธิ์เป็นพี่น้องกันเท่านั้น 
ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง หรือเป็นเจ้าของ แค่พี่น้องที่คุยกันทุกวัน 
สิทธิ์ที่คุณได้รับตอนนี้ คือสิทธิ์ไปนั่งทำใจ และเลิกมีความหวังสักที 
มีสติหน่อย เถอะตอนนี้ เลิกคิดเข้าข้างตัวเองสักที เค้าคิดกับเราแค่พี่น้อง”

นอกจากตัวเพลงจะล้อประโยคนี้ของรายการแล้ว ในตัว MV เองก็ได้นำเสนอออกมาในแง่มุมของการนำ Meme เด่น ๆ ที่ผู้คนน่าจะรู้จักมาใส่บริบทของการถูกปฏิเสธความรัก และบอกว่าเป็นพี่น้องกันมากมาย และทำให้เป็นอีกหนึ่ง MV ที่สะท้อนปรากฎการณ์สังคมบนโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านได้ดีเลย

4
จากสโลแกน “อยากรู้เรื่องยาคูลท์ ถามสาวยาคูลท์ดูสิคะ”
ของแบรนด์นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ยาคูลท์
สู่เพลง ‘อะไรก็ไม่รู้’ ของศิลปิน อุดม แต้พานิช

“กริ๊ง กริ๊ง” ไม่ได้มาถามว่ามีกระดิ่งกี่ลูก แต่นี่คือเสียงของตัวแทนสาวในชุดยูนิฟอร์ม ‘สาวยาคูลท์’ ที่เมื่อก่อนอาจเป็นการปั่นจักรยานพร้อมกระติกขนยาคูลท์ไว้เต็มกล่อง เพื่อส่งต่อเจ้าจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในฐานะนมเปรี้ยวพร้อมดื่มถึงบ้านคุณ ให้คุณได้เพิ่มพลานามัยให้สมบูรณ์ต่อไป

ในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ของ ‘ยาคูลท์’ ผ่านโฆษณานั้น มีประโยคหนึ่งที่ถูกใช้เล่าในโฆษณาเสมอ ๆ คือ “อยากรู้เรื่องยาคูลท์ ถามสาวยาคูลท์ดูสิคะ” ประโยคที่นำเสนอว่าผลิตภัณฑ์ยาคูลท์นั้นแม้จะดูเป็นของแปลกใหม่ แต่ความใหม่ที่คุณยังไม่เข้าใจ หรือกลายเป็นสงสัยบางอย่างในตัวสินค้า สามารถถามสาวยาคูลท์ที่ขายสินค้ากับคุณเพื่อให้เขาอธิบายได้เลย พวกเธอรู้เรื่องยาคูลท์เป็นอย่างดีเลยล่ะ

ในปี 2540 ช่วงเวลาที่ ‘อุดม แต้พานิช’ นักแสดงตลกประเภท Stand up comedy คนสำคัญของไทยกำลังง่วนอยู่กับการทำเดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 3 เขาก็ออกอัลบั้มที่เรียกว่า ‘รวมเพลงประกอบนั่นประกอบนี่ของอุดม’ ออกมา และมีหนึ่งเพลงที่หยิบเอาสโลแกนจากโฆษณายาคูลท์ไปล้อ อย่าง ‘อะไรก็ไม่รู้’ เพลงน่ารัก ๆ ที่เล่าเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่โดนคนรักถามว่า “เธอรักฉันมากแค่ไหน” จนต้องไปปรึกษาศิราณี นักเขียนที่ใช้นามปากกานี้ตอบปัญหาความรักแก่ผู้คน แต่เขาก็ยังตอบไม่ได้ และเสนอให้ไปถามสาวยาคูลท์ดู เพราะสาวยาคูลท์เธอรอบรู้ดี แต่รู้แค่เรื่องจุลินทรีย์เท่านั้นแหละ

สุดท้ายชายคนนั้นก็ได้แต่บอกคนรักของเขาไปว่าไม่รู้หรอกว่ารักเธอมากเท่าไหร่ตามคำถามที่เธอถามมา สิ่งที่รู้มีเพียงอย่างเดียวคือรู้ว่ารักเธอ

ใครมันจะไปคิดว่าเพลงรักที่น่ารักแบบนี้จะมีสาวยาคูลท์เข้าไปเอี่ยวได้ด้วย เอากับเขาสิ

5
จากสโลแกน “ถ้าคุณโทรมาภายใน 10 นาทีนี้” ของแบรนด์ TV Direct
สู่เพลง ‘ถ้าคุณโทรมา (ใน 10 นาทีนี้)’ ของศิลปิน Alarm9

นี่ก็เป็นอีกรายการที่เชื่อว่ายังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน เพราะความแตกต่างและเฉพาะตัวที่หาใครเปรียบเทียบไม่ได้ อย่างรายการแนว ‘ขายตรง’ ที่เปิดหัวมาด้วยคำถามที่ว่า “คุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่” แล้วก็สาธยายปัญหาที่อาจจะตรงใจคุณสักข้อ ก่อนจะบอกว่า “พอกันทีกับปัญหาเหล่านั้น TV Direct ขอเสนอ” และเข้าสู่ช่วงแนะนำสินค้าตรงหน้าคุณ และปิดท้ายรายการด้วยรายละเอียดการโทรสั่งซื้อแบบครบถ้วน พร้อมสโลแกนเด็ดที่ชี้ชวนให้คุณโทรสั่งซื้อสินค้าตอนนั้นเลย แม้มันจะโผล่ขึ้นมาตอนเที่ยงคืนก็ตาม

“ถ้าคุณโทรมาภายใน 10 นาทีนี้..” ที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าอย่างคุณหากสั่งซื้อตอนนั้นเลย ซึ่งก็มีวงดนตรีแนว A cappella อย่าง ‘Alarm9’ เอาไปใช้เป็นไอเดียในการแต่งเพลงของพวกเขาอย่าง ‘ถ้าคุณโทรมา (ใน 10 นาทีนี้)’ ในช่วงปี 2558 โดยวางคาแรกเตอร์สมาชิกในวงให้เป็น อลาร์ม 9 ไดเร็ก ที่พร้อมดูแลหญิงสาวใน MV สุดหัวใจ หากเธอโทรมาหาภายใน 10 นาทีนี้

ซึ่งตัวเพลงก็หยิบเอารูปแบบการดำเนินเรื่องแบบรายการขายตรงมาใช้ในการแต่งเพลง ไล่เรียงตั้งแต่ท่อนแรก ๆ ที่บอกกับอีกฝ่ายว่าเหนื่อยมั้ยกับความรักแบบเดิม ๆ มันมีวิธีที่ดีกว่านั้นนะ เริ่มจากการกดโทรเบอร์ที่เราให้ไปแล้วโทรเข้ามา เราพร้อมจะไปดูแลคุณ

ถือเป็นเพลงน่ารัก ๆ อีกเพลงที่หยิบเอาความทรงจำจากสื่อโทรทัศน์ไทยมาต่อยอดให้กลายเป็นเพลงสุดครีเอต ที่นำเสนอความสร้างสรรค์ในฐานะของ Storytelling ได้อย่างน่าสนใจ และยังทำให้คนฟังเพลงหวนนึกถึงสิ่งที่พวกเขาเติบโตกันมาจากจอทีวีคู่บ้าน ที่กำลังกลายเป็นเครื่องการสื่อสารที่ค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลงตามยุคสมัย

ที่มา

AUTHOR

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป