นฤมิตไพรด์ ร่วมจัดขบวนแห่

เฉลิมฉลองประวัติศาสตร์การต่อสู้ 20 ปี ของกลุ่ม LGBTQIA+ หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว

18 มิถุนายน 2567

วันนี้ (18 มิถุนายน 2567) นฤมิตรไพรด์ พร้อมด้วยคณะทำงานภาคประชาชนและประชาสังคมจัดงาน “แรลลี่ทั่วกรุง ฉลองสมรสเท่าเทียม” Celebrate of Love ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรม หลังสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ท่ามกลางความปิติยินดีของกลุ่มชุมชนชาว LGBTQIA+ และกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมเดินหน้าจัดการจดทะเบียนสมรสกว่า 1,000 คู่ เพื่อฉลองให้กับการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้งนฤมิตรไพรด์ กล่าวว่า ความสำเร็จในการผลักดันร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมฉบับนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมเท่านั้น ซึ่งวันนี้เป็นวันสำคัญที่รอคอยมานาน หลังจากที่มีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศมากว่า 20 ปี และเชื่อว่าเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว จะมีคนออกมาแสดงตัวตนอย่างภาคภูมิมากขึ้น

ภายในงานเต็มไปด้วยธงสีรุ้งพริ้วไสวใจกลางเมือง ถือเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ที่จะต้องจารึก คู่รัก LGBTQIA+ หลากหลายช่วงวัยเดินทางมาร่วมงานเพื่อถ่ายรูปฉลองชัยชนะที่ต่อสู้มาหลายปี เพื่อสิทธิเท่าเทียมกันทางเพศ พร้อมประกาศชัยชนะจากการต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ เพื่อแสดงออกถึงความสำเร็จและความร่วมมือกันเพื่อสิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์ที่แสดงออกผ่านเรื่องความอิสระทางเพศ

ขณะเดียวกันทางด้านการจัดงานบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับตัวแทนกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทำการวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์มาร่วมแสดงความยินดี

จากนั้น นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขึ้นกล่าวรายงานว่า เป็นเวลากว่า 12 ปี ที่ร่างกฎหมายสมรวเท่าเทียมถูกนำเข้าสภาเพื่อพิจารณาฉบับแล้วฉบับเล่า ซึ่งวันนี้ในที่สุดกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็ผ่านสภาแล้ว ต้องขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาคประชาชนและภาครัฐ พร้อมขอผลักดันให้ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Pride ในปี 2030

อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ถึงความสำเร็จจากการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างไม่ลดละ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นยิ่งใหญ่ และเกิดขึ้นได้อย่างไร แน่นอนว่าระหว่างทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายแล้วหากผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นมนุษย์ ก็ไม่ยากเกินรอคอยที่จะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ