จบลงไปแล้วกับพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ปารีสเกมส์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ท่ามกลางผู้ชมนับแสนริมสองฝั่งแม่น้ำแซน (La Seine) และสายตาอีกนับพันล้านคู่ที่รับชมการถ่ายทอดสดจากทั่วทุกมุมโลก การแสดงโชว์ที่นำเสนอความเป็น ‘ฝรั่งเศส’ ผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือการผสมผสานสิ่งเหล่านี้เข้ากับความเป็นยุคสมัยใหม่ ซึ่งเห็นได้จากการแสดงโชว์ในหลายชุด ที่หยิบยกองค์ประกอบดังกล่าวมานำเสนอในแง่มุมใหม่



ทั้งชายปริศนาสวมผ้าคลุมถือคบเพลิงที่ล้อเลียนมาจากตัวละครในเกม Assassin’s Creed ภาพอดีตราชินี มาเรีย อ็องตัวเนต ถือหัวที่ขาดสะบั้นของตัวเองยืนฟังวงเมทัลอย่าง GOJIRA บรรเลงเพลง Ah! Ça Ira บนอาคารศาลฎีกา เพื่อสื่อถึงความเกรี้ยวกราดและดุดันในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส บุคคลในภาพวาดจากงานศิลปะที่ติดตั้งไว้ในพิพิธภัณฑ์ Louvre หนีจากภาพออกมาชมพิธีเปิดโอลิมปิก ตัวละครวายร้ายสุดน่ารักจากอนิเมชั่น Minion แอบขโมยภาพโมนาลิซ่าไป หรือแม้กระทั่งหญิงสาวในชุดเกราะควบม้าบนแม่น้ำแซน ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก โจนออฟอาร์ก วีรสตรีในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส


ที่มาภาพ AIS PLAY

ที่มาภาพ AIS PLAY


แต่โชว์ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เพียงชั่วข้ามคืนคงหนีไม่พ้นการแสดงที่แดร็กควีนหลายคนนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร ขณะที่ชายตัวสีฟ้าแต่งกายคล้ายเทพปกรนัมนั่งร้องเพลงอยู่บนโต๊ะ เนื่องจากภาพดังกล่าวที่ปรากฏออกมาคล้ายกับภาพวาดระดับตำนานอย่าง ‘The Last Supper’ ที่ เลโอนาโด ดาวินชี ศิลปินชาวอิตาลี วาดให้แก่ ดยุกลูโดวีโก สฟอร์ซา เป็นจิตรกรรมฝาพนังที่ถูกวาดไว้ในโบสถ์ Santa Maria delle Grazie ที่มิลาน ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์พระเยซูรับประทานอาหารค่ำครั้งสุดท้ายร่วมกับเหล่าสาวก ก่อนที่จะถูกนำไปตรึงกางเขน

ภาพวาด The Last Supper มีความสำคัญทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และศาสนา การนำแดร็กควีนผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ามา Parody ในฉากนี้จึงเป็นการปลดแอกทางขนบธรรมเนียม เนื่องจากในศาสนาคริสต์มองว่า LGBTQIA+ เป็นคนบาป ดังนั้นการที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ามามีส่วนเกี่ยวของกับผลงานทางศาสนา เปรียบเสมือนประกายไฟที่ถูกจุดติดขึ้นในวงล้อมแห่งยุคสมัย ที่คล้ายเป็นการบ่งบอกถึงสิทธิเสรีภาพทางเพศ

ที่มาภาพ cenacolovinciano.org/en/
อีกทั้งการนำเสนอแดร็กควีนเพื่อพรีเซนต์ความเป็นฝรั่งเศสนั้น ไม่ได้ถูกนำมาใส่แบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าในอดีตกรุงปารีสเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการแสดงโชว์คาบาเร่ต์และแดร็กที่สำคัญในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ปี 1948 สถานบันเทิงที่มีการแสดงโชว์แดร็กได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่าน Rue des Martyrs ของกรุงปารีส และเป็นแหล่งให้กำเนิดวัฒธรรมเกี่ยวกับการแสดงโชว์แดร็กและคาบาเร่ต์มากมาย
จะเห็นได้ว่าการผนวกแดร็กเข้ากับเรื่องราวทางศาสนา ไม่ใช่การผสมผสานระหว่าง ‘เก่า’ กับ ‘ใหม่’ หากแต่เป็นการนำศาสนาและประวัติศาสตร์มารวมกันเพื่อบอกเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงเรื่องเพศที่ดำรงอยู่คู่กับศาสนามาตลอด แต่ไม่ได้รับการนำเสนอหรือบอกเล่า นี่จึงไม่ใช่แค่โชว์เปิดโอลิมปิก แต่เป็นการโชว์เปิดวิสัยทัศน์ในเรื่องของเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) ซึ่งเป็นคำขวัญประจำชาติของฝรั่งเศสที่ได้มาจากการต่อสู้กับระบบชนชั้นวรรณะมานับร้อยปี