ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ในยุคที่ Youtube กำลังเริ่มบูมในประเทศไทย และรูปแบบการปล่อยเพลงแบบใหม่ที่กำลังเริ่มต้นอย่าง ‘Single’ หรือการปล่อยผลงานเป็นเพลง ๆ นั้นค่อย ๆ กระจายตัวออกเป็นวงกว้าง เพราะรูปแบบการปล่อยวิดีโอผ่านช่องทางนี้นั้นสามารถเอื้อต่อการค่อย ๆ ทยอยผลงานเพลงจนสร้างการเป็นที่รู้จักได้
การจะมีศิลปินเพลงที่ผู้คนรอฟังการปล่อยทุก ๆ Single ในช่วงนั้น ก็เป็นทั้งเรื่องง่ายและยากในคราวเดียว หากแต่ศิลปินที่เรากำลังหยิบเรื่องราวของเขามาเล่าในวันนี้ เขาคือหนึ่งคนที่เราเองก็ติดตามผลงานเพลงใหม่ทุกเพลงของเขาในช่วงนั้นเรื่อยมา เพราะทุกเพลงในห้วงเวลาเดียวกันของเขานั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจ และทำให้ตัวตนของเขาในฐานะศิลปินน่าจับตามองนับตั้งแต่ผลงานแรกเป็นต้นมา
SUM UP Taste ขอพาทุกคนไปรู้จักชีวิตในวงการเพลงตลอดระยะเวลา 9 ปี ของ ‘Atom’ หรือ ‘อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม’ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าเล่า และน่ารู้จักมากมาย ตามอ่านเรื่องราวของเขาได้ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป
อ๋อ ก่อนจะเล่าเรื่องเขา ชื่อของชายผู้นี้คือ “ชะ-นะ-กัน” นะ ไม่ใช่ “ชน-กัน”

‘ด.ช.ชนกันต์ รัตนอุดม’ เกิดมาในครอบครัวที่ทำงานด้านกฎหมายมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ตลอดชีวิตของเขาคลุกคลีอยู่กับงานด้านนี้มาโดยตลอด ซึ่งก็ส่งผลต่อชีวิตในแง่ความคิดความอ่าน และเป้าหมายลาง ๆ ที่มีคณะนิติศาสตร์เป็นพื้นฐานการเลือกเรียนต่อชีวิตไปโดยปริยาย และอาจจะทำงานด้านกฎหมายเหมือนอย่างที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต
แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้มีแต่เรื่องนี้ครอบคลุมความคิดเสมอไป เพราะเขาเรียนรู้ที่จะลองแต่งเพลงและเล่นดนตรีมาตั้งแต่ช่วง ป.5 – ป.6 ซึ่งเขามีวงที่ใช้เรียนกีตาร์ผ่านหนังสือเพลงมากมาย อย่าง Clash, Bodyslam, Bigass หรือ ABNormal รวมถึงเขายังมีความชอบแต่งกลอน จนได้ลองแต่งนู่นแต่งนี่ไปเรื่อย กลายเป็น Demo จริง ๆ บ้างก็มี เคยแต่งเพลงเข้าประกวดบนเวที ‘Hot Wave Music Awards’ ตอน ม.3 – ม.4 แต่ก็ไม่ผ่านการคัดเลือก
จนเข้าเรียนที่ธรรมศาสตร์ ในคณะนิติศาสตร์อย่างที่หางเสือครอบครัวชี้ทางไว้ ชีวิตของเขาก็คลุกคลีอยู่กับด้านดนตรีเสียมากกว่า อาศัยการอ่านเอง เข้าเรียนบ้างบางครั้ง และทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าชมรมดนตรี เล่นดนตรีกลางคืน และฝึกทำเพลงส่งค่ายน้อยใหญ่มากมาย
วันหนึ่งของการอัด Demo อะตอมพบกับ ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ เข้า และจากการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ทำให้แอมมี่ช่วยเอา Demo ไปเสนอที่ค่าย ‘Sanamluang Music’ และทำให้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ในปี 2554
แต่หากนับจริง ๆ ผลงานแรกที่เราได้ฟังกันอย่าง ‘Please’ ก็ปล่อยเมื่อตอน พ.ศ.2558 นี่ แล้วช่วง 4 ปี หลังการเซ็นสัญญาเขาทำอะไรบ้าง
อะตอมเล่าในรายการป๋าเต็ดทอล์ก ว่าในช่วงระยะเวลา 3 ปีนั้น เป็นการเป็นศิลปินฝึกหัดที่ฝึกและหัดจริง ๆ นัดประชุมทุกอาทิตย์ เพื่อทดลองหลายอย่าง หาตัวตน พัฒนาศักยภาพ โยนโจทย์ให้ลองทำ พาไปลองทำเพลงกับโปรดิวเซอร์หลาย ๆ คน จนได้เจอกับ ‘บอล-กันต์ รุจิณรงค์’ จากวง ‘อพาร์ตเมนต์คุณป้า’ ที่ช่วยพัฒนาเขาจนกลายเป็นผลงานเพลงจริง ๆ ออกมาได้
นอกเหนือจากช่วงเวลาแห่งการฝึกซ้อมเหล่านั้น อะตอมก็ได้ท่องยุทธจักรของการทำงานเบื้องหลังวงการเพลงมากมาย จากการนำของบอล ทั้งการพาไปรู้จักกับ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ พาไปทัวร์คอนเสิร์ตด้วย พาไปให้ลองร้องคอรัสให้ และใช้ชีวิตอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายในฐานะคนเบื้องหลังวงการเพลง จนได้เข้าไปช่วยแต่งเพลงบางเพลงที่เราคุ้นเคยกันอย่าง ‘รักเอย’ (2557) ของดา เอ็นโดรฟิน หรือเพลง ‘ปล่อย’ (2557) ของป็อบ ปองกูล
จนช่วงที่เพลง ‘Please’ สุกงอมจนใกล้เวลาเผยแพร่ ทางค่าย Sanamluang Music ก็ต่อสายตรงหาเขาว่าค่ายกำลังจะปรับโครงสร้างภายใน และเขาก็จับพลัดจับผลูไปอยู่ค่ายใหม่อย่าง ‘White Music’ แทน “เอาอีกแล้วหรอวะ” อะตอมจำขึ้นใจว่าช่วงนั้นเขาน้ำตาตกในอีกครั้ง และได้แต่ครุ่นคิดว่าทำไมการจะมีผลงานของตัวเองมันดูยากลำบากเหลือเกิน
กระทั่งเพลงแรกของเขาได้ปล่อยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2558 และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาเรียนจบปริญญาตรี เขาตั้งข้อเสนอกับครอบครัวไว้ว่าหากภายในระยะเวลา 1 ปีงานนี้ของเขามันไม่สำเร็จ เขาจะกลับไปทำงานเป็นทนายเหมือนกับครอบครัว
ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาอย่างที่เราเห็นกัน เพลง ‘Please’ ของเขาถูกให้ความสนใจมากมายจากผู้คน แม้จะใช้ระยะเวลานานหน่อยประมาณครึ่งปีในการที่เพลงนี้จะเริ่มถูกให้ความสนใจ จากการปล่อย Single ที่สองในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน อย่างเพลง ‘แผลเป็น (Scar)’ ซึ่งทำให้ทั้งสองเพลงนี้โด่งดังในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
จากทั้งน้ำเสียงของอะตอมเองที่นุ่มนวล อบอุ่น และเข้าถึงอารมณ์เพลง จากการที่เรื่องราวเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ตรงของเขาและผู้คนในยุคนั้น จากหน้าตาของ MV ทั้งสองตัวที่ความน่าสนใจ ทั้ง MV เพลง Please ที่เลือกใช้ฟิลเตอร์สีหม่นที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในยุคนั้น ไม่ว่าจะ Instagram หรือ Camera360 อะไรก็ตามแต่ และใน MV เพลง แผลเป็น ที่หยิบประเด็นรอยสักคนรักเก่ามาถ่ายทอด ซึ่งเข้ากันได้ดีกับเนื้อหาเพลง และกลายเป็นกระแสไลรัลในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
สิ่งนี้การันตีความสำเร็จของเขา และการันตีแล้วว่าสิ่งที่เขายื่นข้อเสนอกับครอบครัวไว้เผื่อความไม่ประสบความสำเร็จนั้นถูกล้มเลิกไป ทำให้ ‘Atom’ กลายเป็นชื่อศิลปินหน้าใหม่ที่ผู้คนให้ความสนใจนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยองค์ประกอบหลากหลายที่หาตัวจับยากของอะตอม ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขามีผลงานเพลงมากมายที่ผู้คนต่างจดจำได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ Single ที่ 3 ‘ทางของฝุ่น (Dust)’ (2559) ที่เล่าเรื่องบาดลึกกินใจ หรืออีกเพลงที่พลิกคาแรกเตอร์ของอะตอมไปสิ้นเชิงอย่าง Single ที่ 4 ‘อ้าว’ (2559) ซึ่งเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยลูกเล่นมากมาย ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และ MV ที่กวนจนคนร้องและจดจำกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นของเพลงจิกกัดคนรักอีกฝ่ายได้อย่างเบามือ แต่เจ็บจี๊ดไปถึงข้างใน
และกลายเป็นเพลงที่มีกลิ่นอายใกล้ ๆ กันอย่าง ‘ช่วงนี้ (Karma)’ (2560) และ ‘อย่าบอก’ (2560) ที่หยิบเอาลูกเล่นการจิกกัดความรักของอีกฝ่ายที่เป็นตัวแทนสะท้อนของความไม่รักดี มาบิดวิธีการเล่าซึ่งไม่ใช่การว่า หรือพูดกันตรง ๆ แต่ใช้วิธีการเล่าทางอ้อมที่พร้อมเสียดแทงความรู้สึก และทำให้ผู้ฟังที่อาจเคยพบเจอประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน หรืออาจจะไม่เคยพบเจอแต่ชอบแนวทางการเล่าเรื่องในเพลงแบบนี้ชื่นชอบกัน
เมื่อช่วงชีวิตเลยผ่าน เรื่องราวประสบการณ์ความรักที่ประกอบสร้างให้เป็นตัวเขาก็เปลี่ยนหน้าตาไปเรื่อย ๆ ตามโอกาสของชีวิต อย่างการควงแฟนสาวเข้าพิธีวิวาห์ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอะตอมก็ได้ปล่อยเพลงน่ารัก ๆ ออกมาในชื่อ ‘ดีดี’ (2567) เพื่อสะท้อนเรื่องราวความรักครั้งล่าสุดที่สดใสของเขา ให้ผู้ฟังที่มีความรักเหมือน ๆ กันได้อินไปกับลีลาความนุ่มนวลที่คุ้นเคย
ถึงตอนนี้ อะตอมก็กำลังมีผลงานล่าสุดอย่าง ‘ไหล่อ่อน (Soft Shoulder)’ (2567) เพลงที่แต่งขึ้นมาจากชีวิตจริงของเพื่อนที่อะตอมคอยดูใจอยู่ตลอด ๆ ในช่วงที่เพื่อนของเขาอกหัก ซึ่งไม่ใช่แค่อกเท่านั้นที่หักรวดร้าว แต่ร่างกายของเพื่อนเขาดูเหมือนจะอ่อนแอลงทุกส่วน เพราะเพียงแค่เขาแตะไหล่ น้ำตาเพื่อนก็ไหลออกมาจนต้องบอกอะตอมว่าช่วงนี้ห้ามมาแตะตัว
อะตอมจึงแต่งขึ้นมาเป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่หัวจิตหัวใจอ่อนไหวง่าย แต่พยายามจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และใจหนึ่งก็อาจจะอยากให้มีคนรับฟัง แต่ไม่ต้องถามว่าฉันเป็นอะไร หรือไม่ต้องมาแตะตัวฉันเลยจะดีกว่า ให้ฉันดีขึ้นด้วยตัวฉันเองจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
โดยตัวเอ็มวีเพลงนี้ได้ ‘หยิ่น-อานันท์ ว่อง’ และ ‘ฟรัง-นรีกุล เกตุประภากร’ มาร่วมแสดงเป็นเชฟในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่กุ๊กกิ๊กกัน โดยฟรังเป็นเชฟที่อยู่ในร้าน แต่หยิ่นคือคนที่มาสมัครใหม่แล้วต้องผ่านการฝึกฝีมือจนกว่าจะทำหน้าที่หัวหน้าเชฟภายในร้านได้ จนหยิ่นทำมันได้สำเร็จ แต่ฟรังจำเป็นที่จะต้องย้ายไปเป็นเชฟที่ออสเตรเลีย และต้องทิ้งให้หยิ่นเป็นหัวหน้าเชฟอยู่ที่ไทยคนเดียว
อะตอมกล่าวในรายการ EFM DJ PLAYLIST ว่าที่เลือกอาชีพนี้มาเป็นสถานการณ์ภายในเรื่อง เพื่อทำให้ตำแหน่งพระเอกต้องมีหน้าที่แค่เข้มแข็งเท่านั้นในการเป็นหัวหน้าคน จะไหล่อ่อนระทวยไหลตามอารมณ์ไม่ได้ อย่างที่จะสังเกตได้จากในเรื่องที่หยิ่นพยายามเก็บน้ำตาไว้ตลอด แต่จะแสดงออกถึงความเศร้าที่ต้องลาจากผ่านสีหน้าเท่านั้น
และนั่นคือผลงานล่าสุดจากเขา ศิลปินหน้าใหม่ที่ผู้คนจับตามองในทุก Single ตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ที่เขายังคงยืนหยัดในการเป็นศิลปินที่คอยสร้างสรรค์เนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ หนักแน่น และกำลังผลิตผลงานใหม่ ๆ เพื่อทำให้ตัวตนที่คอยนำพาเรื่องราวผ่านเสียงเพลงของเขาสู่คุณได้อย่างที่เคยเป็นมา

ที่มา
- https://www.thairath.co.th/entertain/news/2166611
- https://www.youtube.com/watch?v=bbLAidKH24M
- https://www.facebook.com/efmstation/videos/1039317757789791