อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน

‘อายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ ผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่าน ได้ออกมากล่าวว่า “อิหร่านตบหน้าสหรัฐฯ อย่างแรง ด้วยการโจมตีฐานทัพสำคัญ” ซึ่งคำพูดนี้มีที่มาจากการปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ก่อนที่สหรัฐฯ จะเข้ามาร่วมแจมด้วยการโจมตีอิหร่าน และถูกตอบโต้กลับไป แต่สถานการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะสงบลงแล้ว ซึ่งคาเมเนอีในวัย 86 ปีเป็นผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่านมากว่า 3 ทศวรรษเต็ม และเส้นทางชีวิตของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่น่าสนใจ 

คาเมเนอี เกิดในปี 1939 ที่เมืองมัชฮัด ประเทศอิหร่าน เขาเป็นลูกชายคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คน พ่อของเขาเป็นนักบวชที่มีชื่อว่า ‘จาวาด คาเมเนอี’ (Javad Khamenei) บ้านของคาเมเนอีมีฐานะยากจนและเป็นบ้านที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา เขาและพี่ชายถูกส่งให้ศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานตั้งแต่อายุน้อย ๆ จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนศาสนาตอนอายุได้ 18 ปี เขาเคยเดินทางไปศึกษากฎหมายอิสลามนิกายชีอะห์ที่เมืองนาจาฟ (Najaf) ประเทศอิรักอีกด้วย คาเมเนอีเคยเล่าว่า “พ่อและแม่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางนี้” 

คาเมเนอีเป็นคนที่ตกหลุมรักในบทกวี เขามักจะกล่าวถึงบทกวีในสุนทรพจน์ของตนเองอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งความชื่นชอบในบทกวีนับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในตัวนักบวช นอกจากนี้เขายังมีความชื่นชอบเกี่ยวกับการทำสวนอีกด้วย ส่วนบทบาททางด้านการเมือง เขาเป็นคนที่แนวความคิดต่อต้านการปกครองของพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน ช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 คาเมเนอีได้เข้ามามีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้านระบอบกษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ รวมถึงต่อต้านกระบวนการตะวันตกนิยมในอิหร่าน ส่งผลให้เขาถูกจับโดยหน่วยตำรวจลับ หน่วยข่าวกรองซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามฝ่ายที่ต่อต้านระบอบพระเจ้าชาห์

พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี หรือ พระเจ้าชาห์ ได้ทำหน้าที่ปกครองอิหร่านมาจนถึงปี 1979 ซึ่งเขาได้รับการสนับสนุนจากประเทศทางตะวันตก รวมถึงอังกฤษและสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างเติบโตและรายได้หลัก ๆ มาจากการขายและส่งออกน้ำมัน แต่ในขณะที่เศรษฐกิจดีขึ้นแต่คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศกลับแย่ลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่กลุ่มนักศึกษา ปัญญาชน และนักบวช ได้รวมตัวกันเพื่อผลักดันให้การปฏิวัติเกิดขึ้นจริง

หลังจากที่พระเจ้าชาร์ถูกโค่นจากการปฏิวัติในปี 1979 ส่งผลให้อิหร่านกลายเป็นสาธารณรัฐอิสลาม และคาเมเนอีก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิวัติอิสลาม ซึ่งตำแหน่งนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการบริหารการปฏิบัติ นอกจากนี้เขายังได้รับแต่งตั้งเป็นรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอีกหนึ่งตำแหน่งที่พ่วงมาและถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติก็คือ การเป็นผู้นำละหมาดทุกวันศุกร์ 

ทั้งนี้ เส้นทางชีวิตของคาเมเนอีได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นในปี 1981 เพราะในปีนั้นคาเมเนอีได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน ซึ่งเขาได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า 95% ซึ่งเป็นการรับไม้ต่อจากประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด อาลี ราไจ (Mohammad Ali Rajai) ที่ถูกลอบสังหารจากการระเบิด ในกรุงเตหะราน ส่วนคาเมเนอีก็ตกเป็นเป้าในการลอบสังหารเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านั้นเช่นกัน และเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บและแขนขวาของเขาไม่สามารถใช้งานได้ และถัดมาในปี 1989 คาเมเนอีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำสูงสุดหลังจากที่อายาตอลเลาะห์ โคไมนี (Ruhollah Khomeini) เสียชีวิตนั่นเอง และเขาก็นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำสูงสุดมาจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง