กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ กับหลากหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดงท่านหนึ่ง รวมถึงอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบกลายมาเป็นพรรคก้าวไกล ในท้ายที่สุด ชื่อของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรณีถือครองหุ้นสื่อ … ถึงจะถูกสั่งให้พ้นสภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่ที่มีต่อสังคมของกอล์ฟจะต้องจบไปด้วย

ชื่อของ กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ กลับสู่วงการบันเทิงอีกครั้งและปังกว่าเดิม เธอทุ่มเทสร้างผลงานมากมายอย่างเต็มที่ พร้อมกับหอบอุดมการณ์มาดมั่นที่ว่า “คนเท่ากัน” ใส่เข้าไปในผลงานการผลิตของตัวเองทั้งซีรีส์ BL และ GL อย่างสมศักดิ์ศรี

กอล์ฟ - ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

จากการบันเทิงสู่การเมือง 

“ไม่เคยคิดหรืออยากเข้ามาเป็นสส.เลย” 

พี่กอล์ฟบอกกับเราอย่างชัดถ้อยชัดคำ 

“แต่ที่เข้ามาเพราะความเชื่อและความหวัง”

เราเข้ามาต่อสู้เพื่อคำว่า “คนเท่ากัน” เหตุผลสั้นๆ เลย คือ เราอยากเท่ากับคนอื่น มันเป็นอุดมการณ์แรกของเราที่เราเข้ามาทำงานการเมือง แต่ก่อน ‘วงการบันเทิง’ กับ ‘การเมือง’ ไม่เหมือนสมัยนี้ มันคือคนละเรื่อง สองวงการนี้ไม่มีอะไรที่ยุ่งเกี่ยวกันเลย เราทำงานบันเทิง อยู่ในกองถ่าย เป็นทั้งผู้กำกับ เป็นโปรดิวเซอร์ เขียนบทเอง แสดงเองด้วย บางเรื่องนี่เป็นช่างแต่งหน้าท่านหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มาเปลี่ยนความคิด คือ คนสองคนที่ชื่อว่า ‘ธนาธร’ กับ ‘ปิยบุตร’

อาจารย์ปิยบุตรรู้จักเราในฐานะคนทำหนังที่โดนแบน [Insects in the backyard – แมลงรักในสวนหลังบ้าน (2017)] ตอนนั้นเราต่อสู้เรื่องสิทธิของ Freedom of Expression อยู่แล้ว เรารู้สึกว่าคนทำงานศิลปะ หรือศิลปินต้องมีเสรีภาพทางการแสดงออกผ่านงานศิลปะต่างๆ พอดีกับทางนั้นเป็นช่วงที่ฟอร์มทีมตั้งพรรคอนาคตใหม่ มีการเชิญคนทำงานด้านศิลปะมารวมตัวกัน พูดถึงนโยบายเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมต่างๆ เราถูกเชิญให้ไปพูดคุยถึงเรื่องหนังที่โดนแบน จังหวะนั้น อ.ปิยบุตรเลยชวน สิ่งที่พี่จะเดินหน้าไม่ใช่แค่เรื่องการต่อสู้เรื่องสิทธิของ LGBTQ+ แต่ยังมีอีกหลายมิติมากเกี่ยวกับเรื่องที่ศิลปินพึงมีพึงได้ มันคือ Universal Design สังคมที่ออกแบบเพื่อคนทุกคนมันก็คือคำว่า “คนเท่ากัน”

“ถ้าพี่กอล์ฟอยากเปลี่ยนแปลง พี่ก็ต้องเข้ามาทำ ถ้าพี่กอล์ฟไม่เข้ามาเป็นโรลโมเดล ถ้าพี่กอล์ฟไม่เข้ามาเปิดทาง ถ้าพี่กอล์ฟไม่เข้ามาอยู่ในสภา แล้วพี่กอล์ฟจะเปลี่ยนแปลงมันได้ยังไง…”   ประโยคของอ.ปิยบุตรในวันนั้นนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มากมายมหาศาล

กอล์ฟ - ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

เราตัดสินใจยากอยู่นะ พี่เป็นคนที่หวงแหนชีวิตส่วนตัวมากพอสมควร อินดี้จัด แล้วเราเป็นคนที่ไม่ได้อยากให้ใครมารับรู้ชีวิตอะไรของเรามากมาย เพราะฉะนั้นการที่เป็นส.ส. เราต้องเข้าไปอยู่ในสปอร์ตไลท์ ต้องเข้าไปอยู่ในความขัดแย้ง ต้องเข้าไปอยู่ในงานการเมือง แล้วเราเป็นกะเทย ไม่เคยมีนักการเมืองที่เป็นกะเทยแต่งหญิงมาก่อนเลยนะ เพราะฉะนั้นการเข้าไปของเรา คือ นักการเมืองกะเทยคนแรกที่แต่งหญิงเข้าสภา

“ก็เลยเอาวะ ลองดู!!!”

“สมรสเท่าเทียม” ผ่านแล้วแต่ยังไม่จบ สิ่งที่เราต้องทำกันต่อคือการ educate ให้สังคมยอมรับด้วยความเข้าใจ

ฉลองเดือนไพร์ดกันไปแบบยิ้มแก้มแตก เพราะเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นชอบผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมวาระที่ 2-3 เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการลงมติครั้งนี้ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถให้บุคคลเพศเดียวกันแต่งงานกันได้โดยมีกฎหมายรับรองและมีสิทธิแห่งกันและกันโดยชอบธรรม

“…เหมือนตื่นจากฝันมาเจอโลกแห่งความจริง โลกแห่งความจริงที่เคยอยู่ในฝัน
คือการที่เราได้รับรองโดยกฎหมายว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เท่ากันอยู่ในประเทศนี้…”

“วันที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะบอกว่าพี่หลับ เพราะลากยาวเรื่องถ่ายซีรีส์กันมาข้ามวัน รู้ข่าวก็ตอนตื่น เปิดข้อความในไลน์ก็เห็นว่าผ่านแล้ว จังหวะนั้นยิ้ม รู้สึกว่าโล่ง ดีใจเนาะ สิ่งที่เราต่อสู้มาทั้งหมด มันเกิดขึ้นแล้ว (น้ำตาซึม) เราเดินทางกันมานานมากสำหรับกฎหมายฉบับนี้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องสมรสเท่าเทียม แต่สิ่งที่เราต่อสู้ คือ เราต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เราต้องได้ เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ในประเทศนี้ เราต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น เราต่อสู้เพื่อสิทธิที่ทุกคนพึงได้พึงมีตั้งแต่เกิด แต่ว่าสิ่งที่เราโดนมาตลอด พอเราเป็น lgbt เราโดนริดรอนสิทธิที่เราควรได้มาตลอดชีวิต

เราถูกมองเป็นตัวประหลาด เราไม่มีสิทธิใช้กฎหมายสมรส เพราะว่าถูกระบุว่าทะเบียนสมรสจะจดได้ต้องเป็นชายเป็นหญิง มันจึงเกิดการตั้งคำถาม แล้วเราที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งล่ะ ทำไมจึงไม่ได้สิทธิ์นั้น

และสำหรับพี่ พี่ว่ามันยังไม่จบ สิ่งที่เราต้องทำต่อคือ educate สังคม ให้สังคมเข้าใจ แน่นอนว่าการได้รับการยอมรับโดยกฎหมาย เสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว 100% แต่สิ่งที่มันยากมากกว่าคือทำให้คนในสังคมยอมรับด้วยความเข้าใจ เราจะต้องทำความเข้าใจกับโรงเรียน สถานศึกษา ข้าราชการต่างๆ ที่อยู่ในระบบชายหญิงมาอย่างยาวนาน และยังมีเชื่อความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่อยู่ เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไงต่อไป ถึงจะ educate ทำความเข้าใจกับสังคมไทยว่า คำว่า “สมรสเท่าเทียม” คืออะไร และคำว่าเราได้สิทธิเท่าเทียมกัน คนเท่ากัน มันกินความไปถึงการแต่งกายของนักเรียน นักศึกษา การทำงานของข้าราชการต่างๆ แค่ไหน เพราะฉะนั้นกฎหมายได้มาแล้ว ต้องได้รับการยอมรับจากสังคมด้วยความเข้าใจด้วย”

กอล์ฟ - ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

การเดินทางของ Insects in The Backyard แมลงรักในสวนหลังบ้าน หนังไทยเรื่องแรกของธัญญ์วาริน…ตั้ง 7 ปี กว่าจะได้ฉาย 

Insects in The Backyard หนังไทยที่ได้ฉายใน International Flim Festival แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่กลับถูกแบนไม่ให้ฉายในโรงภาพยนตร์ไทย ด้วยเหตุผลที่ว่า “มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน” Insects in The

Backyard เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ถูกแบนจากพระราชบัญญัติพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551

“ตอนนั้นเราโดนแบน แล้วคำถามก็ประเดประดังเข้ามามาก เหมือนโลกล่มสลาย
เรารู้สึกว่า เฮ้ย!!! เราทำอะไรผิดกับสังคมขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมเราถึงโดนแบน
เราทำหนังโป๊เหรอก็ไม่ใช่ ทำไมหนังโป๊ทุกคนยังดูได้ในมือถือ แต่หนังเรา เราจำกัด
กลุ่มคนดูด้วยเรท ฉ. 20 แล้วทำไมถึงขนาดต้องโดนแบน”

“เราคิดว่า เราสามารถตั้งคำถามที่เป็นปัญหาผ่านสังคมได้ เลยคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขียนบทเอง กำกับเอง แสดงเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมด เขาบอกว่าหนังเราเป็นที่ผิดศีลธรรมอันดี เรารู้สึกว่าทำไมโลกใจร้ายกับกูจัง เราก็เสียใจแล้วก็ต่อสู้โดยการฟ้องศาลปกครอง เรารู้สึกว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก

“มึงทำหนังจัญไร สมควรโดนแบน” 

เราอ่านทุกคอมเมนต์ในโลกโซเชียล นั่งอ่านไปร้องไห้ไป เรารู้สึกว่าเราโดนสังคมตัดสินโดยที่เขายังไม่ได้ดูหนังเราเลยสักนิดเดียว ตอนนั้นเกิดคำถามมากมายในหัว เขาเกลียดอะไรเราถึงมาแบนเรา เขารู้จักเราเป็นการส่วนตัวเหรอก็ไม่ เขาจะเกลียดอะไรเรามากมายขนาดนั้นเหรอก็ไม่น่าจะใช่ เราเองก็พยายามหาคำตอบจนตกผลึกว่า สังคมต่างหากที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น 

สังคมหล่อหลอมคนให้เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศแบบไหน หลักสูตรการศึกษาไม่ได้บอกหรืออธิบายให้เข้าใจ บอกให้เหยียดด้วยซ้ำ เราถูกหล่อหลอมความเชื่อในสังคมระบบชายเป็นใหญ่ ไม่เปิดโอกาสให้มีความหลากหลายทางเพศ หรือให้ความรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศผ่านมุมมองต่างๆ ทั้งครอบครัว สถานศึกษา กฎหมาย และวัฒนธรรม 

เราเลยอ๋อ!!! สิ่งที่ทำให้เราเป็นตัวประหลาดทุกวันนี้ เขาไม่ได้เกลียดเรา แต่การสร้างความเชื่อต่างๆ ต่างหาก การสร้างความเชื่อในสังคมผ่านระบบการศึกษา ผ่านความเชื่อของครอบครัว ผ่านศาสนา ผ่านสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เรากลายเป็นตัวประหลาด”

ต่อมาในปี 2560 Insects in The Backyard แมลงรักในสวนหลังบ้าน สามารถออกฉายได้โดยจำกัดอายุและจำกัดโรง ภายใต้คำสั่งศาลที่ให้ตัดฉากการมีเพศสัมพันธุ์ที่เห็นอวัยวะเพศ 3 วินาทีออก และในปี 2562 Insects in The Backyard ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติประจำปีนั้น

Insects in The Backyard ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หนังไทยที่ผู้สร้างใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ เพราะเสรีภาพในการแสดงออก คือสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะสามารถแสดงความคิดเห็น ความเชื่อ และแนวคิดของตนได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกปิดกั้นหรือแทรกแซงจากรัฐบาลหรือองค์กรใดๆ

จาก Insects in The Backyard ถึง ซีรีส์วายในปัจจุบัน

“สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณคนที่เริ่มทำซีรีส์วาย ขอบคุณคนที่เขียนนิยายวาย
พี่มองว่านี่คือการเปิดทาง หรือจะเรียกว่าเริ่มทำความเข้าใจกับสังคมผ่านวรรณกรรม
คือการ normalize สังคม คือการทำให้สังคมเห็นเป็นเรื่องปกติ”

“ตอนปี 2553 ที่ทำ Insects in the backyard เราพูดถึงความหลากหลายทางเพศ พูดถึงชีวิตของกะเทยคนหนึ่ง พูดถึงทางเลือกของตัวละครในเรื่อง เราโดนแบน โดนตีตราว่าผิดศีลธรรมอันดีงาม นี่ปี 2567 ผ่านมา 10 กว่าปี สิ่งเหล่านั้นในหนังของพี่ที่เคยโดนแบน ถูกนำกลับมาพูดถึงอย่างชัดเจนกว่าเดิม ถูกนำกลับมาให้ความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็น 

ซีรีส์วายเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น เข้าถึงคนหมู่มากมากขึ้น ทำให้เกิดกระบวนการสร้างมูลค่าทางสินค้ามากขึ้น คู่วายมีความโด่งดังในระดับโลก สร้างมูลค่าของแบรนด์เนม แบรนด์ต่างๆ ในระดับโลก  ต้องขอบคุณกระบวนการของคนที่ดูซีรีส์วาย ต้องย้อนกลับไปพูดถึงสมรสเท่าเทียม มันมีความเชื่อมโยงกัน เพราะเมื่อกฎหมายเราออกมา คนดูนี่ล่ะที่ช่วย simplyfly ข้อมูลออกมาเป็น infographic เพจวายต่างๆ เพจนั้นเพจนี้มาช่วยร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้เกิดการสร้างความเข้าใจมากขึ้น จากเมื่อก่อนแรกๆ คนดูซีรีส์วายจะบอกว่าเรื่องคนสองคนในนั้นมันคนละเรื่องกับ lgbt คนเห็นต่างถกเถียงกัน ส่วนเรานั่งยิ้มเพราะอะไร นี่เป็นการเปิดให้สังคมมีการถกเถียงกัน อะไรคือใช่ อะไรคือไม่ใช่ มันคือการสร้างความรับรู้และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการยอมรับ

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

“วาย” มันก็คือ Subset ของ lgbtq+ การที่คนเพศเดียวกันต่อให้บอกว่าชอบผู้หญิงแล้วมาชอบผู้ชายแค่คนเดียวคนนี้ นั่นก็คือความหลากหลายทางเพศ ความลื่นไหลทางเพศ เรากำลังพูดถึงคนที่เป็น Bi-sexual การทำซีรีส์วายทุกวันนี้ไม่ได้พูดเรื่องแค่คนสองคนที่รักกัน แต่ซีรีส์วายกำลังพูดถึงองค์รวมภาพใหญ่ คือ สังคม สังคมการงาน การใช้ชีวิต พูดถึงความเป็นมนุษย์ที่ไม่ต้องมีกรอบอะไรมาให้ยึดติด เราพูดถึงการยอมรับ เพราะไม่ใช่แค่คนสองคนที่รักกัน แต่เป็นการยอมรับจากคนรอบข้าง จากเพื่อน จากครอบครัว จากสังคม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

ซีรีส์วายมีความพัฒนาขึ้นมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา คนทำซีรีส์รวมทั้งพี่ด้วย เราใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นประโยชน์ในการที่จะพูดถึงมิติของประเด็นสังคมต่างๆ อย่างซีรีส์วายเรื่องแรกของพี่ที่ตอนนี้กำลังรีรันคือเรื่อง คาธ ก็เป็นเรื่องราวของนักเรียนที่ต้องเผชิญกับระบอบอำนาจนิยมภายในโรงเรียนที่ต่างถูกกดทับด้วยเผด็จการของผู้ที่ถือตัวว่าเป็นใหญ่กว่า นี่เป็นการกำกับซีรีส์วายเรื่องแรกของพี่ที่พี่ภูมิใจมาก”

ไม่ใช่แค่ Boy Love – Girl Love – Suffix แต่เราต้องไปถึง ‘GENDERLESS’ 

“ความคาดหวังของพี่ในการทำงานเรื่องสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
คือ สังคมที่เป็น Genderless”

“เป็นความบังเอิญมากๆ ที่เดือนมิถุนายนซึ่งเป็น Pride Month มีซีรีส์วายของพี่ 4 เรื่องที่ออกอากาศพร้อมๆ กัน วันดีวิทยา พูดถึงเรื่องของหมอกับนักมวย The Rebound เกมนี้เพื่อนาย นักบาสเกตบอล แบบแมนๆ Club Friday Love Bully รักให้ร้าย อิงฟ้า – ชาลอต Suffix หญิง – หญิง อีกเรื่องคือ คาธ ที่พูดถึงไปแล้ว ก็จะเป็นชีวิตของนักเรียน ทั้งหมด 4 เรื่องนี้ คือความหลากหลาย  คือความลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด 

เราเริ่มมีอัตลักษณ์ต่างๆ ที่ส่งต่อในสื่อให้ทุกคนดู ในวันดีวิทยามีเรื่องของ A-Sexual (ผู้ที่มีความต้องการกิจกรรมทางเพศต่ำหรือไม่มีเลย) เพราะฉะนั้นความคาดหวังของพี่ต่อซีรีส์วายในอนาคตก็คือเราอยากเห็นซีรีส์วายที่มีอัตลักษณ์อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่า Genderless อาจจะยังไม่มีใครเข้าใจ ถ้าเรามีซีรีส์ Genderless สักเรื่องหนึ่ง อาจจะเริ่ม Normalize สังคม Educate สังคม สร้างความเข้าใจในสังคมเรื่อง Genderless เพิ่มมากขึ้น อนาคต Series Y ไปสุดแน่นอน เราอยากให้ไปสุดแบบคนทำต้องเข้าใจด้วยนะ ไม่ใช่ทำเพราะมันเป็นกระแส ทำเพราะความไม่เข้าใจ

เรารู้สึกว่าเราเดินทางมาไกลมาก ทั้งตัวเราเองแล้วก็สังคมไทยด้วย จากวันที่เราทำหนังแล้วโดนแบน จากวันที่เราไปเสนอนายทุนแล้วถูกปฏิเสธในการที่จะทำหนังผู้ชายรักกัน ทุกวันนี้นายทุนบอกว่ากอล์ฟมาทำซีรีส์วายเถอะ กอล์ฟมาทำหนังที่เล่าเรื่องผู้ชายกับผู้ชายรักกันเถอะ เรารู้สึกว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

จากการที่เราอาจจะไปชอบผู้ชาย แล้วผู้ชายบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาชอบเรา แต่พอวันหนึ่งในวันนี้ เราไปคุยกับเด็กยุคใหม่ เด็กผู้ชายยุคใหม่บอกว่าผมคบได้ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือจะเป็นสาวสอง หรือจะใครที่เข้ามาจีบ เราได้ยินทัศนคติแบบนี้เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เป็นที่เข้าใจในหมู่คนอนุรักษนิยม หรือคนที่เกิดมาแล้วมีความเชื่อเรื่องชายหญิงอย่างเดียว แต่มันเป็นหน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้าไปทำ ร่วมด้วยช่วยกันในการที่จะสร้างความเข้าใจให้สังคมไทย แน่นอนว่าหลักสูตรการศึกษาต้องเปลี่ยน การทำงานในข้าราชการต่างๆ ความรับรู้ต่างๆ มันต้องเปลี่ยน เพราะสิ่งเหล่านี้ในอนาคตที่เราต้องร่วมมือทำความเข้าใจกับประชาชนคนไทยให้เข้าใจเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียมมากขึ้น ให้เข้าใจคำว่า “คนเท่ากัน” มากขึ้น ให้เข้าใจสิทธิต่างๆ ที่เราควรได้ควรมีตั้งแต่เกิดและ respect ซึ่งกันและกันมากขึ้น 

เราจะเป็นสังคม Genderless ได้ต้องผ่านกระบวนการการเรียนรู้ เราต่างเติบโตไปพร้อมๆ กัน ทั้งในบริบทของสังคม เรื่องราว เราคาดหวังว่าคนทำซีรีส์วายจะเข้าใจเรื่องสิทธิของ lgbt ด้วย ซึ่งทุกวันนี้เราเจอผู้กำกับซีรีส์วายหลายๆ คน ได้พูดคุย เริ่มรู้สึกว่าพวกเขาได้เปิดใจเรียนรู้ ทำความเข้าใจแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ใครไม่เข้าใจช่างมึง ช่างมันไม่ได้ เราต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจไปด้วยกัน สังคมก็จะได้เติบโตไปด้วยกัน มันต้องไปสุดพร้อมๆ กัน

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

“รัฐไทย” ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้วงการบันเทิงบ้านเราก้าวเข้าสู่ความเป็น Global

“อุปสรรคหลักของเราก็คือ ‘รัฐ’ เราพูดเรื่องนี้บ่อยไม่ว่าจะตอนเป็นสส.
หรือตอนนี้ เราพูดเรื่องนี้ตลอด อุปสรรคสำคัญ คือ mindset คือ ทัศนคติของรัฐไทย
ซึ่งยังมองสิ่งเหล่านี้แบบไม่เข้าใจ”

“พี่เป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับทุนส่งเสริมสนับสนุนโปรเจกต์หนัง เราเสนอไป 1 เรื่อง ต้องใช้เงิน 5 ล้าน 10 ล้านแต่ได้มา 1 ล้าน เขาบอกให้เราทำให้เสร็จ จะเสร็จไหมล่ะ มันไม่เสร็จหรอก เพราะฉะนั้นแปลว่าเขาอยากส่งเสริมสนับสนุนไหม เขาอยากนะ แต่ยังขาดความเข้าใจในกระบวนการ อย่างเกาหลีคือ roadmap 20 ปี เขาจะต้องได้ออสก้าหรือได้เมืองคานส์ หรือว่าต้องอยู่ในตลาดโลก ที่เกาหลีเขามีหน่วยงานที่เข้าใจเรื่องนี้แบบจริงจัง เพราะฉะนั้น การที่จะส่งเสริมสนับสนุนต้องเริ่มตั้งแต่ราก พี่มองมิติต่างๆ ออกมาแบบนี้…

มิติที่ 1 คือ หลักสูตรการศึกษาก่อนเลย การที่ศิลปะประเทศไหนจะเติบโต คนในประเทศก็ต้องเข้าใจและเข้าถึงศิลปะด้วย การเรียนการสอนศิลปะไทยยังสอนให้เป็น Copy ให้เป็น Technician ไม่ได้เป็น Artist เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่แก้ ไม่รื้อระบบการศึกษาจะทำให้ Audience ไม่ได้ถูกเรียนรู้ ไม่ได้ถูกทำความเข้าใจในงานศิลปะที่หลากหลาย 

เราถูกสอนศิลปะมาแบบผิดๆ ตลอด หมายความว่า ถ้าวาดรูปส้มต้องวาดรูปส้มอย่างเดียวให้เป็นส้ม ให้เหมือนส้มที่สุด สมมติอาจารย์สอนศิลปะเอารูปส้มวางไว้หน้าห้องเรียนให้วาด แล้วมีนักเรียน 1 คนวาดเป็นส้มแล้วมีเปลือกเป็นทุเรียน คนนี้จะได้ 0 คะแนนทันที คือบอกว่าผิดแล้ว โดยไม่เปิดโอกาสให้เขามาพรีเซนต์ ทั้งๆ ที่งานศิลปะมันอยู่ที่การพรีเซนต์ และวิธีคิด นี่คือจินตนาการ การสอนศิลปะไทยคือการฆ่าตัดตอนจินตนาการของเด็ก

มิติที่ 2 ส่งเสริมคนทำ คนทำก็ต้องถูกได้รับการส่งเสริมสนับสนุนด้วยงบประมาณ ต้องส่งเสริมตั้งแต่วิธีคิด พัฒนาวิธีคิด กระบวนการทำงานและการตลาด แน่นอนการส่งเสริมคนจะยิ่งทำให้เกิดศักยภาพในการทำงานศิลปะ การเข้าถึงคนทั่วโลกต้องมีเงินทุน ต้องตั้งแต่วิธีคิดจนถึงปลายทางให้ออกมาเป็นงาน เป็นหนังสือ เป็น Animation หนัง ซีรีส์

มิติที่ 3 รัฐบาลต้องเปลี่ยนความคิด ส่งเสริมสนับสนุนด้วยความเข้าใจ 

มิติที่ 4 องค์กรธุรกิจ จะโรงหนังเองก็ดี โทรทัศน์เองก็ดี จะต้องมีพื้นที่และเวลาให้กับงานศิลปะที่หลากหลาย เราทำให้ตาย ไม่มีที่ให้ออก ให้โชว์ ไม่มีที่ให้คนดู ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นต้องมีตั้งแต่คนดู คนทำ รัฐบาล และองค์กรธุรกิจที่จะเพิ่มพื้นที่และเวลาให้กับความหลากหลายของงานศิลปะต่างๆ 

เม็ดเงินที่เข้ามาต้องเข้ามาถึงคนทำ ทำยังไงให้มี Connection ในระดับโลกแล้วไปเปิดตลาดในระดับโลก ไปสร้างพื้นที่ทางการตลาดด้วย เกาหลีเขาลงทุนทำหนังเรื่องหนึ่งเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะขายแค่ในประเทศไทย เพราะฉะนั้นแค่คิดแบบนี้ว่าเขาจะขายในตลาดโลก เม็ดเงินลงทุนก็ต่างกับไทยแล้ว พอไทยบอกว่าจะทำหนัง 1 เรื่องจำกัดงบก่อนเลย แต่พอเขาบอกว่าจะทำหนัง 1 เรื่อง เขาจะขายใคร เขาบอกว่าเขาจะขายทั่วโลก วิธีคิดต่างกันมาก Local กับ Global เงินทุนคนละแบบ ถ้านายทุนคิดแต่ว่าจะทำหนังเล็กๆ แล้วจะขายระดับโลก ไม่ได้สิ เราต้องคิดว่าต้องเป็น Global Budget ไม่ใช่ว่าเป็น Local Budget”

เมื่อโลกเปลี่ยน เราต้องยอมรับ และเปลี่ยนตามโลก

“ยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนมีมือถือ ทุกคนมีช่องเป็นของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่
กำลังแข่งกับทีวี ไม่ใช่ทีวีด้วยกันเองค่ะ คือ ทุกคนในสังคม ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน เราจะ
ไม่เปลี่ยนตัวเองเหรอ โนค่ะ!!! เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง เราต้องทำความเข้าใจกับแพลตฟอร์มที่เข้ามา”

“ทุกวันนี้คนใช้ทีวีน้อยมากเพราะดูในมือถือ ทุกคนมีช่อง ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้คนอยากติดตามมากที่สุดคือความเป็นมนุษย์ ความเรียล ทุกคนทำโปรดักชันที่บ้านได้ ทุกวันนี้พี่ก็ดูช่องชีวิตลูกกะเหรี่ยง เขาใช้ชีวิตทำไร่ทำสวนอยู่บนดอย มีมือถือ 1 เครื่อง เขาถ่ายทอดความธรรมดาให้ทุกคนดู มีคนติดตามเยอะมาก มียอดวิวสูง มีสินค้าเข้าให้รีวิว มีรายได้ ไม่ต้องเขียนบท ไม่ต้องมีผู้กำกับ 

เราคนทำงานต้องปรับตัว ก็ต้องทำคอนเทนต์ที่อยู่ในมือถือ ที่สามารถดูได้ในแพลตฟอร์ม ไม่ใช่มาร้องแรกแหกกระเชิงว่ามาดูหนังโรงกันเถอะ ซึ่งถามว่าการที่เราทำหนังเข้าโรงมันคือตอบสนองความต้องการของเรา ในขณะที่เราเป็นคนทำหนัง เราก็อยากให้คนดูหนังในโรง แต่เราต้องเข้าใจกับ Digital Content เพื่อให้เราได้ทันโลก 

เราจะยอมตกยุคตายเหรอ เราก็ไม่ยอมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องอย่าเป็นคนที่ตายไปกับยุคสมัย เราก็แก่แล้วแต่เราก็ยังทำซีรีส์วายร่วมสมัยได้อยู่ เพราะฉะนั้นมันถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เราต้องปรับตัว เปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนวิถีชีวิต ถ้าต้องเปลี่ยนมันก็คือต้องเปลี่ยนแล้วก็อย่าไปยึดติดกับอะไรเดิมๆ อย่าไปยึดติดกับความเชื่อเดิมๆ อย่าไป nostagia แบบว่า appriciate อดีต อดีตมีไว้ให้เราคิดถึง มีไว้เป็นประสบการณ์ อดีตที่ผ่านมาสอนให้เรามาเป็นปัจจุบัน แต่เราจะไปยึดติดไม่ได้ เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้และต้องมีความสุขกับสิ่งที่มันมีความเปลี่ยนแปลงให้ได้

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

“แรงงานนอกระบบ” ความมั่นคงอยู่ที่ไหน

“บอกได้เลยเราก็เป็นลูกจ้าง เรื่องสมน้ำสมเนื้อ ก็ต้องตอบตรงๆ ว่าไม่ แล้วยิ่ง
สำคัญเราเป็นแรงงานนอกระบบ มันไม่ได้มันไม่ได้มีความมั่นคงในชีวิต เพราะฉะนั้น
พออยู่นอกระบบแล้วยิ่งการทำงานเป็นฟรีแลนซ์ ไม่มีอะไรเลยที่มั่นคง”

“เราเชื่อว่าเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้หลายๆ คนก็พยายามกันอยู่ มีบางแพลตฟอร์มก็ทำความเข้าใจและให้เราทำงานแค่ 12 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่ทุกที่ ส่วนใหญ่ทุกวันนี้เราทำงานกันอยู่ 16 ชั่วโมง ซึ่งถามว่าไหวไหม มันไม่ไหวนะ จริงๆ เราทำงาน 16 ชั่วโมงได้นอนวันละแค่ไม่กี่ชั่วโมง ตัวเราเองก็ไม่ไหว ทีมงานก็ไม่ไหว ความปลอดภัยในชีวิตก็ไม่มี ความมั่นคงก็ไม่มี

ไม่ไหวแต่มันต้องทำแบบนี้อยู่ 
เพราะอะไร?
เพราะเราก็ต้องการอยู่รอด!!!

การที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มันต้องใช้องคาพยพทั้งหมด หน่วยงานรัฐบาล แรงงาน กระทรวงแรงงาน ภาคธุรกิจ เพราะว่าเมื่อจะเปลี่ยนเป็น 12 ชั่วโมง คืองบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นทำยังไงเราถึงจะเปลี่ยนผ่านตรงนี้ได้ แน่นอนอย่างที่บอกไปแล้ว มิติของการเปลี่ยนแปลงตรงนั้น ย้อนกลับขึ้นไปอ่านกันอีกครั้งค่ะ

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ต้องให้ความสำคัญกับคนสร้างงานด้วย แน่นอนกฎหมายลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ของคนทำงาน ลิขสิทธิ์ของผู้สร้างงานในระดับต่างๆ มันต้องมีทั้งหมด ทุกวันนี้คนทำงานยังเลือกยาก หรือเรียกว่าเลือกไม่ได้ เพราะถ้าเราสร้างเงื่อนไข คนจ้างงานเขาก็จะไปหาคนที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข นี่คือระบบในสังคมที่ไม่เป็นธรรม สุดท้ายเราก็ต้องเลือกให้เรารอด

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

Soft Power = ไม่ยัดเยียด

แน่นอนเวลาที่เราพูดถึง Soft Power ตรงไปตรงมาคือเราจะขายของ ในฐานะคนทำงานเรารู้ดีว่าเมื่อมีสินค้ามาเราต้องขาย คนดูทุกวันนี้รู้อยู่แล้วว่านี่คือขายของ ความท้าทายคือ เราจะทำยังไงให้คนดูรู้สึกว่าเราไม่ยัดเยียด 

สิ่งที่สำคัญที่สุดของ Soft Power ไม่ใช่ 1 ครอบครัว 1 Soft Power แต่คือการส่งต่ออย่างไรให้มีอิมแพค ส่งต่ออย่างไรให้ได้รับผลกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างพี่ที่เป็นคนทำซีรีส์ พี่เริ่มก่อนในจักรวาลซีรีส์ของตัวพี่เอง ยกตัวอย่าง Cafe For All คาเฟที่โอบรับความหลากหลาย สถานที่นี้จะเป็นโลเคชันในซีรีส์ของพี่ทุกเรื่อง 

ผลที่เกิดขึ้นเมื่อซีรีส์ออกอากาศ อินเตอร์แฟนของศิลปินพากันตามหาคาเฟแห่งนี้ว่าอยู่ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร จะเดินทางมา อยากตามรอยศิลปินที่เป็นที่รักของพวกเขา นี่ต่างหากคือ Soft Power มันคือการส่งต่อไปแล้วเกิดผลอะไรกลับมา ถ้าภาพใหญ่ๆ ก็คือ เมื่อส่งต่อไปแล้ว ประเทศชาติได้อะไร อุตสาหกรรมเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร รายได้ของคนทำมาหากินมีความผันแปรดีขึ้นขนาดไหน 

ขอบคุณตัวเองกับสิ่งที่ฉันเป็น

“การไม่ต้องเป็นตัวเองสัก moment ทำให้เรามีความสุข แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น
ก็ตั้งคำถามว่า ทำไมวะ ทำไมกูต้องไปเป็นคนอื่น ถ้าเป็นตัวเองแล้วมันมีความสุขไม่ได้เหรอ” 

พี่ถูกดูถูกหนักมาก โดนหนักมาตลอด แล้วเราก็ตั้งคำถามว่าทำไมๆๆๆ มาตลอด แน่นอนพอเราเป็นกะเทยเด็ก กะเทยหัวโปก กะเทยบ้านนอก เราถูกตั้งคำถาม เราถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก เราถูกรังแกจากระบบการศึกษาไทย จากครูบาอาจารย์ จากเพื่อนๆ ถามว่ามันมีความทุกข์ไหม มันก็มีความทุกข์ 

แต่เราก็มีความสุขตามอัตภาพ เยียวยาตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เยียวยาตัวเองด้วยการไปเป็นคนอื่นแป๊บนึง เรารู้สึกว่าการดูหนังของเราคือการเยียวยา เดชคัมภีร์เทวดา ในยุคนั้นคือดี คือเริ่ด ฝึกวิชาแล้วแปลงเพศได้ไปเป็นกะเทย โห มันล้ำมากสำหรับพี่ เราดู ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ เราอยากเป็นโจโจ้ อยากมีผู้ชายมารักเราแบบนี้ เราอ่านนิยาย เราก็หลุดเข้าไปเป็นนางเอกในนั้น ในโลกของหนังสือ

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

ตอนนั้น ม.5 พี่ขออาจารย์ว่า อาจารย์ขา หนูขอทำละครเวทีเรื่องวันทอง เราเป็นนางเอก กำกับเอง เขียนบทเอง เล่นเองแล้วเป็นนางเอกสวยมากบนเวที ขุนช้างขุนแผนมาแย่งรักเรา เรารู้สึกว่ามัน fulfill สนองนี้ดตัวเอง รู้สึกว่าเราสวย พอฉันได้เป็นคนอื่น ฉันได้แต่งหญิง ฉันมีความสุขจังเลย แล้วพอผ่านเวลานั้นไป อยู่มาวันหนึ่งเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วทำไมเป็นตัวเองถึงไม่มีความสุข 

พอเราเริ่มคิดแบบนั้น เราก็เริ่มทำหนังสั้นประกวด ตอนนั้นจบมหาวิทยาลัยแล้ว เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองมากขึ้น หนังพี่ได้รางวัลในระดับประเทศ ได้ไปฟิล์มเฟสติวัลระดับโลก เราเริ่มรู้สึกว่า เราสามารถเล่าเรื่องตัวเองได้ผ่านหนังสั้นของตัวเอง แล้วหนังมันคือภาษาสากล ต่อให้เขาไม่ได้พูดภาษาไทยแต่เขาเข้าใจ Message ที่เราสื่อ ประสบการณ์ทำหนังครั้งแรกของพี่ คือการทำหนังสั้น เรารู้สึกว่า โห กูเจอแล้ว กูเจอแล้วในสิ่งที่กูเป็น กูเจอแล้วอวัยวะที่ 33 มันคืออวัยวะที่สามารถเอาไว้สื่อสารกับโลกภายนอก

ตั้งแต่ที่เราเจอหนัง เรารู้เลยว่าชีวิตกูเนี่ย กูต้องใช้หนังพูดกับโลกใบนี้ รู้สึกแบบไหน มีความคิดยังไงจะทำผ่านหนังแล้วก็สื่อสารออกไป โดยที่เราไม่ต้องเดินไปพูดแต่ใช้หนังพูดแทนเราได้ เราเจอตัวเราเอง ทำให้ลุกขึ้นและพยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด

แล้วก็เกิดเป็น Insects in the backyard หนังที่เราโยนคำถามที่ใหญ่มาก และสำคัญมากเข้าสู่สังคม แล้วมันก็เป็นคำตอบที่ดังมากเพราะเราโดนแบน แต่ก็ทำให้คนมาฟังเราพูดมากขึ้น เราพูดเรื่อง invisible world ที่มันอยู่ในสังคม กำแพงที่มองไม่เห็นก็คือกำแพงที่ยังไม่เข้าใจสังคม ไม่เข้าใจคำว่า “ความหลากหลายทางเพศ” เพราะฉะนั้นไอ้กำแพงเหล่านั้นที่เราพูดจึงมีเสียงที่ดังขึ้นจนมาถึงทุกวันนี้ 

อยากบอกตัวเองว่ามึงเก่งมากที่สามารถอดทนจนมาถึงวันที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง อดทนจนมาได้เห็นคนเท่ากัน อาจจะยังไม่ได้เท่ากัน 100%  การที่กฎหมายออกมาเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “คนเท่ากัน” จริงๆ กฎหมายมันเปลี่ยนแล้วไง กฎหมายเปลี่ยนจากคำว่าชายหญิงจดทะเบียนเป็นบุคคลกับบุคคล เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นบุคคลกับบุคคลนั่นคือความเป็นมนุษย์ ไม่เกี่ยวแล้วว่าคุณจะมีจู๋หรือมีจิ๋ม หรือคุณจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหน แต่คำว่าบุคคล มัน respect ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ respect ที่เพศ

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

จากวันนั้นจากความฝันของกะเทยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กะเทยบ้านนอกคนหนึ่ง ก็ไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วยซ้ำ 

“ถูกบูลลี่มาทั้งชีวิต วันนี้ไม่สนใจแล้วค่ะ จิกตาใส่แล้วเดินสวยๆ ฉันเก่ง ฉันสวย
ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดา You are human, I am human.
We are equal in human dignity”

เราเป็นกะเทยบ้านนอกคนหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้คิดถึงหรอกว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็เป็นกะเทยตัวเล็กๆ ที่ถูกกดขี่อยู่ในสังคมที่อยู่ในระบอบการศึกษาไทย แต่โชคดีที่เรายังมีครอบครัวที่เข้าใจแล้วส่งเสริมสนับสนุนในสิ่งที่เราเป็น เราก็เลยอาจจะไม่ได้เป็นคนที่ไม่ได้ซัฟเฟอร์แต่กลับเป็นคนที่มีกำลังใจแล้วมองโลกในแง่บวกว่าสักวันมันต้องเปลี่ยนแปลงสิ 

แน่นอนว่าตั้งแต่เราเด็ก พอเราบอกเราอยากเป็นผู้กำกับที่ได้รางวัลสุพรรณหงส์ ทุกคนก็จะบอกว่า ‘มันเป็นไปไม่ได้อีกอล์ฟ สิ่งที่มึงฝันมันเป็นไปไม่ได้’ เพียงเพราะเราเป็นกะเทย ซึ่งเราก็บอกไปว่า ‘กูว่ามันเป็นไปได้ กูเห็นภาพตัวเองได้สุพรรณหงส์ กูเชื่อว่ากูทำได้’ แล้วเราก็ต่อสู้เพื่อความฝันนั้นมาตลอด ไม่ว่าเราจะเข้ามาในวงการ เข้ามาในกรุงเทพฯ ด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟ ไปเป็นช่างแต่งหน้าวิ่งอยู่ในกอง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เป็น Acting Coach เป็นคนเขียนบท เราทำทุกอย่าง 

เราทำหนังสั้นประกวดแล้วก็ write ใส่แผ่น cd ทำปกเอง แล้วก็ใส่ถุงดำไปขายที่สวนจตุจักร เราเริ่มต้นเพราะเราอยากให้คนรู้จักงานของเรา พอเราได้โอกาสจากคนที่เขาเห็นในสิ่งที่เราทำ ในที่สุดเราได้สุพรรณหงส์จริงๆ 

แต่พอเราจะเล่าเรื่องความหลากหลายทางเพศในมุมที่มันจริงจังมากขึ้น เราก็จะถูกตั้งคำถามจากนายทุนเยอะมาก พอเราจะทำเรื่องกะเทย ก็จะถูกถามว่ากะเทยตลกไหม ผีไหม เขาไม่ได้มองว่ากะเทยมีชีวิตเป็นของตัวเอง ใช่ไหมคะ แล้วในแง่มุมของนักต่อสู้อย่างเรา ก็ต้องต่อสู้เพื่อความหลากหลายด้วย เพราะฉะนั้น พอการเดินทางจากวันแรกในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เลย จนถึงวันนี้ มันเป็นไปได้แล้ว เรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เราอดทน และทำให้เราสามารถก้าวข้ามเรื่องต่างๆ มาได้ก็คือความหวัง หวังว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้มันเกิดคำว่า “คนเท่ากัน” ให้ได้

กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

CREATED BY

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน