หากจะพูดถึงละครในตำนานที่สร้างปรากฏการณ์โด่งดังจนอยู่ในใจผู้คนมานานหลายยุคสมัย คงหนีไม่พ้น “อังกอร์” ที่แค่เอ่ยชื่อขึ้นมาทุกคนก็สามารถจดจำเรื่องราวการผจญภัยเพื่อล้างคำสาป “เสือสมิง” ในร่างของหญิงสาว ละครอังกอร์เป็นบทประพันธ์ดั้งเดิมของ นอร์แมน วีรธรรม ที่ถูกนำมาพัฒนาเป็นละครโทรทัศน์ โดยผู้กำกับชั้นครูผู้ล่วงลับ ฉลอง ภักดีวิจิตร และรีเมกอีกครั้งโดยทายาท เฉิดบุญ ภักดีวิจิตร รวม 3 ภาค 2 เวอร์ชัน ซึ่งความสนุกสนานของการผจญภัยแฟนตาซีในละครเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่ครองใจคนดูชาวไทยได้ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ไปยันเพลงประกอบละครที่ติดหู แม้กระทั่งตัวละครสมทบที่แค่ปิ้งไก่ก็กลายเป็นตำนานได้แล้ว แต่ละครเรื่องนี้ยังพาไปสำรวจกลิ่นจาง ๆ ของประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของการปฏิวัติเขมรแดงของกัมพูชาอีกด้วย
เริ่มต้นการผจญภัยจากตัวละครที่หนีตายมาจากกัมพูชา
เรื่องราวของ “อังกอร์” นั้น เริ่มต้นจากนายพลมินและกลุ่มพรานป่าในประเทศกัมพูชา ได้ออกไล่ล่าเสือร้ายตัวหนึ่งในป่า โดยนายพลมินพยายามสังหารเสือตัวนั้นด้วยกระสุนเงินลงอาคมแต่กลับไม่สำเร็จ วิญญาณที่มีจิตอาฆาตมนุษย์ได้ออกจากร่างของเสือตัวนั้น และเดินทางข้ามพงไพรไปเข้าสิงลูกสาวของนายพลที่เพิ่งถือกำเนิดอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง หญิงสาวคนนั้นชื่อ “อังกอร์” โดยเด็กสาวได้ถูกคำสาป เมื่อเธอรู้สึกโกรธ กลัว หรือตกใจ เธอจะสามารถกลายร่างเป็นเสือร้าย และหากคำสาปนี้ไม่ได้รับการแก้ไข พอเธออายุครบ 25 ปี อังกอร์จะต้องกลายร่างเป็นเสือไปตลอดกาล
แต่ทว่า 24 ปีต่อมา เมื่ออังกอร์เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม เธอจบจากการเรียนแพทย์ปีสุดท้ายที่ประเทศอังกฤษ และกลับมาที่กัมพูชาประเทศบ้านเกิด และพบว่าได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น การปฏิวัติเพื่อไล่ล่ากลุ่มผู้มีอำนาจเก่าทำให้นายพลมินต้องลี้ภัยไปซ่อนตัว ส่วนอังกอร์เองก็ต้องหนีจากการไล่ล่า ปะปนมากับกลุ่มผู้อพยพชาวกัมพูชาข้ามมายังชายแดนประเทศไทยเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งที่นั่นเธอได้พบเข้ากับผู้กองกาญจ์ เจ้าหน้าที่จากฝั่งไทยที่ถูกย้ายมาประจำการยังชายแดนเพราะเกมการเมือง เขาได้พบกับอังกอร์ และได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ประหลาดของวิญญาณเสือร้ายที่อยู่รายล้อมตัวเธอ การผจญภัยเพื่อถอนคำสาปของเธอจึงเริ่มต้นขึ้นนั่นเอง
เหตุการณ์ “เขมรแดง” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง
จากบทประพันธ์ดั้งเดิมของนอร์แมน วีรธรรม เรื่องอังกอร์ได้วางปีที่เกิดเหตุการณ์เอาไว้อยู่ที่ พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์ “ปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ” กระทำการโดยกลุ่มกรรมาชีพของกัมพูชาที่เรียกตัวเองว่า “กองทัพแห่งชาติกัมพูชาประชาธิปไตย” (Armée nationale du Kampuchéa démocratique) โดยภายหลังได้พัฒนาไปเป็น “พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา” (Communist Party of Kampuchea) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันว่า “เขมรแดง” (Khmer Rouge)
การปฏิวัติเบ็ดเสร็จของเขมรแดงเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 คือ การกวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่น ๆ มาจำแนกและแปะป้าย โดยแบ่งให้ทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ผู้มีการศึกษา หรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะในด้านต่าง ๆ ให้กลายเป็น “ศัตรูทางชนชั้น” ของกลุ่มกรรมาชีพ เพราะมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือมรดกทางชนชั้นที่กดขี่ ดังนั้นเพื่อสร้าง “สังคมใหม่” กลุ่มเขมรแดง ได้ออกไล่ล่า และบังคับให้กลุ่มศัตรูทางชนชั้นมาทำงานการเกษตรให้หนัก จนเกิดภาวะอดอยาก รวมถึงการขจัดทิ้งในทุ่งสังหารอย่างโหดเหี้ยม โดยเหตุการณ์กวาดล้างนี้ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนประมาณ 850,000 ถึง 3 ล้านคน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามของจำนวนประชากรกัมพูชาในขณะนั้น (ประมาณ 7.5 ล้านคน ใน พ.ศ. 2518) เหตุการณ์นี้ถือเป็นความรุนแรงสูงสุดในหน้าประวัติศาสตร์โลกที่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ในศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว โดยในบทประพันธ์ของนอร์แมน ตัวละครอังกอร์และครอบครัวของนายพลมินก็ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้เช่นกัน ก่อนที่ตัวละครอังกอร์จะอพยพมาที่ไทย
บทประพันธ์ที่สะท้อนมุมมองของไทยต่อกัมพูชาในช่วงสงครามเย็น
กระแสหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ในช่วงปี พ.ศ. 2518 จากเหตุการณ์เขมรแดง ส่งผลต่อประเทศไทยเช่นกันในระดับที่รุนแรงมาก ทำให้กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่เพิ่งจะเฟื่องฟูขึ้นมาได้หลังจากขบวนการนักศึกษา สามารถขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารของ จอมพลถนอม กิตติขจร เพิ่งจะสำเร็จไปหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ไม่นาน กลุ่มนักศึกษากลับถูกสังคมผลักให้กลายเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดสนับสนุนคอมมิวนิสต์ไปทั้งหมด จนนำไปสู่การบุกเข้าสังหารนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 อย่างโหดร้าย โดยล้วนมีสาเหตุมาจากการหวาดกลัวว่าจะมีการแทรกซึมของแนวคิดคอมมิวนิสต์แบบที่เกิดขึ้นในกัมพูชานั่นเอง
ในละคร “อังกอร์” ฝั่งผู้กองกาญจ์ซึ่งเป็น “ข้าราชการตำรวจหนุ่มไฟแรง” ได้รับภารกิจมอบหมายให้สืบหาอาวุธสงครามมูลค่ามหาศาลของสหรัฐอเมริกาที่สูญหายไป โดยเขาร่วมมือกับหน่วยงานสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา (CIA) ที่เข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทยจากการเข้ามาตั้งฐานที่มั่นเพื่อขับไล่คอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น ปูมหลังนี้ยิ่งเพิ่มความเป็น “พระเอกฝั่งไทย” ให้เด่นชัดมากขึ้นจากการเข้าร่วมกับฝั่งอเมริกาอย่างเต็มตัว ส่วนตัวละครนางเอกอย่างอังกอร์ก็สะท้อนภาพของ “ผู้อพยพ” ที่ปะปนไปด้วยประชาชนทั่วไป ยันลูกหลานเจ้านายชนชั้นสูงของกัมพูชา ที่คนไทยยังสามารถมองเห็นความงามปนลึกลับแบบสาวกัมพูชาที่ซ่อนอยู่ภายในได้ ทั้งยังผสมผสานตำนานพื้นบ้านของไทย ที่มองว่าคนเขมรมักจะเกี่ยวข้องกับมนต์ดำคุณไสย เสือสมิงพงไพร ต่าง ๆ ที่ปะปนมากับการอพยพด้วย ที่เป็นเหมือนภารกิจของ “รัฐไทย” ที่จะต้องชำระความของเขมรเหล่านี้ให้หมดไป และคืนยศดั้งเดิมให้กับครอบครัวของอังกอร์ ก่อนที่คำสาปร้ายจะกลืนกินเธอไปนั่นเอง
ตลอดการผจญภัยไปในป่าชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากที่ตัวละครจะได้พบเจอกับความแฟนตาซีตื่นตาของป่าอาถรรพ์ต่าง ๆ แล้ว จะสังเกตได้ว่าทุกหมู่บ้านในดินแดนกัมพูชาจะมีทหารเขมรแเดงคอยควบคุมความเรียบร้อย และตามล่าตัวละครหลักรายทางอยู่เรื่อยไป ซึ่งสะท้อนภาวะสังคมของกัมพูชาที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรแดงเป็นระยะเวลา 4 ปี กระทั่งในปี พ.ศ. 2522 อำนาจการปกครองของเขมรแดงก็สิ้นสุดลง เช่นเดียวกับที่ตัวละครผู้กองกาญจ์และอังกอร์ได้ค้นพบกริชเงิน ในการล้างคำสาปของเธอเพื่อปราบวิญญาณเสือร้ายได้ทันเวลา ก่อนที่เธอจะอายุครบ 25 ปี ซึ่งการเดินทางของตัวละครก็จบลงพร้อมการปกครองของเขมรแดงเช่นเดียวกัน
อ้างอิง
- https://th.wikipedia.org/wiki/เขมรแดง
- https://th.wikipedia.org/wiki/อังกอร์_(ละครโทรทัศน์)
- https://www.thairath.co.th/novel/AngKor/synopsis