หากพูดถึงหนังสือการเมืองเสียดสีการเมืองดี ๆ สักเล่มสองเล่ม ‘จอร์จ ออร์เวลล์’ อาจจะเป็นชื่อนักเขียนคนแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลาย ๆ คน เพราะด้วยผลงานเขียนเสียดสีประเด็นสังคมการเมืองหลายเล่ม ๆ ของจอร์จ ออร์เวลล์ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง และอีกหนึ่งเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานขึ้นหิ้งของเขาเลยก็คือหนังสือที่มีชื่อว่า ‘Animal Farm’ หรือที่แปลเป็นไทยว่า ‘การเมืองเรื่องสรรพสัตว์’
Animal Farm เป็นหนังสือเล่มไม่หนาไม่บางที่ถูกตีพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี 1945 ซึ่งหากเทียบเคียงอายุหนังสือเล่มนี้ก็น่าจะมีอายุราว ๆ 79 ปี แต่หากพูดถึงในตัวเนื้อหาก็ยังคงความร่วมสมัยไว้อย่างไม่มีคำว่าตกยุค นั่นอาจจะเป็นเพราะแนวคิดต่าง ๆ ทางการเมืองยังคงเป็นรูปแบบเดิม ๆ หรือหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ก็จะไม่ทิ้งไปจากแนวคิดทางการเมืองที่เคยมีมาก่อนหน้า
ก่อนจะเล่าถึง Animal Farm ต้องเล่าเพิ่มอีกนิดว่า จอร์จ ออร์เวลล์ มีนวนิยายที่เขียนในเนื้อหาเสียดสีการเมืองแซ่บ ๆ อีกเล่มที่ใครเป็นสายอ่านน่าจะเคยหยิบจับขึ้นมาอ่านกันบ้าง ซึ่งก็คือเรื่อง 1984 มหานครแห่งความคับแค้น เล่มนั้นจะเล่าเรื่องของการตกอยู่ในระบอบเผด็จการและรูปแบบเครื่องมือทางการเมืองต่าง ๆ ที่ระบอบเผด็จการจะเลือกใช้เวลาต้องการรักษาผลประโยชน์หรือทรัพยากรต่าง ๆ ภายในมือของพวกเขา ส่วน Animal Farm ไม่ได้ทิ้งกันไปมาก แต่ความแสบของ จอร์จ ออร์เวลล์ คือการเล่าเรื่องภายในฟาร์มผ่านสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยกับระบบอำนาจนิยมของตัวคนเขียนเอง
การเล่าถึงระบบอำนาจนิยมในหนังสือ Animal Farm เป็นการเล่าถึงห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้นอังกฤษเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตเพื่อต่อต้านกับระบอบนาซี ที่ทั้งปัญญาชนและกลุ่มคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงได้เข้าข้างและเห็นด้วยกับสตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตเพราะมองว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดสังคมนิยม แต่ในตอนนั้นเป็นสังคมนิยมที่อยู่ในคราบของอำนาจนิยม ทำให้ จอร์จ ออร์เวลล์ ตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเสียดสีประเด็นอำนาจนิยมที่มาในคราบของสังคมนิยมนั่นเอง และด้วยเหตุผลนี้นี่เองที่ตัวละครใน Animal Farm จะล้อไปกับบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ภายในหนังสือเล่มนี้จึงเป็นการเล่าโครงสร้างการปกครองภายใต้ระบอบอำนาจนิยมในคราบของสังคมนิยมผ่านฟาร์มแห่งหนึ่งที่สรรพสัตว์ร่วมกันปกครองตนเองด้วยการร่างข้อบัญญัติต่าง ๆ ขึ้นมา และสัตว์แต่ละตัวก็จะมีลักษณะนิสัยต่างกันไป สัตว์บางตัวทำงานหนักจนตายและเป็นแรงงานสำคัญ, สัตว์บางตัวฉลาดพูดได้แต่ใช้วิธีการสื่อสารข้อมูลด้วยการบิดเบือน, สัตว์บางตัวถนัดด้านการโฆษณาชวนเชื่อ และอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงในหนังสือเล่มนี้คือ วาทะกรรมทางการเมืองที่ว่าด้วยความเท่าเทียม คือทุกอย่างของหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเครื่องมือทางการเมืองไว้อย่างแท้จริง ทำให้ใครที่อินการเมืองอ่านไปก็จะรู้สึกว่าสนุก แต่ต่อให้ไม่อินการเมืองด้วยความที่หนึ่งมันเป็นนวนิยาย บวกกับสองคนเขียนใช้การจำลองผ่านตัวละครสรรพสัตว์ต่าง ๆ มันจึงย่อยง่ายและรู้สึกสนุกมาก ๆ และทุกความพีคน่าจะไปอยู่ในกระดาษหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้
อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นหนังสืออมตะที่ไม่ว่าจะหยิบขึ้นมาอ่านกี่ครั้งก็ยังรู้สึกสนุกและอิน เพราะนอกจากการเสียดสีทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาแล้ว บวกกับชีวีติของพวกเขาทุกคนก็ยังต้องผูกติดอยู่กับการเมืองอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้คนทุกคนน่าจะรู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้อย่างไม่ยากเท่าไหร่นัก