ประวัติศาสตร์กำลังเปิดม่าน โสเภณี คณิกางามในนคราบางกอกของเราผ่านช่อง One 31 สะท้อนเรื่องราวของโสเภณี ในยุครัตนโกสินทร์ ณ ดินแดนสยาม บางกอก ดินแดนที่ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายกันอย่างคึกคัก เรื่องราวของหญิงงามเมืองเป็นสิ่งที่หมุนกงล้อทางประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยกลับมองข้ามเรื่องราวเหล่านี้โดยไม่พูดถึงกันมากนัก

แต่ SUM UP กำลังร้อยเรียงเรื่องราวมาให้ทุกท่านได้ยลโฉมกันแล้ว กับความงามล่มเมืองของโสเภณี ย้อนลอยประวัติศาสตร์เรื่องราวของพวกเขาว่าเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนแล้วทำไมจึงค่อยๆ ถูกทำให้หายไปใน เปิดประวัติ โสเภณี หญิงสาวใน “บางกอก คณิกา” ที่มีโยนี หอมดังกลีบกุหลาบ ว่าแล้วไปชมพร้อมๆ กัน

แรกสถาปนาอโยธยาก็มีโสเภณี

โสเภณี หรือ คณิกาคงมีมาคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานแล้ว เหตุเพราะในภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคที่มีการค้าขายอย่างครึกครัก ด้วยความเป็นเมืองท่าคงมีเรือสำเภามาจอดแวะอย่างมากมาย

ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทองได้มีบันทึกไว้ในกฎหมายตราสามดวงไว้ในกฎพระอัยการลักษณะผัวเมีย เรื่องของ หญิงนครโสเภณี

โสเภณี คณิกา แห่งอยุธยา

หลักฐานก่อนหน้าอยุธยานั้นมีเรื่องราวน้อยมากเกี่ยวกับโสเภณี แต่กลับมีบันทึกหลักฐานของ ลา ลูแบร์ อัครราชทูตจากราชสำนักฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในแผ่นดิน “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ได้บันทึกเรื่องราวของสังคมอยุธยาในยุคนั้น รวมถึงเรื่องราวของซ่องโสเภณีเอาไว้ด้วย

เรื่องราวของโสเภณีในอยุธยาไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าสังคมอื่นๆ ในช่วงเวลานั้นเลยครับ เพราะ ลา ลูแบร บันทึกไว้ว่า มีซ่องโสเภณีซ่องหนึ่ง มีจำนวนโสเภณีถึง 600 คน ไม่ใช่นอยเลยใช่ไหมครับ นี่เพียงแค่ซ่องเดียวกลับมีโสเภณีถึง 600 คน หากจินตนาการเพิ่มเติมในอยุธยาคงมีโสเภณีหลักพันเป็นแน่แท้

แถมซ่องที่ว่ามีขุนนางที่อยู่ในตำแหน่ง “ออกญามีน” เป็นผู้ดูแลเสียด้วย แสดงว่าไม่ใช่ซ่องธรรมดาคงเป็นซ่องไฮซ้อไฮโซกันเลยทีเดียว เพราะในซ่องนี้ยังมีลูกหลานขุนนางมาขายตัวในซ่องนี้กันสะด้วย โดย ลา ลูแบร บันทึกไว้อีกด้วยว่าหญิงสาวเหล่านี้นั้นรูปงามเลยทีเดียว

ถ้าหากพูดกันแบบไม่เหนียมอาย ย่านที่ออกญามีนคุมคงอารมณ์ย่านทองหล่อในปัจจุบันเที่ยวแบบฉ่ำๆ ระดับ VVIP กันเลยทีเดียว การค้าบริการของหญิงโสเภณีเหล่านี้ ได้สร้างรายได้ให้กับรัฐกลายเป็นเงินภาษีที่เก็บมาใช้พัฒนาบ้านเมืองอีกด้วย

โสเภณีแห่งสำเพ็งในยุครัตนโกสินทร์

เมื่อแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้มีการย้ายชุมชนชาวจีนมาตั้งที่สำเพ็ง เพราะจะนำที่ดินเดิมของชาวจีนมาสร้างพระบรมหาราชวัง ส่งผลให้ชาวจีนย้ายมาอยู่ที่สำเพ้งนับตังแต่นั้นเรื่อยมา

อาจเรียกได้ว่าสำเพ็งกลายเป็นไชน่าทาวน์และศูนย์กลางค้าสถานบันเทิงแห่งแรก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก็ว่าได้ เพราะกลายเป็นย่านค้าขายที่คึกคัก ชาวต่างชาติหรือชาวสยามมีการเดินทางมาแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในอย่างนี้ตลอดเวลา

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยของย่านการค้าคือซ่องคณิกา หรือซ่องโสเภณี สาวโคมเขียวต่างเปิดให้บริการและเชื้อเชิญผู้ชายเข้ามาเที่ยวในยามราตรี แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากสมัยอยุธยา คือ  สำนักโสเภณีที่แขวนโคมเขียวไว้หน้าสำนัก เป็นสำนักของคนจีน สินค้าก็เป็นจีนล้วน อายุแค่ 10-12 ปี รับแต่คนจีนมาทำงาน คนไทยไม่รับ เนื่องจากลักษณะพิเศษที่ถูกนิยามเป็นวลีว่า “เดี๋ยวจับนมเดี๋ยวดมหน้าหกสลึงแอ๊คหกท่า”

คนที่จะใช้บริการต้องมีบรรดาศักดิ์ เป็นขุนน้ำขุนนางระดับไพร่ เดินไปอาจโดนตีหัวออกมาด้วยครับท่านผู้อ่าน และต้องมีคนจีนที่เจ้าสำนักโสเภณีรู้จักนำเข้าไปด้วย ไม่ใช่จะเข้าไปซุ่มสี่ซุ่มห้านะครับ

ยุคนี้การค้าบริการเป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูถึงกับมีคำพูดที่พูดติดมาถึงปัจจุบันว่า “ยายฟักขายข้าวแกง ยายแฟงขาย… ยายมีขายเหล้า” ซึ่งคำว่ายายแฟงขาย… หมายถึงสำนักโสเภณีของยายแฟงที่เป็นที่เรื่องลือสมัยยุคต้นรัตนโกสินทร์นั่นเอง

ยุคพระนั่งเกล้า โสเภณีร่ำรวยจนอุปถัมภ์วัดคณิกาผลได้

ปี พ.ศ.2376 ซึ่งตรงกับสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 การค้าของกรุงรัตนโกสินทร์รุ่งเรืองถึงขีดสุด ธุรกิจของโสเภณีเฟื่องฟูตามไปด้วยสามารถนำเงินเข้าท้องพระคลังได้มหาศาล และสามารถนำเงินไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้อีกด้วย

ซึ่งยังคงหลงเหลือหลักฐานมาจนถึงปัจจุบันคือ วัดคณิกาผล ที่อยู่ย่านเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ณ ปัจจุบัน โดยหญิงโสเภณีได้ระดมเงินมาก่อสร้างเป็นพระอาราม และได้รับพระราชทานนามของวัดจากรัชกาลที่ 3 ว่า คณิกาผล ที่หมายถึงว่าวัดแห่งนี้เกิดจากผลที่คณิกาทั้งหลายได้ระดมเงินมาสร้างวัดอีกด้วย

รัชกาลที่ 4 สร้างถนนได้เพราะหญิงงามเมือง

ภายหลังสนธิสัญญาเบาว์ริงประเทศไทยเปิดรับแนวคิดอย่างตะวันตกมากขึ้น พอมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้เอาอย่างตะวันตกเป็นสำคัญ หนึ่งในวิทยาการที่นำมาปรับใช้คือการสร้างถนน

ซึ่งการสร้างถนนในพระนครต้องระดมทุนอย่างมหาศาล จึงมีการเรียกเก็บ ภาษีบำรุงถนน ที่เรียกเก็บจากสำนักโสเภณีและต่อมาเรียกเก็บจากหญิงโสเภณีโดยตรงเพราะมีจำนวนมากขึ้นนั่นเอง ถึงขนาดปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 มีหญิงค้าบริการในพระนครถึง 2,500 คนเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าหญิงโสเภณีได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติก็ว่าได้ เพราะด้วยหยาดเหงื่อของพวกเขาสามารถทำเงินและจ่ายภาษีสร้างนนให้กับกรุงเทพมหานครได้ ฉะนั้นจะหาว่าพวกเขาเป็นหญิงชั่วอาจพูดไม่ได้เต็มปากนัก แต่จุดเปลี่ยนก็กำลังมาเยือนพวกเขาในไม่ช้า และทำให้คำว่าหญิงเภณีกำลังถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทยด้วยผลประโยชน์ที่แอบแฝง

จอมพลสฤษดิ์ ผู้ปิดฉากธุรกิจโสเภณี (แบบถูกกฎหมาย)

ภายหลังการรัฐประหารยึดอำนาจ จอมพล ป.พิบูลสงคราม การเมืองไทยเข้าสู่ยุคสมัยเผด็จการทหารเรืองอำนาจยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกพระราชบัญญัติการค้าประเวณี พ.ศ.2503 ได้สร้างแผ่นดินไหวอย่างมากับวงการหญิงงามเมือง เพราะเป็นการออกกฎหมายปิดฉากการค้าประเวณี ปิดฉากหญิงโสเภณีที่ถูกต้องตามกฎหมายไปด้วย

แต่ใช่ว่าหญิงโสเภณีจะหมดลงไปจากสังคมไทย เพราะปรากฏว่าในยุคเดียวกันนี้เอง มหามิตรอย่างสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพ และเข้ามาเกี่ยวข้องกับภูมิภาคนี้โดยใช้ไทยเป็นฐานที่มั่นในสงครามเย็น

ธุรกิจค้าบริการจึงแอบแฝงอยู่ในสถานบันเทิง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นถนนเพชรบุรีตัดใหม่ หรือพัทยาเติบโตขึ้นในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยอีกด้วย วลีที่พูดกันว่า Hello Pattaya หรือ Sun Sea Sand and Sex ก็เกิดขึ้นในยุคนี้เอง

ทำให้เราเห็นได้ว่าถึงแม้จะมีการออกกฎหมายทำให้การค้าบริการของหญิงโสเภณีผิดกฎหมาย แต่มีช่องว่างที่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้ และหากมองลึกเข้าไปจริงๆ คำตอบก็คือรัฐที่ออกกฎหมายเอง กลับเปิดช่องโหว่แกล้งหลับตา 1 ข้างเพื่อจะหาผลประโยชน์กับเรื่องดังกล่าวได้

เพราะปรากฏว่า ณ ปัจจุบันในประเทศไทยมีอัตราหญิงค้าบริการอยู่ที่ 250,000 คน และมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สาวงามเมือง หญิงคณิกา โสเภณี นั้นมีอยู่จริง แต่เราเพียงทำให้สิ่งนี้ไม่มี หรือทำให้เหมือนผี คือการรู้ว่ามีแต่แกล้งมองไม่เห็นนั่นเอง

ทั้งหมดคือเรื่องราวของ ประวัติ โสเภณี หญิงสาวใน “บางกอก คณิกา” ที่มีโยนี หอมดังกลีบกุหลาบ ที่ SUM UP นำมาเล่าให้ฟัง เป็นการสะท้อนเรื่องราวของกลุ่มผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีตัวตนแต่แค่พวกเราถูกทำให้หลงลืมพวกเขาไปนั่นเอง

CREATED BY

ชอบเล่าเรื่องการเมือง ชอบพบเจอผู้คน สนุกกับการพูดคุย ชอบดูการ์ตูน อ่านหนังสือ ที่สำคัญติดบ้าน ติดดิน แต่ไม่ติดลม