หากจะพูดถึงรายการไอทีที่อยู่มาอย่างยาวนานยิ่งกว่า iPhone เสียอีก ก็คงต้องยกให้รายการ “แบไต๋ ไฮเทค” รายการไอทีที่เป็นเพื่อนคนดูมาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี นับตั้งแต่การออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549 โดยออกอากาศที่ช่อง NationTV (ชื่อเดิม : Nation Channel) ในยุคทีวีดาวเทียม จนมาถึงยุคที่ออกอากาศ 5 วันเต็ม สดจันทร์-ศุกร์ ณ Centerpoint at Siam Square (ชื่อเดิม : Digital Gateway) และก้าวเข้ามาสู่ยุคทีวีดิจิทัลที่แบไต๋ได้กระจายไปเป็นอีกหลายรายการ และถึงคราวที่ทุกอย่างไม่ใช่ดั่งฝัน ก้าวมาสู่ออนไลน์ จนการกลับมาอีกครั้งในรอบหลายปี

การกลับมาครั้งนี้ หลายคนคงยังมีคำถามถึงการแตกหักออกมาช่วงหนึ่ง ทั้งการที่ “พี่หลาม จิ๊กโก๋ไอที” ตัดสินใจทำล้ำหน้าโชว์แยกออกมา จนมาถึงการไม่กินเส้นกัน ข่าวลือต่างๆ นานาที่หลายคนสงสัย รวมถึงความประทับใจในการสร้างสรรค์เป็นชุมชนคนรักไอทีได้มาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี เขาทำกันอย่างไร ในรอบนี้เราจึงคว้าตัว 3 พิธีกรหลักประจำรายการ อย่าง พี่หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด, ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย และที่รัก บุญปรีชา หรือที่รู้จักกันในนาม “พี่หลาม จิ๊กโก๋ไอที” มาร่วมคุยถึงความผูกพัน ปัญหา และอนาคตของพวกเขาในฐานะผู้จัดรายการสารานุกรมไอทีประจำประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

ภาพ : beartai.com

ทะเลากันเลยแยกกัน?

หนึ่งในประเด็นที่เกิดขึ้นหลังจากที่แบไต๋ไฮเทคประกาศปิดปรับปรุงจากหน้าจอไปในปี 2557 นั้น ก็มีกระทู้จาก Pantip สอบถามและตั้งข้อสงสัยถึงประเด็นที่ “พี่หนุ่ย” และ “พี่หลาม” ทะเลาะกันจนต้องแยกทำรายการกันไป พี่หลามในฐานะผู้ถูกพาดพิงจึงตอบประเด็นนี้ว่า “คือหนุ่ยเขาทยอยเลิกทีละรายการ แล้วอาชีพผมเป็นคนทำทีวีอยู่แล้ว ผมก็ต้องหาทางสานต่อ ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้เริ่มต้นทำล้ำหน้าโชว์ ก็เลยชวนอาจารย์ศุภเดช กับปีเตอร์กวง ซึ่งตอนจะจดบริษัทผมก็ยังโทรถามหนุ่ยอยู่เลย ถามว่าจะลงทุนด้วยไหม ทางหนุ่ยก็ตอบว่าเงินหมดแล้ว เขามี 2 ล้านบาทสุดท้ายที่กู้ได้ แล้วเงินก้อนสุดท้ายนั้นก็เอามาทุบบ้านทำสตูดิโอไปแล้วด้วย”

“สุดท้ายผมก็ทำล้ำหน้าโชว์ได้แค่ประมาณ 4 ปี แต่ว่าล้ำหน้าโชว์เองผมมองว่ามันเป็น Beartai เอาความเป็น Beartai มาส่งต่ออยู่นะ เพราะว่าในจังหวะความเป็นพี่กวง พี่หลาม แล้วก็อาจารย์ศุภเดช เราก็มีสปอนเซอร์ซึ่งเขาก็ยังเป็นสปอนเซอร์ Beartai ด้วย เขาก็ยังให้ความกรุณาเราอยู่ ช่วยเหลือเรา เป็น Silly Fools แบบไม่มีโตอะ อย่างงั้นละ 4 ปีผ่านไป สุดท้ายเราก็ต้องตัดสินใจไปออนไลน์ แล้วผมก็โดดอยู่คนเดียว ซึ่งศุภเดชกับปีเตอร์กวงเขาก็มีภาระชีวิตของเขา”

ในขณะที่พี่หนุ่ยเองก็ตอบคำถามนี้ต่อว่า “จริงๆ ไม่ได้ถึงกับเลิกตอนนั้นทีเดียวนะ เพราะว่ามันมีช่วงกลับบ้านเราก็กลับมาทำรายการที่บ้านกันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่ใช้ Beartai Hitech มันเป็นชุมชนคนแชร์ แล้วคือก่อนที่จะใช้คำว่ายุติการทำรายการทีวี เราก็ทยอยทำ ทยอยเลิกอยู่บ้าง เพราะว่ามันเหมือนจังหวะคุณจะเลิกยานั่นแหละ แล้วทีวีมันเหมือน Passion ของเรา เพราะว่าเราเกิดในยุคที่เราอยากทำโทรทัศน์ เราไม่ได้มองว่ารายการอินเทอร์เน็ตมันเป็นโฉมหน้าแบบวันนี้ วันนั้นรายการอินเทอร์เน็ตมันเป็นเรื่องทำเล่นๆ แล้วเราคิดว่าสิ่งที่เราต้องทำมันน่าจะอยู่ในโทรทัศน์มากกว่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลิกทำรายการทีวี ฝั่งพี่หลามเขาก็ไปทำล้ำหน้าดชว์ทางทีวีไป เราก็ยังรับชมอยู่เลย”

ภาพ : beartai.com

กลับมาทำรายการอีกครั้ง เพราะเชิญมาเป็นแขกอีกรายการจนติดใจ!

เมื่อเราถามถึงการตัดสินใจกลับมาทำแบไต๋ ไอเทคอีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปี ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไรถึงตัดสินใจกลับมา พี่หนุ่ยก็ได้เล่าต่อว่า “มันเกิดขึ้นจากรายการ beartai iTQ คือเราทำในห้องนี้ (beartai Pod) แล้วก็ได้กลิ่นอายของการกลับมากลายๆ แต่เขาก้กลับมาแบบไม่พร้อมกัน พอรายการออกอากาศแล้ว เราก็เป็นนักอ่าน Comment อยู่แล้ว ก็คือหลายคนก็บอกว่ากลับมาเถอะ เราก็กลับมาแค่นั้นเองครับ ก็คือในเมื่อมีผู้ชมเรียกร้องขนาดนี้ก็ต้องทำ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้คุยกันยาก คือ 9 ปีที่เราไม่ได้ทำด้วยกัน แต่พอโทรไปปุ๊บ ต่อติดทันที”

“แล้วคือคนตอบรับคนแรกคือ อ.ศุภเดช แล้วพอคนนี้ (พี่หลาม) โทรทีหลัง ผมตัดสินใจโทรหาศุภเดชก่อน แล้วศุภเดชก็มีเงื่อนไขว่าต้องถามพี่หลามด้วย จนสุดท้ายพี่หลามก็มา แล้วผมก็โทรตามคนอื่นๆ เช่น เฟื่องลดา หรือปีเตอร์กวง เป็นต้น แล้วคือพอเรานัดกินข้าวด้วยกัน เราไม่ได้จูนนะ แต่ต่อกันติดเลย คุยได้เลย แล้วอ.ศุภเดช เขามีน้ำใจมาก เขาไม่เจอผมหลายปี ผมไปเจอเขางาน

Creative Talk Conference 2022 แล้วสัญญาณผมจาก iPhone และ Hotspot มันไม่ถึงเวทีที่เราจะต้องพูด อ.ศุภเดช เห็นผมกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวผมไปเอา Wi-Fi Extender จากในรถก่อนนะ ซึ่งผมประทับใจมาก เขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาช่วยเหลือทันที แล้วเขาซื้อใจผมมาก”

เสน่ห์ของรายการ คือความไม่มืออาชีพที่ต้องมืออาชีพ

สิ่งสำคัญที่ทำให้รายการนี้ขับเคลื่อนมาตลอด 17 ปีจนถึงวันนี้ คือการที่เราอยู่แบบไม่มืออาชีพ แต่ต้องมืออาชีพ ซึ่งพี่หลามได้มาขยายความว่า “ในแง่ของคนที่ติดตามเขาก็อยากเห็นรสชาติอย่าง Beartai ซึ่ง Beartai ปัจจุบันนี้มันก็เป็นอีกทรงหนึ่งไปแล้ว ก็เป็นทรง Premium Mass ได้เข้าถึงคนที่เขามีกำลังซื้อที่เขาจะดูรีวิวแล้วเขาตามไปซื้อสินค้า แล้วเขามาซื้อเราได้เนี้ย เขาไม่ได้มาเพราะแค่ชอบนะ เขามาเพราะข้อมูล เพราะกลุ่มเป้าหมายของเราจะเกี่ยวเนื่องกับสินค้าของเขาหรือสนใจในบริการของเขา ก็เป็นสิ่งที่มันไปได้”

อ.ศุภเดช เสริมว่า “ผมพูดเสมอว่าจะสนุกได้ยาวต้องมีแผนธุรกิจ คือถ้าจะสนุกกันแค่ครั้งสองครั้งเนี่ย นัดกินข้าวกันก็สนุกแล้ว แต่จะทำให้มันอยู่ได้ยาวต้องมีวิธีการหาเงินเท่านั้น เพราะโลกนี้มันหล่อเลี้ยงด้วยระบบเศรษฐกิจ ทุกคนออกมาต้องมีค่าตัว ต้องมีค่าทำงาน เพราะว่าน้ำมันที่พี่หลามเติมมันแพง ผมอาจจะต้องการเงินน้อยหน่อยเพราะผมขับรถยนต์ไฟฟ้า เลยไม่ต้องใช้เงินมาก (หัวเราะ)”

พี่หนุ่ยยังเสริมต่อว่า “เอาจริงๆ ผมเป็นคนพอใจยาก แต่ว่าไม่ใช่ Perfectionist คือผมเข้าใจว่าเรามีเงื่อนไขคือเราอยู่ในสยามประเทศเนี่ย เราขอแค่ว่าเอาเยี่ยงเขามาทำให้ได้ในมาตรฐาน ซึ่งผมเป็นคนบอกว่ามันสูง ฉะนั้นผมก็เลยพอใจ แต่ว่าผมค้นพบว่าบางอย่างมันผ่านไปแล้ว ในวันที่เราเหมือนไม่พอใจมัน พอเราย้อนกลับไปดูก็เห็นว่ามันก็ไปได้นะ บางทีความไม่มืออาชีพในบางอย่าง มันก็จะสร้างความมืออาชีพและการเข้าถึงชุมชนที่เราอยู่ได้”

ภาพ : beartai.com
ภาพ : beartai.com

อยู่นานไหมไม่รู้ แค่ได้ทำในทุกๆ วันก็มีความสุขแล้ว

หลายคนก็คงคาดหวังในการกลับมาครั้งนี้ว่าจะยังไงต่อ อยู่นานไหม พี่หนุ่ยเลยตอบว่า “ไม่ได้คิดหรอก เพราะว่ามันก็คือทำไปเรื่อยๆ จนอาจจะใช้คำว่าจนชีวิตจะหาไม่ เวลาทำอะไรเราก็คิดว่าจะทำไปเรื่อยๆ จนอาจจะใช้คำว่าจนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนนะครับ คือคอนเทนท์มันจะออกในทีวีมันก็เรียกรายการ แล้วถ้ามันจะออกในออนไลน์มันก็คือออนไลน์คอนเทนท์ แต่ถ้าในแง่ของการผลิตรายการมันก็ใช้เวลานาน ซึ่งสุดท้ายถ้าโลกจะดู TikTok วิดีโอสั้นแล้ว ก็ต้องอาจจะต้องทำยาวก่อนแล้วก็ไปซอยสั้นทีหลัง ซึ่งปัจจุบันเราก็ทำอยู่ มันก็มีหลายคลิปที่มีความยาว อาจจะแค่ 200,000 Views แต่ว่ามันสามารถกลายเป็น 3,000,000 Views ได้ จากการตัดคลิปสั้นหลายๆ ตัว beartai iTQ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ตอนเราถามคำถามเนี้ยคนเป็นแฟนเขาก็จะดูเป็นชั่วโมงได้ เพราะว่าเขาสนุกกับการลุ้นข้อหนึ่งถึงข้อสุดท้าย แต่คนที่เขาอาจจะเป็นคนทั่วไป เขาไปดูผ่านๆ ว่าคำถามไหนมันเป็นคำถามไฮไลท์แค่นั้นเอง”

พี่หลามเล่าต่อถึงความประทับใจว่า “มันก็คือเราก็ต่างคนต่างแยกกันไปทำงาน เอาจริงๆ ทุกคนพอฉายเดียวนานๆ มันก็เวิ้งว้างนิดๆ ในใจ เวลาเราทำงานเยอะๆ เราก็รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว พอมาเจอกันอย่างเนี้ย แค่แบบสัปดาห์แรกกลับไปบ้านนี้หัวโล่งมาก ขึ้นทางด่วนมาเนี่ยเหมือนมาปลดปล่อย ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเยอะ ผมมาเพื่อจังหวะคิดมุขอย่างเดียวเลย เพราะว่าแต่เดิมเลยตอนล้ำหน้าโชว์ ผมกังวลเรื่องตัวเองที่จะต้องเป็นห้องเครื่องแทนหนุ่ย ผมเครียดมากในช่วงแรกๆ พอมารวมกันอย่างนี้ หนุ่ยเป็นห้องเครื่องที่หล่อ รูปทรงดีมาดีแล้ว ผมตลกอย่างเดียวมันคือตัวตนของพี่หลามจิ๊กโก๋ไอทีที่แท้จริงซึ่งเราวางแผนเอาไว้ตั้งแต่วันแรก แล้วก็มีตัวที่มีความรู้อย่าง อ.ศุภเดช มันมีตัวชง มันมีตัวตบ มันมีตัวโจ๊ก มันครบเครื่องมากๆ ผมว่ามันห่างกันไปประมาณ 9 ปี ผมก็อยากเห็นเหมือนกันนะว่า Version ของพวกเรา 3 คนที่มารวมร่างกันมันจะเป็นยังไง แล้วพอเราประกาศการกลับมาของ Beartai Hitech ทุกคนกลับมาหมด อันนี้มันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ถึงขนาดว่า 9 ปีที่ผ่านมา หลายคนคืออยู่ในทรงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับว่าเขาไม่เปลี่ยนใจ รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเนี่ย พี่ติ๊ก ชีโร่ต้องมาแล้ว (หัวเราะ)”

อนาคตของ Show No Limit คือเข้า SET?

มาถึงตรงนี้ ณ วันที่แบไต๋อยู่กับเรามาอย่างยาวนานมากๆ ทั้งการทำสื่อออนไลน์ของตนเองในนาม beartai ที่วันนี้แตกมาเป็นอีกหลายหัว และรายการต่างๆ มากมาย รวมถึงรายการแบไต๋ ไฮเทคด้วย เราก็คงต้องถามถึงอนาคตของบริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด ด้วยเช่นกันว่าจะไปยังไงต่อ ซึ่งพี่หนุ่ยให้คำตอบว่า “ก็คือเตรียมตัวอยู่ ซึ่งการเตรียมถ้าในแผนจริงๆ เรารู้แล้วแต่ยังไม่ประกาศ คือเราจะต้องมั่นใจจริงๆ ก่อน แต่ก็ก็ถือว่าไม่นานเกินรอเราจะเข้าตลาด LiVEx ก่อน ก็คือเข้าเพื่อย่อตัวและกระโดดต่อที่ตลาด mai แล้วค่อยมาที่ SET เพราะมันไม่ได้มีสูตรว่าเข้าตลาดไหนก่อน แล้วค่อยๆ ไป มันจะไปตลาดใหญ่เลยก็ได้”

“แต่ว่าการย่อตัวครั้งนี้เราคิดว่าสามารถไป SET ได้ แต่แน่นอนว่ามันต้องมีเงื่อนไขตลาด SET คือต้องใช้บัญชีอีกประเภทภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันเนี่ยเราเพิ่งมีอยู่ 1 ปี แต่ LiVEx ปีเดียวก็เข้าได้ เราคิดว่าพร้อมเมื่อไหร่เข้าเมื่อนั้น วันนี้มีความพร้อมในการวางแผนงานของการประชุมแล้ว แต่ว่าประกาศบอกสาธารณะเนี้ย ตรงนี้อาจจะยังรอก่อน ขอผมมีความพร้อมกว่านี้แล้วผมก็จะประกาศความพร้อมว่าจะเป็นเมื่อไหร่”

มาจนถึงบรรทัดนี้ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราก็คงได้เห็นคร่าวๆ แล้วว่า แบไต๋ และรายการแบไต๋ ไฮเทค คงจะเป็นอีกรายการหนึ่งในใจของคนดูไม่มากก็น้อย ที่สามารถพัฒนาไอเดียและหาข้อมูลที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา จนสามารถเคลมได้ว่าเป็นรายการสารานุกรมไอทีแห่งประเทศไทยได้อีกรายการเลยก็ว่าได้ และในอนาคตเราก็อาจจะได้เห็นสื่อไอทีแห่งแรกของประเทศไทยที่เข้าสู่การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เป็นไปได้