ผมเป็นเด็กวัด…วัดพระบาทน้ำพุ
“ผมอยู่กับหลวงพ่ออลงกต”
“นี่ถือเป็นงานหลัก งานทุกงานเกิดมาจากดำริของหลวงพ่อเกือบทั้งหมด ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าใครอยากจะให้เราช่วยอะไรให้เกิดประโยชน์ เช่น ให้พาไปต่างประเทศ ไปอินเดีย ไปบรรยายให้ความรู้ อะไรที่เกิดประโยชน์ก็ทำ จริง ๆ ก็ทำครบนะครับ ในแง่ของการทำทาน ในแง่ของการนำพาผู้คนไปทำอะไรดี ๆ แล้วก็ยังได้ดูแลรับใช้ครูบาอาจารย์เยอะแยะมากมาย เป็นสื่อกลางในการนำธรรมะมาให้ พาคนไปในที่ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์
เราอาจจะเป็นแค่จุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งในสังคม เวลาที่เขามีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เราก็สามารถส่งความช่วยเหลือไปได้ เช่น ช่วงนี้เป็นช่วงน้ำท่วม ใครขอข้าวสารอาหารแห้งอะไร เราก็ขอให้คนมาร่วมบริจาคแล้วก็ส่งไปช่วยเหลือ”
“หมอบีทูตสื่อวิญณาณ” ตัวกลางการสื่อสาร “สัจธรรม”
“วิญญาณในที่นี้ คือ วิญญาณในขันธ์ 5 คือสภาวะแห่งการรับรู้ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ”
“ที่มาของชื่อนี้เกิดขึ้นที่นี่ ห้องนี้เลย” (เรากำลังสัมภาษณ์หมอบีกันที่ห้องจัดกิจกรรมของมูลนิธิบ้านอารีย์)
“มีพี่ ๆ กัลญาณมิตรคู่หนึ่งแล้วกัน เขาเป็นคนตั้งชื่อให้ ไม่ได้คิดอะไรมาก พูดถึงการสื่อสาร เราเป็นตัวกลาง เราก็มองว่าคำไหนที่ตรงและทำให้คนที่ได้รับสารมีความคิดได้หลายแง่ เลยได้ออกมาเป็นคำว่า “ทูตสื่อวิญญาณ” ซึ่ง ‘วิญญาณ’ ณ ที่นี้ความหมายของเราคือ ‘การรับรู้ความรู้สึก’ ไม่ได้แปลว่าผี หรือวิญญาณอย่างนั้น
กว่าจะนิ่งพี่ก็กลิ้งมาก่อน
“ก่อนหน้านี้ชีวิตผมเจอแต่เรื่องแบบบัดซบ”
“ใช้คำว่า ‘บัดซบ’ มาเยอะมากตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ เราไม่เคยคิดว่าอะไรเหล่านี้เป็นเรื่องความทุกข์
ตั้งแต่สมัยได้มีส่วนร่วมในการรับใช้งานของท่านอาจารย์พุทธทาส แได้ศึกษางานต่าง ๆ ของท่าน ทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ว่า ปัญหากับความทุกข์เป็นคนละเรื่องกัน เรามีหน้าที่แก้ปัญหาก็แก้ไป เหตุปัจจัยที่ต้องแก้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ได้จะให้ทำอย่างไร แต่เราเป็นมนุษย์ เราไม่มีหน้าที่ทุกข์ นี่คือสิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้
ผมจะไม่ค่อยเครียด ปัญหามีมาเยอะจริง แต่ไม่ค่อยเครียด กินได้สบาย นอนหลับก็สบาย คือ ถ้าอยากจะหลับเมื่อไหร่ ตอนไหน ยังไง หลับได้หมด ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการนอนหลับเลย ปกตินะ เรามีเรื่องต้องให้คิดเยอะ ปัญหาก็แยะตามมา ต้องคิดบ้างอะไรบ้าง แต่เรารู้ว่า ณ โมเมนต์นี้เราควรนอนคือนอน โมเมนต์ที่ควรกินคือกิน โมเมนต์ที่กำลัง enjoy อยู่กับคนสนิทก็ทำตามนั้น แต่จะไม่มานั่งคิด นั่งเครียด แล้วไม่ทำอะไรเลย…เสียเวลา
เพราะฉะนั้น ตัวผมเองไม่มีจำเป็นต้องจัดการกับความเครียดเลย เพราะมันไม่มีอะไรให้เครียด มันเลยอยู่ อย่างตัวผมเนี่ยอยู่ในฐานะพระก็ไม่ใช่ ทุกวันนี้อะไรก็ไม่รู้ แล้วก็จะมีแต่คนที่พยายามจะคาดหวังเราว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เราเป็นคนปกติธรรมดา ดีเลิศประเสริฐศรีรึเปล่าก็ไม่ ก็ยังกินดึก นอนอืด ยังอยู่เป็นปกติ ไม่เคยตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนใคร ใครมาขออยากจะเป็นลูกศิษย์ก็ไม่เคยรับ เรียกว่าเรารู้ตัวอยู่ว่าเราเป็นใคร เราไม่ได้พร้อมถึงระดับครูบาอาจารย์ อ่านแป๊บเดียว รู้แป๊บเดียวสอนเขาได้แล้วเหรอ???
ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เรารู้ธรรมชาติของเราอยู่ว่าเป็นอย่างไร คนจะคาดหวังให้เราเป็นแบบไหนก็เป็นเรื่องของเขา แต่ก่อนก็แคร์นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แคร์แต่ว่าเข้าใจ…ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ”
เศรษฐกิจ การเมือง ใคร ๆ ก็อยากให้หมอบีทำนาย
“ผมไม่ใช่หมอดู”
“ผมก็บอกเสมอนะ ในทุก ๆ ที่ที่เขาถาม แต่อยากจะส่งต่อในแง่ของหลักธรรมที่ถูกต้อง โอเคล่ะต้องยอมรับว่าเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง อะไรต่อะไร มันมีผลกระทบกับชีวิตเราอันนี้แน่นอน ไม่เคยบอกว่ามันไม่มี มีผลกับเราเยอะด้วย แต่คราวนี้เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่มัวแต่อ้อนวอนขอร้อง หรือแบมือขอ หรือขอให้ใครมาดีกับเรา หรือช่วยเหลือเรา ไม่ใช่ครับ สิ่งที่เราควรทำ คือต้องทำความเพียรพยายาม มีความพากเพียรของตัวเองให้มันดีที่สุด
ผมก็ยังยึดหลักเหมือนเดิมว่า ตอนนี้อย่าไปหวังพึ่งอะไรใคร ใครทำอะไรไม่รู้ จะมีผลอะไรยังไม่รู้ แต่ขอให้ตัวเองสร้างสมการศึกษาเรียนรู้ตามหลักทางธรรมชาติ หรือหลักธรรมะเพื่อที่จะพัฒนาตนเอง เรียนรู้ตัวเอง และทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ โมเมนต์ ถ้าทำได้แค่นี้เราก็สามารพึ่งตัวเอง พัฒนาตัวเองในทุก ๆ แง่มุมได้
ในแง่ของพฤติกรรมเรียกว่าศิลป์ ในแง่ของจิตใจเรียกว่าสมาธิ หรือในแง่ของการรับรู้ความเป็นจริงตามธรรมชาติเรียกว่าปัญญา ก็จะแนะนำว่า นี่คือสิ่งที่เราควรทำมากที่สุด ใครจะเป็นอะไรยังไงก็ส่วนหนึ่ง แต่เราต้องเพียรพยายาม…ไม่งั้น มันไม่รอด
พึ่งพาตัวเอง…สำคัญที่สุด
“ผมยังมีคติที่ว่า เราต้องพึ่งพาตัวเองเป็นสำคัญ”
“เราจะไม่พึ่งพาสิ่งอื่นภายนอกให้เป็นเหตุปัจจัยของเราในความสุขหรือความทุกข์ เพราะถ้าเกิดเราไปพึ่งพาสิ่งภายนอกและถ้า เกิดสิ่งนั้นมาทำให้เราเกิดความไม่รู้ แล้วทำให้เราคาดหวังต้องเป็นอย่างนั้น พอมันไม่ใช่ ทีนี้…โลกล่มสลายเลย
แต่ถ้าเราพึ่งพาตัวเองเป็นเหตุปัจจัยในความสุขและความทุกข์ของตนเองเป็นหลัก แล้วอย่างอื่นก็อาจจะเป็นแหล่งมวลรวมแห่งความสุขของเราบ้าง ได้อยู่กับคนนี้ ไปคุยกับคนนั้น ไปกินข้าวกับคนนี้ เป็นน้ำจิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาเติมเต็มในชีวิตหน่อย ๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ว่าหลัก ๆ อย่างไรก็ตามก็ยังยืนยันว่า “ให้เอาตัวเองเป็นหลัก คือพึ่งพาตัวเอง” สุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง จะไม่พึ่งพาสิ่งอื่นภายนอกมาทำให้เราสุขหรือทุกข์เด็ดขาด
ทุกวันนี้ก็จะมีคนมาขอคำปรึกษาเยอะ สารพัดมากมายมหาศาล เราก็พยายามให้ย้อนกลับไปนึกถึงเหตุปัจจัยที่เขาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ไปพึ่งพาเรื่องภายนอก ไปไหว้สิ่งนั้นแล้วชีวิตจะดีขึ้น ไปขออันนี้ ไปมูอันนั้นแล้วชีวิตจะดีขึ้น ไม่ใช่ผม คุณลองย้อนกลับไปดูเหตุปัจจัยตัวเองก่อน เราได้กระทำอะไรไป แล้วสร้างเหตุปัจจัยพร้อมหรือยัง แล้วปัจจัยมันคืออะไร ทำไมควบคุมได้ ทำไมควบคุมไม่ได้ ทำไมผลออกมาเป็นอย่างนั้น ก็พยายามชี้ให้เห็นว่าจริง ๆ มูลเหตุทั้งหมดมันขึ้นกับตัวจริงเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเราย้อนกลับไปได้จะพบว่าต้นเหตุแห่งความทุกข์ เหตุของความทุกข์ก็คือการไม่รู้จักตัวเอง คือการที่เรามีอวิชชา คือการไม่เข้าใจตัวเอง…เท่านั้นเลย
ผมไม่ใช่หมอดู
“ขอย้ำบ่อย ๆ หลาย ๆ ที”
“คอนเซ็ปต์ผมมาชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่มีคนรู้จักและเข้าใจจริง ๆ วันแรกที่ทำช่อง ทำรายการ ผมก็ลงคอนเซ็ปต์ของตัวเอง คือ ‘เราร่วมกันจูงมือ’ จูงมือในที่นี้หมายถึง ผมไม่ได้จูงใครหรือลากใครขึ้นมา แต่หมายถึงว่าเราจูงมือไปด้วยกัน เราไม่ได้ต้องการไปสอนอะไรใคร แต่จูงมือไปด้วยกันกับการที่ใครมีความเชื่อในแบบดำ ๆ ให้มีศรัทธาอันควร
“ศรัทธาอันควร” คืออะไร ? คือ ศรัทธาเป็นเรื่องที่ดีให้ไปสู่สัจจะที่แท้จริง เพราะฉะนั้นคอนเซ็ปต์ผมชัดเจนตั้งแต่แรกและไม่เคยเปลี่ยน เราไม่ได้เอาเรื่องพวกนี้มาเป็นเรื่องทำมาหากิน แต่เรารู้ว่าคนในสังคมเขามีความเชื่อ ในเมื่อเขาเชื่อ เราจะไปต่อต้านเขาทำไม ถ้าเราต่อต้านเขาหมายถึงเราตีตราเขาเรียบร้อย มีอคติกับเขา ตัดสินคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ว่าเขาผิด เขามั่ว เขาบ้า ทุกอย่างจะจบ
แต่การที่เราเป็นพวกเดียวกับเขาก่อน ค่อย ๆ ดึงเขามาเรื่อย ๆ เรายุ่งเรื่องผี วิญญาณ ความเชื่อ เราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าจริงคือจริง ไม่จริงคือไม่จริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาจะดูอยู่แต่แรก คือ ผมพิสูจน์ได้ พิสูจน์ให้เห็น อันไหนพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่ต้องเชื่อ
การที่เขาเชื่ออะไรบางอย่าง แล้วเราค่อย ๆ ดึงเขาออกมาสู่ศรัทธา แล้วก็มาสู่สัจจะจริง ๆ เป็นทางที่มันไม่ได้ผลประโยชน์ เพราะการที่ค่อย ๆ ให้เขามีปัญญาจะขายของไม่ได้ เลยขัดกับชาวบ้านเขา เพราะฉะนั้นคอนเซ็ปต์เราชัดเจน ยังเป็นหลักการที่แน่วแน่มั่นคงไม่เคยเปลี่ยน
การที่หลาย ๆ คนจะมองเราในแง่ผีสางวิญญาณต่าง ๆ ก็ยังมี แต่ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เราไม่เคยปฏิเสธเรื่องผีวิญญาณ ความเชื่อ ไหว้อะไร ได้อะไรอย่างนี้ ทุกวันก็จะมีคำถามที่แบบ “พ่อหนูตายแล้วไปไหน ต้องการอะไรไหม ไปดีหรือเปล่า” มีคำถามแบบนี้มาทุกวัน เราเข้าไปตอบทุกวันนะ เพราะเข้าใจว่าความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อเขาตายแล้วเขาทุกข์ ถ้าเราชี้ทางให้เขาเกิดปัญญาได้จริง ๆ ว่าตายคืออะไร ตายแล้วไปไหน ให้เขาทำความเข้าใจได้ ทำให้เขาเกิดปัญญาได้ ผมว่าตรงนี้คือคอนเซ็ปต์ ชัดเจนถึงคำว่า “ศรัทธาอันควร”
ถามมา – ตอบไป
11 คำถาม 11 คำตอบ สไตล์หมอบี
Q: พี่บีคะ คนเราเกิดมาทำไมคะ เหตุและผลของการเป็นมนุษย์คืออะไรคะ?
A: “ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม ก็จะตอบว่าไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องของผม แต่ละคนมันมีเหตุมีวัตถุประสงค์ มีเหตุปัจจัยในการเกิดมาแตกต่างกันเป็นเรื่องของเขา มันไม่มีเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบชัดเจน ทุกอย่างต้องลงตัวแบบนั้นไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่ถ้าถามแบบง่าย ๆ ก็รู้สึกว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อศึกษาเรียนรู้ มาทำความเข้าใจในโลกเท่านั้นเอง”
แล้วเหตุผลของการมีอยู่ของมนุษย์บนโลกใบนี้ล่ะ?
“เหตุผลของการมีอยู่ คือ เราได้เรียนรู้นี่แหละ เราเจอเรื่องราวต่าง ๆ เรามีสิ่งต่าง ๆ เข้ามา มีผลกระทบกับจิตใจเราอย่างไร มันกระทบแล้วมันกระเทือนมากน้อยขนาดไหน เราเลือกด้วยตัวเองว่าจะจัดการกับเรื่องราวนั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เราสามารถเลือกที่จะทำกรรมด้วยตัวเอง จะคิดยังไง จะพูดยังไง จะทำยังไงออกไป มีผลกระทบอะไรยังไงก็ว่ากันไป
เพราะฉะนั้น มนุษย์เกิดมาเรียนรู้ ผมพูดอยู่ตลอดว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ประเสริฐแล้วจบ แต่มนุษย์เกิดจากการศึกษาเรียนรู้แล้วค่อยประเสริฐ เราเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำผิดพลาดตลอดชีวิต อันนี้ก็พลั้ง อันนั้นก็พลาด ไม่น่าทำเลย ทำไมมันเลวทรามขนาดนี้ ก็เรียนรู้ปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อย ๆ มนุษย์ก็เป็นแค่นี้ พัฒนาถึงไหนไม่รู้
บางคนพัฒนาไปถึงจุดสูงที่สุดในการพ้นจากความทุกข์ไป มากกว่านั้นบางคนพัฒนาจนถึงขั้นว่าพ้นทุกข์ไปแล้วยังสอนคนอื่นให้พ้นได้อีกก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะฉะนั้นแล้วแต่เรา ว่าเรามีชีวิตอยู่ในแต่ละวันในแต่ละวินาทีแล้วเราทำได้ขนาดไหน
ถ้าเราพัฒนาได้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ทำตามสัญชาตญาณก็เรื่องหนึ่ง พัฒนาไปอีกก็ติดอยู่ในความชอบ ไม่ชอบอยู่ ยังอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็เรื่องหนึ่ง จนถึงขั้นว่าเรารู้สึกว่าเราเสพทุกอย่างได้ อยู่กับทุกอย่างได้ด้วยความสุข สามารถเห็นทุกอย่างแล้วสัมผัสได้ถึงความสุขก็เรื่องหนึ่ง หรือไปมากกว่านั้น คือ สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา เอาเฉย ๆ ก็ไม่รู้จะทำไม ทำไมต้องทำอะไรที่ชีวิตมันยากด้วย อยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ คิดอย่างไร พูดอย่างไรก็เอาไปตรง ๆ แต่ว่าตรง คือตรงต่อความจริง เราเข้าใจเรื่องราวอย่างนี้ มนุษย์ก็มีการเรียนรู้แตกต่างกัน ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า “มนุษย์เกิดมาก็เพื่อศึกษาเรียนรู้” ครับ”
Q: พี่บีคะ เวรกรรมมีจริงมั้ยคะ?
A: “ปกติเวลาคนถามแบบนี้ว่า กรรมมีจริงรึเปล่า?”
“อยากรู้ว่ากรรมมีจริงไหม? ก็จะตอบไปว่า “เดี๋ยวลองให้ดู” แล้วก็เดินเข้าไปตบ แล้วลองดูว่ากรรมมีจริงไหม?”
“คนเราชอบตีความว่าเวรกรรมแปลว่าต้องตกกระทะทองแดงทองเหลืองอะไรก็ไม่รู้ กรรมคือการกระทำ เราทำอะไรสักอย่าง มีกรรมเกิดขึ้นแน่นอน มันมีผลออกมาแน่นอน แต่ผลจะเป็นยังไงอีกเรื่องหนึ่ง มนุษย์เราทำกรรมตลอดเวลา ทั่วทุกลมหายใจ คิดก็เป็นกรรมแล้ว ที่กินข้าวเป็นกรรม นอนหลับก็เป็นกรรม พูดจาดี ๆ กับคนก็เป็นกรรม พูดไม่ดีก็เป็นกรรม ทุกอย่างเป็นกรรมทั้งหมดอยู่แล้ว ทำไมชอบมาถามว่าเวรกรรมมีจริงไหม? คุณหิวข้าวกินข้าวก็อิ่มไม่จริงเหรอ? ง่วงนอนก็หลับไม่จริงเหรอ? ทุกอย่าง make sense เป็นเรื่องที่ง่ายไม่มีอะไรพิสดารเลย
สรุปว่า ‘กรรมก็คือการกระทำ’ คือ สิ่งที่ทำออกไปมีผลแน่นอน และทุก ๆ การกระทำไม่ใช่ว่าจะเป็นกรรมดีทั้งหมด หรือกรรมชั่วทั้งหมด ทุกการกระทำมีผลดีหรือผลชั่วทั้งหมด แล้วแต่ว่าเราจะรับตรงไหนก็เท่านั้น”
Q: พี่บีคะ ตายแล้วไปไหนคะ?
A: “ตอบทุกคนเหมือนเดิมว่า ไปที่ชอบ ที่ชอบ”
“ตัวเองชอบอะไร เพียรพยายามชอบก็ไปที่ชอบแบบเพียรพยายาม คิดชอบก็ไปชอบแบบความคิดที่ชอบ ไปที่ชอบ ที่ชอบ คือ เราจะรู้ตัวเองอยู่เสมอโดยที่ไม่ต้องไปถามใครว่าตายแล้วไปไหน ตอนมีชีวิตอยู่ทำตัวอย่างไร คิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร ตายแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันยุติธรรมที่สุด
ถ้าคุณทำตัวชั่วมาตลอดชีวิตแล้วมีคนทำสังฆทานให้คุณ คุณจะได้ไปสวรรค์อย่างนี้เหรอ มันไม่ make sense คุณเป็นอย่างไรมา ตายคุณก็เป็นอย่างนั้น คุณทำดีมาทั้งชีวิต ทำทานตลอดเวลา รักษาศีลภาวนา ชีวิตมีแต่ความสุข มีความมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น พอตายแล้วบอกว่าลงนรกเหรอ ไม่ใช่ครับ ทำอะไรมาต้องได้อย่างนั้น ก็คือไปที่ชอบ ที่ชอบ จริง ๆ”
Q: พี่บีคะ การร้องขอเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเป็นการบนบาน การขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไมบางคนขอแล้วได้แบบนั้นจริง ๆ คะ?
A: “ไม่มีเรื่องนั้นบนโลกครับ”
“การร้องขออะไรก็ตามไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์ คือการเพียรพยายามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในการรู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร พอเรารู้หน้าที่ของเรา จะเกิดการเพียรพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด เราไม่มีหน้าที่ไปร้องขอใคร ใครเขาจะให้อะไรมาก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา การที่เราไม่ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์แล้วก็ขอ คือ การแสดงออกถึงความอ่อนแอ เราอ่อนแอทำให้สังคมอ่อนแอไปด้วย
การที่เราจะทำอะไร ชีวิตเราจะดีหรือไม่ดีให้ไปขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ขึ้นอยู่กับรูปปั้น ขึ้นอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ไปร้องขอเขา ไปไหว้บนบานศาลกล่าวเขา แล้วมาบอกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ โคตรไม่ make sense”
Q: พี่บีคะ กลัวผีจังเลยค่ะ ผีมีจริงมั้ย ทำยังไงให้ไม่กลัวผีคะ?
A: “ตรงไปตรงมานะ คือถ้าเราไปคิดว่ามันมีมันก็มี คิดว่ามันไม่มีก็ไม่มี”
“ทำไมคนไม่กลัว ไม่เห็นมีปัญหาเลย ผมจะใช้คำหนึ่ง คือคำว่า ‘การไม่ให้ค่า’ เมื่อไหร่ก็ตาม เราให้ค่าอะไรสักอย่าง ให้ค่ากับคนคนนั้น คนคนนั้นก็ให้ค่าเรา เราให้ค่ากับหมาให้ค่ากับแมว มันก็จะมีสิทธิ์ให้ค่าเราได้ แต่ถ้าสิ่งนั้นมีไม่มีก็ไม่รู้ แต่เราไม่ได้ให้ค่ากับเขา อยู่ก็ช่างไม่อยู่ก็ช่าง
คนสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่พูดกัน ไม่สนใจกัน เบื่อไหม? แบบนี้ไม่มีใครอยากอยู่ เพราะจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าใช่ไหม ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น กลัวผีเพราะเราไปให้ค่าเขา คำว่า ‘ไปให้ค่า’ รวมไปถึงการไม่ชอบด้วยนะ โกรธ เกลียด ไม่เอา ไม่เห็น ออกไป ไม่สนใจ คือก็ยังไปให้ค่าในการปฏิเสธเขา
ลองดูสิว่า ถ้าเราไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เรา ignore ไปเลย รู้สึกว่าผีเป็นอากาศธาตุไปเลย ถ้าเราไปนอนที่ไหนแล้วผีมาหลอก มาบอกว่านี่เป็นที่ของกู ก็บอกไปเลย ฉันจ่ายตังค์มาคืนนี้ ฉันมีสิทธิ์ เดี๋ยวพรุ่งนี้ check out ค่อยว่ากัน ไม่เห็นว่าต้องเป็นปัญหา เรากลัวเพราะคำว่ากลัวมาจากคำว่าไม่รู้ พอเรารู้แล้วมันก็ไม่กลัว ถ้ามันมืดมาก มองไม่เห็นก็เลยกลัว ก็เปิดไปนอน รู้แล้วมันก็ไม่กลัว ก็ไม่มีอะไร”
ทำไมเวลาเปิดไฟแล้วผีไม่มี ผีหายไป ? (คำถามจากทีมงานท่านหนึ่ง)
“เพราะว่าเราไม่กลัว พอเราไม่กลัวมันก็ไม่มา แต่พอกลัว มันเกิดจินตนาการใช่ไหม น้ำหยดติ๋งหนึ่ง อุ้ยเป็นผีแล้วอะไร มัน make sense ตรงไหน!!! ผีต้องเป็นใส่ชุดขาว ผมยาว ไม่ก็เป็นนางรำใช่ไหม ทำไมผีจะใส่ตัวฮิปฮอปบ้างไม่ได้หรือยังไง สักทั้งตัวไม่ได้หรือไง ก็เพราะว่าเรามันมีภาพจำ มันคือสัญญา (สัญญาขันธ์ หมายถึง กองสัญญา ส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่ได้รับ) ที่มีคนมาป้อนให้เราเราก็จำแบบนั้น พอเราเห็น เราก็ตีความ ก็เท่านั้น”
Q: พี่บีคะ หนูทุกข์จังเลยค่ะ ทำยังไงจะออกจากทุกข์ได้คะ?
A: “สำหรับทุกข์ เรามีหน้าที่รู้ เราไม่ได้มีหน้าที่จัดการให้มันออก หรือให้มันล่มสลายหายไป”
“ทุกข์…ชื่อก็บอกอยู่ว่าทุกข์ เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เราต้องรู้ว่าทุกข์คืออะไร ง่าย ๆ ก็คือ เรายังไม่ทำให้เคลียร์ หรือเรายังไม่ทันหาสาเหตุของมัน เราเกลียดมันก่อนแล้ว คนที่ไหนอยากทุกข์? ไม่มีหรอก
ทุกข์ คือ สภาวะที่ทนอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องคิดว่าต้องไปฝืนกับความเป็นจริงด้วย รักคนคนหนึ่ง แล้วเขาจะอยู่กับเราตลอดหรือ? มันไม่จริงหรอก
ในเมื่อมันไม่จริง พอมันเกิดขึ้นก็ทุกข์ ทำไมเธอไม่อยู่กับฉัน เธอตายไปก่อนทำไม ทำไมเธอไปมีคนใหม่ ก็นั้นเรื่องจริง เรื่องจริงคือทุกวิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง และมันคือสิ่งที่ต้องเกิด at the end ในวันหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่แรกจะไปทุกข์ทำไม เพราะเราไปคาดหวังไง ว่าเธอรักฉัน ฉันรักเธอ เราต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล … มันใช่แน่หรือ?
พอเรารู้ เรามีความเข้าใจ เรามีวิชารู้ว่าทุกอย่างมันไม่สามารถคงทนถาวรได้ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย พอเราเข้าใจแล้ว เราจะไม่ทุกข์ เราไม่มีความจำเป็นต้องทุกข์ แล้วเรานั่นแหละที่จะงงว่า เราจะทุกข์ทำไม? อย่าได้บอกว่าตัวเราออกจากทุกข์ไม่ได้ คิดดูดี ๆ ว่าเราไม่อยากออกเองรึเปล่า บางคนกอดทุกข์ไว้แน่นเลย”
Q: พี่บีคะ เจ้านายที่ทำงานของหนูทำอยู่ไม่โอเคเลยค่ะ ปล่อยพลังใส่หนูมากมาย หนูเลือกไม่ได้ ออกก็ไม่ได้เพราะกลัวไม่มีงานทำ กลัวไม่มีเงินเดือน หนูควรทำยังไงดีคะ?
A: “เราก็เราต้องยอมรับความจริง ว่าก็เขาคือเจ้านาย เราคือลูกน้อง เรามีหน้าที่ที่ต้องทำตามเขา”
“จะบอกว่าเขาไม่ดี แล้วไปเปลี่ยนเขา มันก็ไม่ใช่ อยู่ได้อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ใช่ไหม? แต่ถ้าจำเป็นต้องอยู่ เราจะปรับจิตปรับใจอย่างไรต่างหาก เราต้องมีคำถามนี้ ไม่ใช่บอกว่าเขาไม่ดี เขา toxic เขาเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ คุณจะบ้าหรือ คุณไปเปลี่ยนคนอื่นได้ด้วยเหรอ? จะไปเปลี่ยนคนอื่นตลอดเวลา อยากเปลี่ยนให้พ่อเป็นอย่างนั้น ให้แม่เป็นอย่างนี้ ให้สามีเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ยุ่งกับคนอื่นตลอดเวลา เราไม่มีทางเปลี่ยนใครได้หรอก เปลี่ยนได้คนเดียวคือตัวเราเอง เราอยากปรับอะไรอย่างไรให้ปรับที่ตัวเราเอง
บริษัทเป็นของเขา เขาเป็นเจ้าของ เขาเป็นเจ้านายของคุณ คุณจะไปเปลี่ยนเขาเหรอ? ถ้าเราคิดว่าเราไม่เหมาะ เราก็ออก แล้วก็เปลี่ยนแปลงซะ แต่ถ้าคิดว่าเราเหมาะ เราเก่ง เราเจ๋ง เราดี เขากับเราอาจจะไม่ match กัน ก็ปรับจิตปรับใจโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เมตตาเป็นไหม กรุณาเป็นไหม มุทิตาเป็นไหม อุเบกขาเป็นหรือเปล่า เสร็จแล้วมีการกระทำที่ถูกต้อง ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตาหรือเปล่า ถ้าทำทุกอย่างแล้วอะไร มันต้องเข้าใจกันมากขึ้นแหละ แต่ถ้าทำแล้วยังทุกข์อยู่ แสดงไม่จริง แสดงว่ายังไม่ทำ ไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นให้ธรรม หรือธรรมะ หรือธรรมชาติให้มันเจริญ แสดงว่าก็ไม่เคยทำให้มันเจริญแต่อ้างว่าตัวเองทำแล้ว ทำแล้วยังไงก็เจริญ”
Q: พี่บีคะ หนูแอบรักเค้า แล้วเค้าก็รักตอบด้วย แต่เค้ามีครอบครัวแล้ว หนูควรทำยังไงดีคะ ตัดใจก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็เดินไม่ถึงค่ะ
A: “อย่ามาพูดว่ารัก นั่นไม่ใช่ความรัก ความรักที่ดีต้องไม่ทำร้ายตัวเองไม่ทำร้ายผู้อื่น”
“ความรักที่ดีต้องไม่เห็นแก่ตัว เรารักเขา รักใคร เรารักได้ รักหลายคนก็ไม่แปลก เรามีความปรารถนาดีให้กับคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลก รักแบบหลาย ๆ คนนะ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าเราทำยังไงต่างหากกับธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา อย่าลืมว่าธรรมะมี 2 บทบาท ก็คือเราต้องรู้ว่าธรรมชาติความเป็นจริงคืออะไร เช่น รักคือรัก หน้าที่ต่อธรรมชาติคืออะไร นี่คือการปฏิบัติ
เราต้องรู้ว่าหน้าที่เราคืออะไร ต้องกระทำกับธรรมชาตินั้นอย่างไรต่างหาก ถ้ารักแล้วมันจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นโดยเด็ดขาด ในเมื่อเรารู้ว่าเขามีเจ้าของ แล้วเรายังรักเขาอยู่ไม่ผิด แต่รักแล้วยังไงต่อ ถ้ารักแล้วรัดด้วยอันนี้มีปัญหา แต่รักก็คือรัก รักแล้วอยากให้เขามีความสุขในแบบของเขาไม่ใช่แบบของตัวเอง รักแบบนี้ไม่เคยสร้างปัญหา
หมายความว่า ถ้าเกิดว่าถึงเขามีครอบครัวแล้ว แล้วเรารักเขาข้างเดียวก็รักไป โดยไม่ทำให้เขาเดือดร้อน (ทีมงานถามต่อด้วยความข้องใจ)
“เรารักใครมันผิดตรงไหน อยากเห็นเขามีความสุขมันผิดไหม เขามีครอบครัวที่น่ารักจังเลย ผู้ชายคนนี้ดีจังเลย ถ้าเราได้เขาเป็นแฟนคงดีมาก ๆ เลยแต่ไม่ได้ ไม่ได้คือไม่ได้ไง เพราะฉะนั้นรักก็ไม่ผิด เขารักตอบก็ยังไม่ผิดด้วยซ้ำ แล้วทำอะไรกับธรรมชาตินั้นหรือเปล่า?
ถ้าเรายังอยากจะทำอะไรกับธรรมชาตินั้นอยู่ ต้องพิจารณาว่าอาจจะไม่ผิดธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติอาจจะบังคับไม่ได้ แต่ผิดหน้าที่ ไม่สอดคล้องกับหน้าที่ คือไม่สอดคล้องกับสมมติบัญญัติทางสังคมแน่นอน เพราะฉะนั้น หน้าที่ของธรรมะคือการเอามาแสดง แต่หน้าที่ของวินัยคือการบัญญัติ พอบัญญัติออกมาแล้ว คือควรหรือไม่ควรตามทำนองคลองธรรมของสังคม ก็ไม่ทำ ก็แค่นั้น คนสองคนรักกันแล้วแต่เพิ่งมาเจอกันตอนที่มีครอบครัวไปแล้ว ผิดตรงไหน เราไม่ผิดหรอกที่จะรักใคร
คือถ้ารักบริสุทธิ์จริง ๆ ถ้าเป็นเมตตาจริง ๆ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข มันไม่ผิด แต่รักของคุณเป็นรักแบบไหนล่ะ? คุณบอกว่าคุณรัก คิดให้ดีว่าคุณรักหรือคุณหลง คุณรักแล้ว คุณอยากได้เป็นเจ้าของไหม ถ้าอยากได้เจ้าของก็ไม่ใช่ถูกไหม เพราะความรักจริง ๆ ไม่น่าจะต้องมีเจ้าของนะ เรามีแต่ความปรารถนาดีกับผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าเป็นเมตตาที่ถูกจะเป็นจิตใจในเเบบมีความเข้าใจและมีมุทิตา อยากให้เขามีความสุขในแบบของเขามัน ให้ตายก็ไม่ผิด
แต่จะผิดเพราะว่าเราดันไปนิยามคำว่ารัก เราไม่ได้รักเราหลง เราอยากได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อันนี้ผิด รู้ตัวเองอยู่ รู้อยู่แล้วว่าอึดอัด เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เกิดความทุกข์ สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น มันผิดโดยธรรมชาติอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก ต่อให้ไม่มีใครรู้ เราก็รู้ว่าผิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจเลย มันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ อยากเลือกที่จะรักแบบผิด ๆ มันก็ทุกข์เองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วเราก็จะรู้ว่า ถ้ามันผิดตั้งแต่ต้นให้ตายยังไงมันก็ไม่ถูก แล้วไม่มีทางหรอกว่าทุกอย่างมันจะลงล็อก ก้าวแรกก็ผิดอยู่แล้ว มีความเห็นไม่ตรง เห็นไม่ถูก มันจะไปคิดถูกได้อย่างไร”
Q: พี่บีทำยังไงดีคะ หนูมีความฝัน อยากทำตามสิ่งที่หนูอยากทำ แต่พ่อแม่ให้ทำอีกอย่าง หนูควรคุย ควรบอกกับพ่อแม่ยังไงดีคะ?
A: “ปัญหาโลกแตก”
“เราก็ต้องแยกเป็นสองส่วนนะ ส่วนแรกคือส่วนตัวเอง คือความฝัน dream just a dream ก็คือฝันไปเถอะ อยากฝันเลยก็เป็นไปได้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้เป็นความปรารถนาที่เป็นฉันทะจริง ๆ ความอยากจะมี 2 รูปแบบ ความอยากที่เป็นตัณหา ความอยากที่มันร้อนรนที่ชอบเรียกกันว่า passion กับ ความอยากที่เป็นฉันทะ ที่เกิดจากความรักจริง ๆ เกิดจากความอยากที่จะสร้างเหตุจริง ๆ สิ่งนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ พอมันกล้าแล้วไม่มีอะไรขวางได้หรอก แต่เรามีปัญญาพอไหมที่จะรู้ว่ากล้าแบบไหน พอกล้าเสร็จแล้วใจอยู่กับสิ่ง ๆ นั้นอย่างมีความสุข
นอกจากใจมีความสุขแล้ว เราก็ยังมีความรู้สึกว่าไม่ได้โง่ด้วยนะ เพราะไม่ได้รักอย่างเดียว จะทำอย่างเดียวแต่มีความเข้าใจ มีการศึกษาหาความรู้ว่าสิ่งที่เราชอบ ชอบจริงไหม รักจริงไหมลงมือทำจริงหรือยัง กล้าจริงหรือเปล่าในแง่มุมไหนก็แค่นั้น เพราะฉะนั้นโอกาสในการประสบความสำเร็จเพราะมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มันมาอยู่แล้ว
ส่วนอีกประเด็นที่จะคุยกับพ่อกับแม่คือเรื่องที่ต้องพิสูจน์ นี่ไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นอุปสรรค ถ้าเป็นอุปสรรคที่เราต้องก้าวข้ามไป คุณก็ต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ทุกอย่างมีเวลาของมัน มีความเข้าใจของมัน ความเข้าใจของพ่อของแม่ ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกัน แต่ไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาคือคุณอดทนได้ขนาดไหน มีปัญญาพอที่จะพูดกับเขาได้มากน้อยขนาดไหน ในเมื่อวันนี้ไม่มีปัญญา หรือไม่มีอะไรไปต่อกร เขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ฟัง ก็ไม่แปลก เขาไม่เชื่อว่าความฝันเรายิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่แปลก ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้ถ้า แค่นี้ยังคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นปัญหา พ่อแม่ไม่เข้าใจฉัน มันก็เจ๊งแต่แรกแล้ว เพราะคุณก็ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคอันแรกไปได้”
Q: พี่บีคะ ทำยังไงดีคะ หนูเข้ากับพ่อแม่แฟนไม่ได้เลย เรารักกันแต่ครอบครัวก็สำคัญ หาทางออกยังไงดีคะ?
A: “ก็พ่อแม่แฟน ไม่พ่อแม่เรา จะไปเข้ากันได้ยังไง ก็ไม่แปลก”
“ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ากัน แล้วไม่มีทางเข้ากันได้อยู่แล้ว จะไปเข้ากันได้อย่างไร ขนาดพ่อแม่เราเองบางทียังเข้ากันไม่ได้เลย จะไปคาดหวังว่าพ่อแม่คนอื่น คนอื่นเขาเลี้ยงลูกเขามา 20 – 30 ปีเข้าไม่ได้ก็คือเข้ากันไม่ได้ เข้าไม่ได้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไร ไม่มีความจำเป็นต้องพยายามให้เขาเข้าใจเรา เราก็ไม่ต้องพยายามไปเข้าใจเขา เราไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง
การที่เราอยู่กับผู้คน เราเข้าใจตัวเองเป็นหรือยัง เมตตาเป็นหรือยัง ปรารถนาให้เขามีความสุขเป็นหรือยัง ช่วยเหลือเวลาเขาทุกข์แล้วหรือยัง เรายินดีเวลาเขามีความสุขในแบบของเขาแล้วหรือยัง แล้วมีความรู้ความเข้าใจตรงความเป็นจริงไปแล้วหรือยัง
หลังจากนั้นแล้ว เรารู้ว่าคนคนนี้จะถูกกับเราหรือไม่ถูกเราก็ตาม เรามีการให้ในยามปกติ ให้ในยามที่เขาทุกข์ ให้ในยามที่เขามีความสุขแล้วหรือยัง เรามีวาจาในยามที่เขาปกติ เรามีวาจาในยามที่เขาทุกข์ มีวาจาในยามที่เขามีความสุขแล้วหรือยัง เราทำตัวเป็นประโยชน์ในความที่เขาปกติ เราทำตัวเป็นประโยชน์ในเวลาที่เขาทุกข์ เราทำตัวเป็นประโยชน์ในเวลาที่เขาสุขแล้วหรือยัง
แล้วถัดมาสุดท้ายเรามีความเข้าใจตรงต่อความเป็นจริง ไม่เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนทุกคนเป็นปกติแล้วหรือยัง มันเป็นข้อธรรมที่ไม่ใช่จำเนื้อมาทำ แต่มันต้องลงมือทำ ถ้าเราได้เพียรพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะรู้ว่าความจริงคืออะไร เราก็จะไม่ทุกข์ แต่สุดท้ายถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่ อยู่ทำไม ไม่มีความจำเป็นจะต้องพยายามเข้ากันให้ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องธรรมดาของมนุษย์ ช่วยไมได้เกิดมาเอง”
Q: พี่บีคะ อยากตื่นเช้าไปตักบาตร อยากเข้าวัดไปทำบุญ ไปถวายสังฆทาน แต่ตื่นสาย นอนดึก งานเยอะ ทำยังไงดีคะ?
A: “จะทำบุญทำไมต้องไปตักบาตร ทำไมต้องถวายสังฆทาน ทำไมต้องเข้าวัด”
สิ่งที่คิดอยากทำเป็นเรื่องที่ดีนะ ตักบาตรเรื่องดีมาก การทำสังฆทานเป็นเรื่องที่ดีมาก การฟังธรรมก็เป็นเรื่องที่ดีมากและควรจะทำ แต่ไม่ใช่ว่าต้องทำหรือว่าไม่ทำ ถ้าไม่ทำต้องเป็นคนเลวหรอกหรือ ในเมื่อไลฟ์สไตล์ไม่ใช่เราก็หาอย่างอื่นทำให้มันสอดคล้องและตรงกับวิถีชีวิตเราก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย
ถ้าอยากจะทำก็ทำ อยากตื่นเช้าไปตักบาตรก็ตื่นเช้าไปตักบาตรจบ นอนไม่พอก็คือนอนไม่พอ ในเมื่อคุณอยากทำในสิ่งที่ condition หรือเงื่อนไขของโลกใบนี้ คือ พระออกบิณฑบาตตอนเช้า เราก้ต้องตักบาตรตอนเช้า คุณจะบังคับเปลี่ยนให้โลกใบนี้พระบิณฑบาตตอนเย็นก็ไม่ได้ ในเมื่อมันเปลี่ยนโลกไม่ได้ เราต้องปรับตัวเราเอง ปรับไม่ได้ก็ทำอย่างอื่น เพราะฉะนั้นการทำบุญมีเยอะแยะมากมาย คนก็ยังตีความว่าการทำบุญคือการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เข้าวัดเอาเงินไปให้ มันก็เลยยังไม่ได้บุญที่แท้จริง
สังคมเราไม่เคยเข้าใจว่าบุญคืออะไร ก็พยายามบอกอยู่ทุกที่ แล้วก็ไม่ได้คิดเองด้วย คำจากครูบาอาจารย์เขาก็สอนอยู่ว่า บุญคือความสบายใจ สบายใจไม่ได้แปลว่าสนุก ไม่ได้แปลว่า happy แต่มแปลว่าสบายใจโล่งโปร่งสบาย ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีที่งาม ทำแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีชนักติดหลัง ไม่ต้องระแวงใคร ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนาก็บอกว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 กิริยา คือ action ทำออกไปแล้วก็เกิดความสบายใจ
ทำหน้าที่ความเป็นคนทั้งหมด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงพร้อมแล้วมันจะรู้สึกว่าสุดยอดเลยวันนี้ทำเต็มที่แล้ว เกิดอาการโล่งโปร่งสบาย อยู่ตรงไหนก็เต็มของมันในระดับสติปัญญาที่เรามี แล้วเราทำได้ ทำบุญได้ตลอดเวลาทุกวินาที ทั่วทุกลมหายใจ ให้ตายอย่างไรก็ทำได้ ไม่ต้องรอเข้าวัดหรอก บุญอยู่ที่ความเข้าใจ ความสบายใจที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา”
Q: พี่บีคะ วันนี้หนูมีความสุขจังเลยค่ะ การเงินดี การงานดี คนรักก็ดี แต่หนูทุกข์มาก เพราะกลัวสิ่งดี ๆ ที่มีวันนี้หายไป ทำยังไงดีคะ?
A: “สมน้ำหน้า”
“เหมือนเดิมที่พูดไปว่ามีความทุกข์จะออกจากทุกข์ได้ยังไง ตอนนี้พอเราไปติดกับความสุข แล้วก็อยากมีความสุข พอมีความสุขก็อารมณ์เดียวกันว่าอยากให้ความสุขอยู่กับเรานาน ๆ จะบ้าเหรออารมณ์เดียวกันเลย เราไม่เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ มีสิ่งใดในโลกนี้ไหมที่พ้นไปจากเรื่องที่บอกว่าทุกอย่างแม้กระทั่งความสุขมันจะอยู่เหมือนเดิม มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุดด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ไม่รู้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน คุมได้บ้าง ไม่ได้บ้างแต่มันต้องเปลี่ยนแปลง ต้องหายไปแน่นอน
เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าต้องให้มันอยู่นาน ๆ แต่ทำให้มันดีขึ้นดีกว่าไหม ความสุขสามารถพัฒนาได้ พัฒนาก็ตรงกับคำว่าภาวนา คุณก็ภาวนาสิ ภาวนาคือพัฒนาทำให้มันดีขึ้น มีความเข้าใจขึ้น พัฒนาจิตใจได้ มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ไหม ว่าเรื่องราวเกิดขึ้นทุกอย่างก็วนกลับไปว่ามันเปลี่ยนแปลงไปตลอดนะ มีเหตุปัจจัยที่เสริมสร้าง หรือทำให้มันพังทลายลงไปได้นะ
การภาวนาให้เกิดความเข้าใจตรงต่อความเป็นจริง ชีวิตเราก็พัฒนาขึ้น ได้เรียนรู้ขึ้น ผิดพลาดก็ให้อภัยตัวเองหน่อย เป็นคนก็ผิดพลาดได้ไม่แปลก กินอาหารที่เสียยังท้องเสียได้เลย มันแปลกตรงไหน ก็กินถ่านเข้าจะได้ไปเอาของเก่าออก ให้อภัยตัวเองให้เป็นก็เหมือนกินถ่านนี่แหละ กินคาร์บอนเพื่อให้มันออกไปแล้วก็เริ่มต้นใหม่ ให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสผู้อื่น มันก็อยู่ได้มัน ชีวิตก็ดีขึ้นด้วยซ้ำ ทำไมต้องบอกว่าให้ความสุขอยู่เหมือนเดิมแล้วไม่ให้หนีไปไหน เราเกิดมาไม่ได้ทำตามยถากรรม เราเป็นมนุษย์ เราสามารถพัฒนาความสุขได้ ตรงไหนทำไมถึงไม่ทำ”
จบ 11 คำถามไปเรียบร้อย ซึ่งเป็นคำถามที่เราคัดเลือกมากว่า 50 คำถามทั้งจากคนที่ติดตามหมอบีเป็นประจำ คนที่ไม่รู้จักหมอบีเลยก็มี จากคนหลากหลาย gen ซึ่งแต่ละคำถามเป็นสภาวการณ์ปัจจุบันที่ผู้ถามกำลังประสบปัญหานั้นอยู่ และเราหวังว่า คำตอบของหมอบีจะนำมาซึ่งทางออกให้กับทุกปัญหาด้านบนได้บ้างนะคะ
“อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา” คำคมสไตล์หมอบี
“ผมมีคำคมทุกวัน เป็นคนชอบขโมยคำคมคนอื่น ขโมยในที่นี้หมายถึง เราไปเจอที่ไหน เราก็จะเก็บมา แต่ไม่ใช่ Copy และ Paste แต่เราเอามาทำความเข้าใจ เอามาประกอบการผสมหรือดัดแปลง แล้วมาดูว่ามีข้อคิด ข้อธรรมอะไรที่นำมาส่งต่อถึงคนรอบข้างได้ ให้เป็นประโยชน์ได้”
“ล่าสุด เกิดจากการประมวลธรรมะชุดหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งให้มา เรื่อง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา บอกให้รู้ว่าการที่เรามี รู้ว่าอะไรควรไม่ควร โดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปบังคับ ไปกะเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น แล้วอยู่ในหลักที่มันถูกต้อง หลักที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไปยึดไปถือ แต่เป็นหลักตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ จากที่เรารู้อะไรควรไม่ควร หลักตามความรู้ธรรมชาติ เราก็จะพิจารณาเห็นว่าเราจะสุขก็ไม่เอา จะทุกข์ก็ไม่เอา แล้วเราจะเข้าใจว่าสุขกับทุกข์ไม่เอาตามหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติ จากการที่เรารู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้สึกว่าแค่นี้พอแล้ว ก็จะตอบโจทย์ทั้งหมดเลยว่า การที่เรามีความเห็นถูก คิดถูก พูดถูก กระทำถูก ใช้ชีวิตถูก เพียรพยายามถูก สติก็ถูก สมาธิก็ถูก มันเป็นหนทางทำให้เราเข้าใจจริง ๆ
ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรประสาชาวบ้านว่าอะไร การว่างแล้วกันนะ ความโล่งโปร่งสบายในชีวิต มันคืออะไร การที่เราใช้ชีวิตให้ง่ายคืออะไร ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเป็นอย่างไร ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้จัดการต้นตอความทุกข์ ก็เลยไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่ ก็เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน”
นาถะคาเฟ่ คือ ชุมชนที่เป็นที่พึ่งของประชาชน
“นาถะเป็นชื่อของหลวงพ่ออลงกต ท่านมีนามว่า พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ) ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน”
“นาถะแปลว่าผู้เป็นที่พึ่ง ตรงข้ามกับคำว่าอนาถา คือผู้ไม่มีที่พึ่งหรือไม่เป็นที่พึ่ง ก็เลยเป็นคำที่ท่านนำมาใช้ เราก็เรียกว่าสนองนโยบายคือเอามาทำ เรามีความตั้งใจว่าจะให้เป็นชุมชน นาถะ คาเฟ่ คือ ชุมชน เป็น Community Cafe ที่เรามาเจอกัน เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มีเรื่องราวดี ๆ ให้ไปช่วยเหลือ มีจิตอาสา มีครูบาอาจารย์มา พอเป็นชุมชน ก็เลยเป็นร้านไปด้วยเพื่อพอให้มันจะอยู่ได้ ถามว่าเป็นเจ้าของไหม ผมก็ไม่ได้เคยคิดว่าเป็นเจ้าของ คิดว่าเป็นของที่ทำให้กับหลวงพ่อ แต่ถามว่าเป็นคนลงทุนเองไหม ใช่ ขาดทุนเองไหมก็ใช่
ที่นี่ไม่มีเลยครับนอกจากความรกรุงรังที่เป็น Community จริง ๆ มีข้าวสาร อาหารแห้งมา ฝากระป๋องโยนเต็มร้าน มีการจัดยาม มีกิจกรรมอะไรที่เป็นศูนย์รวมของคนที่เป็นอาสา ที่มาร่วมช่วยกันประมาณนั้น วันปกติจะเป็นร้านกาแฟ มีอาหาร”
Bee Says:
“สำหรับผม…บางทีคำว่าปัจจุบันไม่มีจริง ไม่เคยมีจริงหรอก แต่เราต้องรู้ว่า เวลาที่เรา action ได้ ที่คิดได้ พูดได้ ทำได้ มีแค่เวลาเดียว คือ ตอนนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ทำได้คือแค่นี้ ที่เหลือไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้กังวล หรือไม่ได้พอใจอะไร หลักคิดง่าย ๆ อะไรที่ทำไม่ได้ จะฝันแค่ไหนมันก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เวลาเดียว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือลมหายใจนี้…ก็แค่นี้ เท่านั้น”
ขอขอบคุณ “มูลนิธิบ้านอารีย์” สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ
https://www.facebook.com/baanareefoundation