ยามรักน้ำต้มผักที่ว่าขมก็หวาน แต่ยามชัง… แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมอง คำกล่าวนี้อาจสะท้อนภาพบรรยากาศทางการเมืองไทยในปัจจุบันได้ไม่เกินจริงนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างอดีตพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ภูมิใจไทย ที่นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเคยลั่นวาจาว่าทั้งรักและเกรงใจนายกรัฐมนตรี “พ่อลูกอ่อน” แพทองธาร ชินวัตร และ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ทางการเมืองก็ถึงคราวขาดสะบั้น โดยมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นชนวนเหตุสำคัญ

การแยกทางระหว่างเพื่อไทยและภูมิใจไทยครั้งนี้ อาจเปรียบได้กับการหย่าร้างทางการเมืองหลังคำมั่นสัญญา “ช็อกมินต์” ที่เพื่อไทยเคยสลัดมือจากพรรคก้าวไกล (หรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน) มาแล้วครั้งหนึ่ง มาคราวนี้ถึงคราวต้องตัดขาดกับภูมิใจไทย เพราะหากปล่อยให้กระทรวงคลองหลอด (กระทรวงมหาดไทย) อยู่ในมือภูมิใจไทยต่อไป การเลือกตั้งคราวหน้าเพื่อไทยคงต้องเหนื่อยหนัก จึงจำเป็นต้องดึงกลับมาเพื่อสานต่อฐานเสียงในระดับท้องถิ่น
ล็อกเป้าถล่มด้วย 151
เมื่อเพื่อไทยสะบั้นสัมพันธ์ ภูมิใจไทยก็พร้อมดับเครื่องชนเต็มกำลัง เรียกว่าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการคลุกวงในในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลมาหมาด ๆ ก็ไม่รอช้า ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีทันที โดยแถลงว่า กำหนดวันลุยศึกในสภาคือวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ไม่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเพื่อไทยได้พักหายใจ
151 คืออะไร? เหตุใดจึงอาจคว่ำนายกฯ กลางสภาได้
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมภูมิใจไทยในฐานะฝ่ายค้านหน้าใหม่ จึงเลือกใช้ มาตรา 151 เป็นหมัดแรกในการเปิดศึก และเหตุใดหมัดนี้จึงอาจสั่นคลอนรัฐบาลของนายกฯ แพทองธารได้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 151 คือบทบัญญัติที่ว่าด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลการทำงานของฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) โดยฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาผู้แทนราษฎร)

ผู้ยื่นญัตติต้องแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ารัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีได้กระทำ เช่น บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด บกพร่องต่อหน้าที่ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต หรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย โดยหลังการอภิปรายสิ้นสุดลง จะมีการลงมติในวันถัดไป ซึ่งมติไม่ไว้วางใจจะต้องมีคะแนนเสียง มากกว่ากึ่งหนึ่ง ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
แม้เนื้อหาทางกฎหมายอาจฟังดูน่าเบื่อ แต่หากอ่านต่อไปก็จะพบหัวใจสำคัญที่ทำให้มาตรานี้เป็นหมัดเด็ด นั่นคือผลลัพธ์ที่ตามมา
- กรณีไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล : หากสภาฯ ลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีคนนั้น จะต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
- กรณีไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี : หากสภาฯ ลงมติไม่ไว้วางใจ จะส่งผลให้ คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง
เรียกได้ว่า หากเป้าหมายคือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง คนนั้นย่อมต้องร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนจะเป็นไข้ แต่หากเป้าหมายคือนายกรัฐมนตรี ผลกระทบจะลุกลามไปทั้งคณะรัฐมนตรี
นักการเมืองต่างรู้ดีว่า การถูกแฉกลางสภาไม่เจ็บปวดเท่ากับการถูกลงมติไม่ไว้วางใจ หากเสียงไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งก็ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และถึงแม้จะรอดมาได้ แต่หากคะแนนไว้วางใจรั้งท้าย ก็ย่อมถูกตีตราทางการเมืองไปอีกนาน
เกมในสภาว่าหนักหนาแล้ว แต่เกมหลังม่านนั้นหนักหนายิ่งกว่า บรรดารัฐมนตรีต้องวิ่งเต้นเจรจากับ สส. และพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอเสียงสนับสนุน ชนิดที่ว่า “ช่วยโหวตไว้วางใจหน่อยนะจ๊ะ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง” นับเป็นงานหนักที่ต้องสร้างความมั่นใจแม้กระทั่งกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
สำหรับนายกรัฐมนตรีนั้นยิ่งหนักหนาสาหัสกว่า เพราะหากถูกโหวตไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะหลุดจากตำแหน่งทันที แต่ยังส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย เรียกได้ว่าแม้จะตัดสินใจยุบสภาในตอนนั้นก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
หมัด 151 ของภูมิใจไทยในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้หวังผลโค่นรัฐบาลได้โดยตรง แต่ก็เป็นเครื่องมือทรงพลังในการเขย่าเสถียรภาพและสร้างแรงกดดันภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เพื่อให้เกิดการต่อรองอำนาจกับนายกรัฐมนตรีอีกทอดหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็น “หมัดเมา” ที่ซัดความเป็นเอกภาพของรัฐบาลได้อย่างดีเยี่ยม
ล้มในสภาไม่ได้ แต่หวังผลหลังอภิปราย
คำถามต่อมาคือ การใช้หมัดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อโค่นรัฐบาลให้ได้คาสภานั้น เคยเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่? คำตอบคือ ทั้ง ‘เป็นไปได้’ และ ‘เป็นไปไม่ได้’
ที่เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดถูกโค่นล้มด้วยมติไม่ไว้วางใจกลางสภาได้สำเร็จ
แต่ที่เป็นไปได้ ก็เพราะมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การยุบสภาหรือการลาออกของนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา เช่น

รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (พ.ศ. 2540) : ท่ามกลาง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ฝ่ายค้านได้เปิดอภิปรายชี้ให้เห็นความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ แม้ท้ายที่สุดรัฐบาลจะชนะโหวตในสภา แต่ด้วยแรงกดดันมหาศาลจากสังคม ทำให้ พล.อ.ชวลิตต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังการอภิปรายไม่นาน
รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (พ.ศ. 2519) : เมื่อเผชิญแรงกดดันจากหลายทิศทางและมีแนวโน้มจะพ่ายแพ้ในการโหวต ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ตัดสินใจ ประกาศยุบสภา ก่อนวันลงมติ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

นี่คือผลกระทบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังการอภิปรายสิ้นสุดลง และตามสไตล์ของภูมิใจไทย เมื่อได้เป็นฝ่ายค้านแล้วก็คงพร้อม “แทงสุดลิ่มทิ่มประตู” กัดไม่ปล่อยรัฐบาลพ่อลูกอ่อนอย่างแน่นอน
เส้นทางขวากหนามของเพื่อไทย
เส้นทางขวากหนามของนายกฯ แพทองธาร ไม่ใช่แค่ 151 แต่ยังต้องเจอขวากหนามทางกฎหมายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร กับ ฮุน เซน หลุดออกมา ก็เกิดปฏิบัติการสไนเปอร์ซุ่มยิง มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาก็ยิงกระสุนสองนัดซ้อน ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญทันที ซึ่งเมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม 2568) ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
แต่ “ขวากหนาม” เรื่องคลิปเสียงนั้นแค่น้ำจิ้ม เพราะขวากหนามของจริงที่รออยู่คือระเบิดเวลาลูกมหึมาที่ชื่อ “มาตรา 144” แห่งรัฐธรรมนูญ
จุดเริ่มต้นมาจากกรณี ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, สมชาย แสวงการ, เจษฎ์ โทณะวณิก และ นิติธร ล้ำเหลือ ร่วมกันยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบสวนกรณีที่อาจมีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ในเรื่องการจัดทำและแปรญัตติงบประมาณ 2 กรณี
- กรณีแรก มีการตัดงบประมาณวงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่ถูกตัดจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ซึ่งเป็นเงินกู้ตามข้อผูกพันตามกฎหมายการเงินการคลัง โยกมาเป็นงบกลาง เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท
- กรณีที่สอง คณะกรรมาธิการงบประมาณปี 2568 จำนวน 72 คน ร่วมการกระทำ ความผิดการแปรญัตติงบประมาณในชั้นกรรมาธิการ โดยนำเงินจากงบกลาง 1,256 ล้านบาทมาเพิ่มให้กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วย ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ห้ามไว้
มาตรานี้คือ “มรดก” ที่อำนาจเก่าได้ทิ้งไว้ มันคือกฎหมายงบประมาณที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์ ถูกออกแบบมาอย่างจงใจให้เป็นกับดักชั้นยอดที่ใครก็ยากจะรอดพ้น ห้ามโยกย้ายงบประมาณโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืน โทษไม่ใช่แค่ติดคุก แต่คือการ “ประหารชีวิตทางการเมือง” ทั้งถูกถอดถอน เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และต้องชดใช้เงินคืน
เมื่อรัฐบาลพยายามทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้โดยขยับงบประมาณเพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็เท่ากับว่าได้เดินไปเหยียบกับดักมรณะที่ถูกวางไว้นี้เต็ม ๆ
เรียกได้ว่าวิบากกรรมของรัฐบาลนายกฯ แพทองธารเปรียบเสมือนตำบลกระสุนตก ไม่ว่าจะเรื่องถูกยื่นฟ้องศาล องค์กรอิสระ ตลอดจนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จังหวะนี้ฝ่ายตรงข้ามเล่นไม่กั๊ก แถมไม่รักอีกนะเตง ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องเจอชาวยุทธการเมืองเดินหน้าอีกเต็มวาระ
รัฐบาลชุดนี้หลังภูมิใจไทยออกอาจพูดว่าแทบไม่ได้หายใจ ต้องดูต่อไปว่าพรรคประชาชนจะเอาด้วยกับภูมิใจไทยในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วยหรือเปล่า เพราะการเปิดอภิปรายอภิปรายไม่ไว้วางใจตามกฎหมายมาตรา 151 ต้องใช้เสียง สส. 1 ใน 5 ในการยื่นเรื่องอภิปราย เพราะพรรคภูมิใจมีจำนวน สส. ในสภา 69 เสียง ขาดอีก 30 เสียง ซึ่งแน่นอนต้องอาศัยเสียงจากพรรคประชาชนถึงจะยื่นเรื่องอภิปรายได้
การเมืองรอบนี้ทำเอาเหนื่อยเรียกได้ว่า “กรกฎาคม” คือช่วงการเมืองเดือด เหตุการณ์ทุกอย่างทางการเมืองอาจทำให้รัฐบาลสะดุดได้ สำหรับนายกฯ แพทองธาร จังหวะการเมืองช่วงนี้มีแต่ยาขม ก็ต้องวัดกันแล้วว่าจะพา “รัฐนาวา” นี้ไปรอดได้ถึงครบวาระ หรือแค่เพียงถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น
อ้างอิง
- https://www.thansettakij.com/blogs/politics/631243
- https://www.bbc.com/thai/articles/cn0qepq0edjo
- https://www.bbc.com/thai/articles/c98j111z43do
- https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ชวลิตยงใจยุทธ(พลเอก)
- https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=คึกฤทธิ์_ปราโมช