Blue Eye Samurai หรือซามูไรตาฟ้า เป็นซีรีส์อนิเมชันจาก Netflix ที่สร้างโดยทีมเขียนบทคู่สามีภรรยา Michael Green และ Amber Noizumi บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้แค้นของซามูไรที่มีดวงตาสีฟ้า ซึ่งได้ Jane Wu มานั่งแท่นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ ผลิตโดยสตูดิโอ Blue Spirit จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับคนที่ชื่นชอบอนิเมชันเรื่องนี้ก็คือ Netflix อนุมัติให้มีการทำซีซัน 2 เป็นที่เรียบร้อย
หากใครที่ชอบรับชมอนิเมชันญี่ปุ่นแนวอิงประวัติศาสตร์และได้กลิ่นไอความเป็นซามูไรในยุคเฮอัน ที่แฝงไปด้วยความสวยงามของวัฒนธรรมและกลิ่นคาวเลือด คล้ายกับอนิเมชันจากมังงะอย่าง โดโรโระ (Dororo) ต้องชอบเรื่องราวของซามูไรตาฟ้าแน่นอน ด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ คลายปมตัวละครออกมาทีละนิด กับภารกิจที่ยากและซับซ้อน ประกอบกับตัวละครที่พร้อมจะหักหลังคนดูได้ทุกเมื่อ ทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยตัวเอกอย่าง Mizu มาก ถึงแม้บางครั้งความจริงจังเกินไปของเธอจะทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าทุกตัวละครมีเหตุผลในการกระทำของมันทั้งหมด
Blue Eye Samurai บอกเล่าเรื่องราวของ ‘Mizu’ ซามูไรพเนจรที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่ที่เป็นโสเภณีในกระท่อมเล็ก ๆ แสนห่างไกล เพราะนอกจากความต่ำต้อยเรื่องฐานันดร เขายังมี ‘ดวงตาสีฟ้า’ ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นดวงตาของปีศาจ และถูกสังคมรอบข้างรังเกียจ ด้วยความทุกข์ทรมานในชาติกำเนิดนี้ ทำให้เขาออกตามล่าหากลุ่มคนที่ทำให้เขากลายเป็น ‘ปีศาจ’ ในสายตาคนอื่น ระหว่างการเดินทางอันแสนยากลำบากเขาได้เจอกับสหายร่วมชะตากรรมอย่าง ‘Ringo’ หนุ่มพิการไร้มือทั้งสองข้าง ลูกชายเจ้าของร้านโซบะ ผู้มองทุกอย่างบนโลกในแง่ดี และมีความปรารถนาอยากเป็นลูกศิษย์ของ Mizu และ Taigen ซามูไรมากความสามารถ ผู้หลงรักเจ้าหญิง ‘Akemi’ ซึ่งทั้งสามคนต่างเคารพอะไรบางอย่างในตัวของกันและกัน นั่นทำให้สุดท้ายต่อให้เป็นคนที่น่ารำคาญ ศัตรูในวัยเด็ก หรือตัวปัญหา ต่างก็สามารถร่วมเดินทางและฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันได้
เนื่องจากซามูไรตาฟ้าเป็นหนึ่งในซีรีส์อนิเมชันของ Netflix ที่ได้รับเรต 18+ เพราะมันเต็มไปด้วยฉากเลือดสาด โป๊เปลือย เซ็กส์ และสิ่งเสพติด ทว่าด้วยความมืดหม่นจนยากจะอธิบายนี่แหละ ที่ทำให้ตัวอนิเมชันสามารถถ่ายทอดบรรยากาศและความสกปรกโสมมของผู้คนในยุคมืดได้ สรุปโดยรวมแล้วซามูไรตาฟ้าเป็นอีกหนึ่งอนิเมชันที่ควรค่าแก่การดูหากคุณไม่ซีเรียสเรื่องความรุนแรงต่อเด็กและสตรี เพราะมันเต็มไปด้วยข้อคิดและการสะท้อนสังคมในอดีต หากใครที่ไม่ต้องการถูกสปอยแนะนำว่าให้อ่านแค่พารากราฟนี้
ดวงตาปีศาจและความแปลกประหลาดทางชาติพันธุ์
ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติน้อย สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่ญี่ปุ่นเคยมีการปิดกั้นพรมแดนในช่วงปี ค.ศ. 1639 ถึง 1853 และไม่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวต่างชาติสักเท่าไหร่ ทำให้ผู้คนที่มีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างออกไป เช่น กลุ่มคนอพยพและลูกครึ่ง หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า ‘Hafu’ ซึ่งมาจาก Half ที่แปลว่า ‘ครึ่ง’ จะถูกมองว่าผิดแผกและแปลกแยก ดั่งที่ตัวละคร Mizu ต้องพบเจอ เธอไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่สายตา ความคิด และมายาคติของผู้คนที่มองมาต่างหากที่ทำให้เธอกลายเป็นสิ่งประหลาดหรือปีศาจในสายตาของใครหลายคน ซึ่งถือว่าอนิเมชันเรื่องนี้สะท้อนภาพออกมาได้อย่างเห็นได้ชัด
สังคมชายเป็นใหญ่ และการโหยหาอิสรภาพของสตรี
อนิเมชันพยายามทำให้เราเห็นว่า ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง สังคมซามูไร จนถึงชาวนาต้อยต่ำต่างมีแนวความคิด ‘ปิตาธิปไตย’ ทั้งนั้น ทว่าตัวละคร Akemi องค์หญิงผู้เพียบพร้อมไปด้วยเงินทองและความงามกลับโหยหาความรักที่จริงใจ และอิสรภาพในชีวิตและความนึกคิด ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นความคิดที่แหวกขนบธรรมเนียม แต่ด้วยความดื้อรั้นและตั้งมั่นในอุดมการณ์ของเธอก็ได้พาเราไปท่องโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ผู้หญิงทุกคนเป็นได้แค่แม่ เมีย หรือโสเภณีในซ่อง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็พยายามหาหนทางที่ทำให้เธอเป็นอิสระ และพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ‘สตรี’ ก็มีอำนาจในแบบของสตรี และยิ่งใหญ่ได้เทียบเท่าบุรุษหรือซามูไร
การล้างแค้นคือหนึ่งในพลังงานขับเคลื่อนแรงใจของมนุษย์
เชื่อว่าหากใครที่ดูไปถึงช่วงสามตอนสุดท้าย อาจเริ่มมีความรู้สึกอยากให้ Mizu ล้มเลิกการล้างแค้นของตนเอง ในเมื่อจากการเดินทางที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนหนึ่งยอมรับในตัวเขาแล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมล้มเลิกการล้างแค้นที่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บทั้งทางกายและทางใจ ซึ่งนี่ก็อาจเป็นสิ่งที่ทีมผู้สร้างพยายามทำให้เราเห็นว่า การแก้แค้นไม่เคยทำให้ใครมีความสุข ระหว่างทางมีแต่การสูญเสียและการนองเลือด ถึงแม้มันเป็นวิถีทางที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้มาซึ่งความยุติธรรมมากที่สุด ทว่าหากเทียบกับสิ่งที่ต้องเจ็บปวดและสูญเสียมันคุ้มค่าหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Blue Eye Samurai ถือเป็นอีกหนึ่งอนิเมชันชั้นยอดที่ทีมผู้สร้าง และ Netflix ได้รังสรรค์ออกมาให้เราได้รับชม ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ที่เลือกเล่าเรื่องราวผ่านรูปแบบอนิเมชัน เพราะบางอย่างหากเล่าเรื่องด้วยภาพคนแสดงอาจไม่ได้รับอรรถรสหรือเติมเต็มจินตนาการได้อย่างเต็มที่เท่าอนิเมชัน