เชื่อว่าแฟนละครช่องวัน 31 จะต้องรู้จัก ‘ไบร์ทนอ’ หรือชื่อเต็มของเขา ‘ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์’ กันมาบ้าง เปลือกนอกในสายตาคนทั่วไป เขาคือนักแสดงคนหนึ่งที่โดดเด่นของช่อง ที่มีบุคลิกตรงไปตรงมา จริงใจ และดูเป็นคนจริงจังกับชีวิตพอสมควร

และเมื่อเราได้ดูคลิปสัมภาษณ์หลาย ๆ ชิ้นที่เขาเคยไปออก ความตรงไปตรงมาของเขาในสายตาเรานั้นทะลุปรอทออกมาให้เห็นเด่นชัด จนเราไม่อยากตีความไปเองเลย ว่าจริง ๆ แล้วนักแสดงหนุ่มวัย 27 ปีคนนี้เขาเป็นคนแบบไหน และอะไรพาเขามาอยู่ในจุดที่มีแฟนคลับ และมีงานเข้ามามากมาย จนได้รับบทนำในซีรีส์สุดกวนที่ชวนให้คุณอวยพรให้เขากลับมา ‘จู๋แข็ง’ ได้เหมือนเดิม

เปล่าเลย เราไม่ได้ทะลึ่ง เพราะผลงานซีรีส์เรื่องที่ 2 ของ oneD Original ที่เขาได้ร่วมงานอย่าง ‘LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม’ นั้นทำให้เขาได้ลองแสดงตัวละครสุดเปิ่น ในแบบที่เขาได้เป็นตัวเองมากขึ้น

เช้าของสุดสัปดาห์วันนั้น เรามาพบเจอกับเขาเพื่อพูดคุยกันถึงชีวิต การวางแผน และความจริงจังของการเป็นนักแสดงที่อยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข ภายใต้ชุดคำตอบแสนจริงใจ ตรงไปตรงมา และไร้เปลือกหนาห่อหุ้มของเขาให้คุณได้อ่านกัน

ก่อนเข้าวงการ เราวางแผนชีวิตไว้มากน้อยแค่ไหน

ผมมีแผนตลอด แต่เราไม่ได้วางแผน 1 2 3 ขนาดนั้น ในวัยเด็กเราแค่คิดว่าเราต้องไม่อด แค่นั้นเลย จริง ๆ ผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่สนุกสนานกับการใช้ชีวิต ติดเพื่อน ทำกิจกรรมทุกอย่าง ปัจจัยขึ้นอยู่กับเพื่อนเยอะมาก อยากทําอะไรก็ทํา

แต่เราจะมีในหัวตลอดว่าไม่ว่าเราจะเกเรแค่ไหน คือเราต้องมีงานทํา เราต้องมีเงิน เราต้องไม่อดตาย ต้องไม่ลําบากครอบครัว เลยจะเป็นเด็กเกเรที่ยังรักเรียนอยู่ เกเรนะ แต่ก็ต้องอยู่มหาวิทยาลัยดีๆ มีคณะที่ดีอยู่ มีพื้นฐานชีวิตที่ดี ความเกเรของเรามันเป็นแค่พาร์ทนึงของชีวิต แต่ว่าก็มีพาร์ทอื่น ๆ ที่เราเด็กอ่านหนังสือคนเดียวตั้งใจเรียน กลัวไม่มีที่เรียน ไม่เคยทิ้งมันไป

ถ้าให้นิยามความเกเรของเราเป็น 1 คีย์เวิร์ด คำไหนน่าจะฉายภาพความเกเรของเราได้บ้าง

ผมว่ามันคือการ ‘ลองผิดลองถูก’ นะ คือทุกอย่างบนโลกนี้มันอาจจะมีสิ่งที่เขาห้ามไว้เป็นกฎเกณฑ์ แต่ผมไม่ใช่คนที่เขาบอกห้ามเลี้ยวซ้ายแล้วผมเลี้ยวตาม ผมรู้สึกไม่เชื่อ ขอเลี้ยวก่อน ถ้ามันผิดเดี๋ยวกลับมาเอง มันคือคําว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ําตา ผมเป็นคนอย่างนั้นจริง ๆ มันดื้อ มันอยากลองว่าทําแล้วเป็นยังไงวะ พอห้าม มันยิ่งอยากทํา เพราะถ้าห้ามเราเรื่องนั้น มันต้องมีอะไรหรือเปล่า สิ่งนั้นมันคืออะไร

อย่างพ่อผมชอบพูดว่าอย่าไปเที่ยวที่อโคจรนะ เดี๋ยวมันจะมีเรื่องกัน เราก็รู้สึกว่ามันจะมีอะไรพ่อ ทุกคนปาร์ตี้กันรึเปล่า คนเขาก็ไปสนุกกัน แล้วเราก็ใช้ชีวิตอย่างนั้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งโดนกระทืบเละเทะเลย นั่นแหละเราถึงรู้แล้ว อ๋อ โอเค เข้าใจแล้ว เวลามันเมามันแบบไม่ค่อยยับยั้งห้ามใจ เราด้วย เขาด้วย มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ได้มา 17 เข็ม หลังจากนั้นผมก็เลิกเปรี้ยว รู้แล้วมันจําเลยทีเดียว

เรื่องอื่น ๆ ในชีวิตนอกจากเรื่องเรียนล่ะ วางแผนยังไงบ้าง

ตอนเด็กผมโลกแคบมาก ไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีงานอะไรให้ทําบ้าง รู้จักแค่คุณครู เป็นหมอ พยาบาล วิศวะ ตํารวจ ทหาร รู้แค่นี้ว่าเป็นอาชีพที่แบบตอนเด็ก ๆ เขาถามว่าอยากเป็นอะไร

ผมเป็นคนที่ไม่มีความฝัน แล้วก็ไม่รู้ตัวเองด้วย ในวันที่เราขึ้นมหาวิทยาลัย เรายังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไร เราแค่รู้สึกว่าถ้าเราเรียนวิศวะมันน่าจะไม่อดตายมั้ง น่าจะมีงานทํา เราก็เลยเลือกที่จะเรียน ปล่อยชีวิตตามกระแสเลย หมายถึงว่าชีวิตมันจะพัดพาเราไปทางไหนแล้วไปทางนั้น แค่เราไม่แพ้ใครก็พอ ไม่ได้อยากเป็นที่หนึ่งนะ แค่ไม่อยากเป็นที่โหล่

สมมุติว่าโรงเรียนเรามี 3,000 –  4,000 คน เราจะวางอันดับตัวเองแล้วว่า เราต้องไม่อยู่ต่ํากว่า 1,500 เท่านั้นกับทุกเรื่อง อันนี้คือแผนผมเพียงแค่นั้นเลยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องเกเรก็เหมือนกัน เราจะไม่ยอมเป็นหางแถว ผมจะมีค่าเฉลี่ยในใจ แล้วผมจะต้องอยู่เหนือค่าเฉลี่ยนั้นกับทุกเรื่อง

ดูเหมือนเป็นคนที่มีแผนค่อนข้างกว้าง ๆ เพื่อแค่ให้มีกรอบหรือเปล่า

ใช่ ไม่ได้ปักหมุดที่ใดที่หนึ่ง เพราะว่าผมยังรักอิสระอยู่มาก ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต แล้วจะรู้สึกว่า ไม่ชอบอะไรที่มันแบบเป็นกรอบจัด ๆ เกินไป พวกแบบประเพณีค่านิยมผมแทบไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ํา ผมแค่รู้สึกว่า โอเค ฉันจะทําอันนี้ แล้วมันก็ไม่ได้ลําบากใคร ไม่ได้ระรานใคร และตัวฉันก็ดีด้วย ก็จะเลือกทํา

มีมุมไหนที่สนใจการทำงานในวงการบ้าง หรือเป็นศูนย์เหมือนกัน

ศูนย์เหมือนกันเลยครับ ไม่รู้จักเลย ไม่เคยคิดจะเหยียบเข้ามาตรงนี้เลยด้วยซ้ํา เพราะว่าเราเป็นเด็กแบบผู้ช๊ายผู้ชาย เราไม่เคยคิดว่าวันนึงต้องแต่งหน้าทําผมมาทํางาน เราก็ลุย ๆ ในวันที่เข้ามาที่นี่ มันก็เก้ ๆ กัง ๆ มาก ๆ เขินไปหมด ไม่กล้าทําอะไร จะพูดอะไรยังไม่กล้าเลยกลัวไปหมด

เมื่อก่อนเวลาต้องมีสัมภาษณ์ สมมติไปดูละครเวทีสักเรื่อง แล้วเขาจะมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ตอบอะไรเลย “ดีครับ” แค่นั้นแหละ แล้วก็จะไม่ค่อยชอบกัน เพราะเราต้องพูดอะไรหน่อย รู้สึกว่ามันใหม่ไปหมด เป็นการก้าวขาเข้ามาในโลกใหม่ที่เราไม่รู้จัก แต่ว่าข้อดีของเราหนึ่งข้อ คือเราเป็นคนช่างสังเกต เราจะสังเกตคนรอบ ๆ คนที่เขาทําได้ เขาทํายังไง เขาพูดอะไรกัน แล้วก็พยายามทําให้ได้อย่างเขา แล้วค่อยเอาตัวเองเข้ามาใส่ทีหลัง

จริง ๆ เป็นคนกล้าพูด กล้าขึ้นเวที หรือออกไปพูดหน้าห้องมั้ย

ถ้าเป็นพาร์ทของนักเรียน ผมไม่เขิน ผมเป็นตัวพรีเซนต์ เพราะผมไม่ทํางาน คือผมรู้สึกว่าการที่ต้องกลับบ้านไปนั่งเตรียมสไลด์ มันเป็นเรื่องที่เราไม่อยากทํา แต่ถ้าให้เราขมวดทุกอย่างแล้วออกไปพูด มันไม่ยากเกินไป เราถนัดอันนี้ แล้วเราก็คิดว่า แล้วในกลุ่มเรา 5 – 6 คน กลุ่มผมก็ไม่ใช่เป็นกลุ่มเด็กเก่ง เป็นกลุ่มเศษที่ไม่มีใครเอาแล้ว งั้นถ้าไม่มีใครทําได้ เราทําเองละกัน ถ้าเป็นสิ่งแวดล้อมของเรา เราก็กล้า

แต่พอเข้ามาทํางานในโลกวงการบันเทิง กลายเป็นว่ามันคิดเยอะ มันเกร็ง ไม่รู้ว่าอันนี้พูดได้ พูดไม่ได้ ทําตัวไม่ถูก ใช้เวลาสัก 2 ปี ถึงจะรู้ว่า อ้าว ก็พูดไปเหอะ คิดอะไรก็พูดออกไป

หากสมมุติให้มองว่าเราสนใจงานวงการ คิดว่าชีวิต ณ ตอนนั้นมีทักษะส่วนตัวอะไรที่พอทำให้เราเข้าสู่วงการได้บ้าง 

ผมรู้สึกว่าผมไม่มีเลย การไปพรีเซนต์หน้าห้องได้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะดีแล้วนะ เหมือนเรายังเอาสกิลนั้นมาใช้ในการทํางานจริงไม่ได้ เลยใช้เวลาประมาณนึงกว่าจะเข้าใจ ผมเป็นคนคิดเยอะมากในการจะคุยกับใครสักคน หรือแค่จะทักทายใครสักคนผมยังไม่กล้าเลย กลายเป็นว่าความกลัวมันกดเราเอาไว้ ทําให้เราไม่กล้าแสดงออก แต่พอวันนึงมันปลดล็อค กลายเป็นว่าดีซะงั้น ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นก็ได้

เริ่มสังเกตตัวเองยังไงบ้างในช่วงแรกของการเข้าวงการ ว่าเราไม่กล้านู่น ไม่กล้านี่

อันดับแรกในช่วงที่ผมไม่กล้า ผมกําลังคิดว่าต้องทําตัวยังไงถึงจะถูก จนมันลืมไปว่าตัวเราจริง ๆ เป็นยังไง เหมือนเราพยายามจะเป็นคนอื่นอยู่ สมมติมีผู้ใหญ่บอกว่า เฮ้ย แบบคนเนี่ยคือดีนะ ให้ดูคนนี้ไว้ ก็จะคิดแล้วว่าต้องทําแบบคนนั้นคนนี้ ทําไปทํามามันเลยเกร็ง กังวลว่าเราถูกหรือยัง ผิดหรือเปล่า จนรู้สึกว่าตัวตนมันหายไป

ผมรู้สึกว่าปัจจุบันนี้เป็นยุคที่ทุกคนเป็นตัวเองได้มากในโลกออนไลน์ ช่วงที่ผมเข้ามามันเป็นช่วงกําลังเปลี่ยนผ่านจากความเป็นทีวีสุด ๆ ไปเลย ช่วงแรกเลยเหมือนยังหลงทางอยู่ เราพยายามทําตัวเองเป็นทีวีทุกอย่าง นั่งแบบหลังตรงแด่วเลย แบบไม่กล้าขยับ จะพูดอะไรก็ตะกุกตะกักคิดไม่ออก เพราะมันเป็นแบบมีอะไรครอบเราไว้อยู่

ถ้าจะให้บอกคนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาก็คือ เราอย่าพยายามเอาตัวเองเป็นเหมือนใคร เราพยายามหาตัวเองให้เจอก่อนว่า เราสบายใจแบบไหน เราสนุกแบบไหน บางคนอาจไม่ถนัดทางการมาก ๆ แต่พอพูดสบาย ๆ แล้วตลกมาก อย่างพี่โอ๊ต ปราโมทย์ ผมว่าทีวีเขาดูไม่ถนัดเลย แต่พอเขาไปอยู่ถูกที่ในออนไลน์ ได้เป็นตัวเองให้เต็มที่ เหมือนเพิ่งมีคนได้เห็นตัวตนว่าจริง ๆ เขาเป็นอย่างนี้ แล้วมันดีมากเลย ผมว่ามันคือการต้องใช้เวลาค้นหาตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนยังไงกันแน่ หาโอกาสลองผิดลองถูกว่าเราชอบอะไรแบบไหน

โอกาสสําคัญกับชีวิตเรายังไงบ้าง

สําคัญมากโดยเฉพาะงาน ผมรู้สึกว่าผมโชคดีกว่านักแสดงคนอื่นมาก ๆ ในเรื่องโอกาส ผมได้โอกาสตั้งแต่วันที่ผมยังไม่เก่ง ยังทําอะไรไม่เป็นเลย มันเป็นโอกาสด้วยแล้วก็เป็นความสุ่มเสี่ยงด้วยเหมือนกัน

ในวันที่ได้ละครเรื่องแรก ผมยังแสดงไม่เป็นเลยนะ ไม่รู้ต้องทํายังไง แค่จําบทก็จําไม่ไหวแล้ว ไม่เข้าใจแบบโกรธต้องทํายังไง แต่เราก็ยังได้โอกาสอยู่ แล้วผมเติบโตจากโอกาสเหล่านี้ แต่ที่บอกว่ามันเป็นดาบสองคม คือคนที่ไม่เป็นอะไรเลย ต้องไปอยู่ในโปรเจกต์ที่มันควรจะต้องทําเป็นแล้ว พองานมันออกไปปุ๊บ เราก็จะโดนกระแสสังคมบอกมาว่ามันไม่ดียังไง ถ้าใจเรารับไม่ไหวคือจบเลยนะ ผมผ่านจุดนั้นมาหลายรอบเหมือนกัน แต่มันพอเวลามันผ่านไปเราก็จะมีวิธีการจัดการของเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็คือการลองผิดลองถูกเหมือนกัน

เคยมีการลองครั้งไหนมั้ยที่รู้สึกว่า “เราถลําลึกไปไกลแล้วว่ะ”

คงจะเป็นเรื่องแบบปาร์ตี้ ๆ แหละ ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรเลย แล้วเราถลำลึกไปมาก ๆ แบบรู้สึกว่าช่วงนั้น Unhealthy สุด ๆ สุขภาพร่างกาย สุขภาพสมอง การเรียน การเงิน รู้สึกว่า แบบห้าเหลี่ยม Stat ในชีวิตมันพังไปหมดเลย จนทุกคนบอกเบา ๆ หน่อย เราก็คิดว่าไม่เป็นไร ยังสบายอยู่

พอหยุดไปจริง ๆ ถึงมาเห็นความแตกต่างว่า มันสดชื่นขึ้นเยอะเลยนี่หว่า การสร่างเป็นอย่างนี้เหรอ ตอนเด็ก ๆ ผมติดเมา ไม่ชอบตัวเองเวลาปกติ รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ด้วยความเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตด้วยแหละ เลยรู้สึกว่าชีวิตมันตื่นเต้นดีพอเมา

มองย้อนกลับไปจากตรงนี้ การไม่มีเป้าหมายในชีวิตแบบนั้นน่ะมันดีหรือไม่ดียังไงบ้างในชีวิตเรา 

ผมรู้สึกว่าชีวิตตอนนั้นไม่มีอะไรต้องเครียดเลย อยู่ในเซฟโซนตัวเองตลอดเวลา ตื่นมาอยากทําอะไรก็ทํา ใครชวนไปไหนก็ไป ถ้าเป้าหมายในชีวิตเราไม่มีแล้ว และเราแฮปปี้กับตรงนั้น มันก็รอวันตายเท่านั้นแหละ นึกออกมั้ย แต่มันก็อาจจะไม่มีความหมายเหมือนกัน

จริง ๆ ไม่ได้ไม่อยากมีเป้าหมายนะ แค่ไม่เคยตั้งใจหาด้วยตัวเองสักครั้ง เราได้แต่มองคนอื่นว่า อิจฉาคนนั้นจังที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เพื่อนผมบางคนชอบเล่นกีตาร์มาก ชอบตั้งแต่ ม.1 เล่นอยู่อย่างนั้นน่ะทั้งวัน แล้วก็ตั้งเป้าว่ามหาวิทยาลัยจะเรียนเอกกีตาร์ จบมามันก็เล่นกีตาร์แล้วก็ทํางานเรื่องกีตาร์

ตัดภาพมาที่เรา เราไม่ได้เก่งสักเรื่องขนาดนั้นนะ เราทําทุกอย่างได้หมดนะ เอาตัวรอดได้ทุกเรื่อง แต่มันน้อยใจตัวเองว่าทําไมไม่เก่งสักอย่างเลย ตอนนั้นมันยังเด็ก พอโตขึ้นมาเราก็มองตัวเองว่าโลกผมแคบแค่นั้นเลย ผมไม่เคยเห็นโลกใบนี้ว่ามันเป็นยังไง เห็นแค่พ่อตัวเองทํางานอยู่ในบริษัท ๆ นึง เป็นวิศวกร ได้เงินเดือนเท่านี้ ก็เลยเรียนวิศวะไป ได้เงินเดือน โอเคแล้ว มันคิดแค่นั้น

ถ้าวันนึงผมมีลูก ผมอยากจะให้เขาไปเจอโลกกว้าง ๆ ไปเจอทุกอย่าง การเรียนมันก็สําคัญ แต่ถ้าเราเรียนเก่งให้ตายและเราไม่รู้ว่าเราชอบอะไรมันก็เท่านั้น

มีบทสัมภาษณ์หนึ่งที่ไบร์ทพูดว่า “นักแสดงรุ่นใหม่ยุคนี้เพียบพร้อมในหลาย ๆ ด้าน มักจะได้อะไรมาง่ายเกินไปจะไม่เห็นความสําคัญของมัน” อยากให้ขยายความประโยคนี้หน่อยว่ามันตรงกับชีวิตเรายังไงบ้าง

ช่วงแรก ๆ หลังจากผ่านละครเรื่องแรก เรื่องสองมา เราก็คิดแล้วว่าเดี๋ยวก็มีละครอีก เราเป็นแบบคํานั้นเลย โอกาสมันได้มาง่ายจนคิดว่าเดี๋ยวมันก็มีอีก ไม่ได้พะวงอะไรมาก เล่นแบบพอผ่านไป ไม่ได้เอาชีวิตเข้าแลกขนาดนั้น เอาค่าตอนเลี้ยงชีพไป

แต่พอผู้บริหารบอกกับผมว่า “นี่คือเรื่องสุดท้าย ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้เลยไม่ทําแล้ว ทํากับคนอื่น” ผมเหวอไปเลย Mindset ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ผมคิดว่าไม่ได้แล้ว ถ้าเรื่องนี้มันไม่ได้ เราคือหมดแล้วนะ

มารู้ทีหลังเขาก็พูดแบบนี้กับทุกคนเป็นคําพูดปลุกไฟเฉย ๆ แต่มันเป็นปลุกไฟที่ดีมาก เพราะหลังจากนั้นผมก็เอาจริง ไม่ปล่อยผ่านเลย หลายครั้งมันจะเริ่มมีความกังวลว่า “คัท! โอเค ผ่าน” “ผ่านจริงเปล่าวะ พี่ผ่านแล้วคนดูจะชอบมั้ย” เริ่มพะว้าพะวง ซีเรียสกับมันมากขึ้น เลยเริ่มเข้าใจว่า อ๋อ คําว่า ‘เดิมพัน’ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ชอบพูดว่าชีวิตมันต้องเดิมพัน ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้ พอเดิมพันก็ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป จากที่เราคิดว่าเราทํางานเสร็จก็คือจบ เป็นการคิดว่าถ้าเราทํางานชิ้นนี้พลาดจะเสียอะไรไป และถ้าเราทําได้จะได้อะไรมา พลังมันเลยมากขึ้นแบบมหาศาลสุด ๆ

แล้วเราก็เอาเรื่องนี้ไปใช้ในการแสดงได้ด้วย เช่น ฉากนี้จะมาง้อผู้หญิงคนนี้ ถ้าเขาบอกว่าง้อได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ง้อตามปกติ แต่ถ้าบอกว่าถ้าง้อไม่ได้เขาจะไปจากเราแล้ว เราอยู่ด้วยกัน เสื้อผ้า ของใช้ร่วมกันมีประมาณร้อยกว่าอย่าง แล้วก็จัดการกับพวกนั้นยังไง เท่ากับว่าถ้าง้อไม่ได้เราลําบากแน่ เราก็ต้องลุยด้วยความแบบ “กูจะง้อให้ได้” อันนี้คือเดิมพัน

ผมเรียนรู้จากตัวละครเยอะมาก พอเล่นเป็นพระเอกบ่อย ๆ แล้วได้ทําตามตัวละครนั้น เกิดมา 18 ปีผมไม่เคยเปิดประตูทางเข้าให้ใครเลย จนในละครมันต้องเปิดประตูให้ แล้วผมก็เก้ ๆ กัง ๆ มาก เพราะผมไม่เคยทํา ผมก็เลยคิดว่า “ถ้ากูจะเป็นพระเอกแล้ว กูจะต้องเป็น Gentleman สุด ๆ ชีวิตจริงกูก็จะเป็นด้วย” เพราะคุณจะได้เข้าใจว่าคนที่เปิดประตูให้คนอื่นเขาคิดอะไรอยู่ ทําจนเข้าใจ Detail ต่าง ๆ ว่าการกระทำเหล่านี้มันจะนำไปสู่อะไร

การเดิมพันในชีวิตนักแสดงของเราเป็นแบบไหน

ผมเป็นเด็กมหา’ลัย คนนึง ที่มาทํางานกองถ่าย งานกลุ่มใหญ่สุดที่เคยทำ 7, 8 คนไม่เกินนี้ พอมาอยู่กองถ่าย 60 คน การที่เราจะหยุดสักวันหนึ่งอะ เราไม่กล้า ถ้าเราหยุดคนอื่นเขาทํางานไม่ได้ การเรียนผมพังไปเลยตอนนั้น เขาขอคิวผมให้หมด แล้ววันสอบ วันเก็บคะแนน ผมก็ไม่ได้โรงเรียน ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย ผมมากอง ผมไม่กล้าบอกใครเท่าไหร่ด้วย ไปก็ไป แล้วเราไปเคลียร์เรื่องของเราเอง

ตอนนั้นผมเด็ก กลัวเขาจะว่า กลัวเขาจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นข้ออ้าง เราเลือกมาทํางานแล้วก็ต้องทํางาน มันเละเทะไปหมดเลย จนผมต้องลาออก ย้ายไปเรียนคณะที่มันง่าย ๆ แล้วก็มาทํางาน

ผมอุทิศตัวเองเพื่อกองถ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบที่เราไม่รู้ตัวเลย การทํางานกองถ่ายเป็นอะไรที่สาหัสมาก เราต้องควบคุมตัวเองเยอะ ผมมีปัญหาเรื่องการจัดการกับอารมณ์ เวลาเราโมโหก็ไปร่องโมโห น้อยใจก็ไปร่องน้อยใจ แล้วกองถ่ายเป็นอะไรที่เหนื่อย ทํางานก็เหนื่อยแล้ว คนเยอะ ปวดหัว คนนี้พูดไม่เข้าหู คนนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ มันเยอะมาก

แต่ช่วงหลัง ๆ มาคําว่าอุทิศของผมคือไม่ใช่แค่การทํางานให้เสร็จในหน้าที่เรา แต่มันคือการประคองคนอื่นให้เขาทําต่อไปได้ด้วย เรื่องนี้ผู้บริหารสอนมาว่า “มึงต้องเป็น Host” ตอนแรกผมไม่เข้าใจ Host คืออะไรวะ พิธีกรเหรอ หรืออะไร ความหมายคือเราต้องเป็นเจ้าบ้านของกองถ่ายนั้น

เวลาน้อง ๆ หรือว่าพี่ ๆ ต้องการอะไร คนนี้ไหวไม่ไหว เราสังเกตหมด คนนี้ดูไม่เข้าใจ เราก็จะหาจังหวะเข้าไปพูดให้เขาฟัง คนนี้ดูข้อมูล Overload ล่ะ เราก็จะพยายามแบบออกมา ๆ อย่าเพิ่งไปคุยกับเขา มันอาจจะเป็นที่อะไรที่คนมองไม่เห็น แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราต้องทํา เพราะเราไม่ได้มองแคค่ว่า ต้องเล่นบทนี้ให้ดี แต่ไบร์ทมองว่าโปรเจกต์นี้คือโปรเจกต์ของฉัน ผมคิดเสมอว่าละครมันคือศิลปะร่วม สมมติว่าผมเก่งสุด ๆ ที่หนึ่งในโลกอยู่คนเดียว มันก็ไม่สําเร็จ ทุกคนมันต้องประคับประคองไปด้วยกันมากกว่าถึงจะสำเร็จ

ปรับตัวกับความวุ่นวายในการทํางานกองถ่ายและชีวิต จนกลายเป็นความมั่นคงได้ยังไง

แต่ช่วงก่อนเราไปกองถ่าย 7 โมง เลิกกอง 4 ทุ่ม กลับมาบ้าน เอาล่ะเวลาของไบร์ทได้เริ่มขึ้นแล้ว เพราะว่าเราทํางานอย่างเดียว และยังไม่ได้ทําอะไรที่อยากทําเลยในวันนั้น ฉะนั้นพอ 3 ทุ่มในกอง จะแบบไม่ไหวแล้ว ๆ แต่พอ 4 ทุ่มมาตาใสปิ๊ง แรงมาจากไหนไม่รู้ รู้สึกว่า My time เราก็จะออกไปใช้ชีวิต แล้วมันโทรมมาก วันต่อไปก็ไม่ค่อยมีแรงวนลูปอยู่อย่างนี้ มันเลยวินาศสันตะโรมาก

ผ่านมาหลาย ๆ เรื่อง เรารู้สึกว่า เฮ้ย การทํางานในกองมันก็เป็นเวลาของเราเหมือนกันนี่หว่า พอเราคิดอย่างนั้นได้ พยายามหาความสุขเล็ก ๆ ในกองถ่ายได้ มันก็กลายเป็นมีความสุข เมื่อก่อนเวลาฉากไม่มีผม ผมจะไปอยู่คนเดียว ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใคร ถึงเวลาเราก็ออกไปทําหน้าที่เราให้เต็มที่ก็พอ มันก็โอเค

แต่ว่าปัจจุบันนี้ ผมไม่ได้มีความสุขกับแบบนั้นแล้ว ผมชอบไปคุยเล่นกับทีมงาน คุยกับใครก็ไม่รู้ ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เราสังเกตคนนั่นแหละ พอเริ่มฝึกการสังเกต ฝึกการตีความ แล้วก็คุยกับคนมันทําให้เราชอบ ไปคุยกับตากล้องว่า “พี่มาถ่ายได้ยังไง พี่เรียนถ่ายภาพมาเหรอ”เขาว่า “อ๋อ เปล่า พี่มาจากเดินสายไฟเลย” “จริงเหรอ เดินสายไฟ แล้วมาตรงนี้ได้ไง”

บางคนเห็นข้างนอกดูเซอร์ ๆ เขามีสวนที่ฉะเชิงเทราพันกว่าไร่ ทํางานเก็บเงินมาตั้งแต่ 20 เป็นเด็กเดินสายกล้อง จนเลื่อนไปเป็นผู้ช่วยกล้อง เป็นตากล้อง ผมว้าวมาก มันมีเรื่องว้าว ๆ แบบนี้อยู่ในทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมชอบฟังประสบการณ์ชาวบ้าน ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง มันรู้สึกว่าสนุก

ความช่างสังเกตเป็นทักษะที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่

จริง ๆ มันเริ่มจากสิ่งของทั่ว ๆ ไป คือพ่อผมเลี้ยงลูกแปลกมาก ผมไม่ค่อยได้เล่นของเล่นเหมือนเด็กคนอื่น พ่อผมจะซื้อแผงวงจรมาให้ต่อเล่นตอนเด็ก ๆ หรือเวลาเดินไปร้านค้า เขาก็ถามเราว่าไหนทายซิ ตู้กดน้ำมันทํางานยังไง ผมโตมาแบบนั้นเลย ผมก็เลยเป็นคนขี้สังเกตมาก ๆ

พอเข้ามาที่นี่ พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) ก็บอกให้ผมสังเกตคน อันนี้เป็นมิติใหม่ของการสังเกตเลย เพราะผมไม่กล้าสบตาคน แต่หลังจากเขาสั่งให้ผมสังเกตคน แรก ๆ มันเลยยากมาก ไม่เข้าใจว่าให้ทําไปทําไม ผมลองเริ่มสังเกตคนข้างทาง คนขายพวงมาลัย ขายไก่ย่าง หรือคนทํางานที่เขาเดินข้างถนนเดินเร็ว ๆ เดินช้า ๆ ลองคิดว่า เฮ้ย เค้าเดินรีบ ๆ ตอน 10 โมงเขารีบไปไหน เขากําลังรีบไปหางาน หรือกําลังโมโห เราต้องฝึกสังเกตแล้วก็ตีความไปเรื่อย ๆ ว่าเค้าทําสิ่งนี้เพื่ออะไร

มีช่วงนึงผมถูกสั่งไปทําความรู้จักผู้หญิง 100 คน ผมก็เริ่มแบบทักทายคน แบบไปกินเหล้า หาสาว ๆ แล้วก็ถือว่าเราทํางานไปในตัว ทุกอย่างดูลงตัวมากชีวิตตอนนั้น การทํางานก็มีความสุขเลย (หัวเราะ) เราเจอผู้หญิงหลายแบบจริง ๆ อย่างคนนี้ดูเรียบร้อย ๆ เว้ย เขาเรียบร้อยอยู่แล้ว หรือเขาแสดงให้เราเห็นว่าเขาเรียบร้อย เจอคนขี้บ่น ขี้วีนต้องรับมือยังไง ทำไมคนพูดจาแรง ๆ มันถึงมีวิธีพูดแบบนี้ แล้วเราจะรับมือกับคนแบบนี้ยังไง พอทําไปเรื่อย ๆ เราเลยเริ่มจับจุดคน แล้วก็พัฒนาการแสดงในเรื่อง ‘Love Lesson 010’ ได้ด้วย

ทุกวันนี้นอกจากความสุขในการทํางาน ความสุขด้านอื่นในชีวิตทุกวันนี้มีอะไรอีกบ้าง

การตื่นเช้า ประหลาดมาก ทั้งชีวิตไม่เคยอยากตื่นเช้าเลย รู้สึกว่าเราเป็นคนกลางคืน อย่างที่บอกว่าพอพระอาทิตย์ตก ไบร์ทเริ่มมา เริ่มมีแรง แต่มาช่วงนี้ผมมีความสุขกับการตื่นเช้า กิจวัตรผมทุกวันนี้คือตื่นเช้าก่อนนาฬิกาเอง ไม่รู้เป็นอะไร แล้วก็จะไม่รีบ เมื่อก่อนทํางาน 9 โมง เราตื่น 7 โมง บางทีตื่น 8 โมงด้วยซ้ํา คิดว่าครึ่งชั่วโมงยังทัน อาบน้ํา ออกจากบ้าน ถึงที่ทำงานกระชั้นชิดหรือสายนิดหน่อย

ทุกวันนี้เราตื่นมานั่งชิล ๆ ไม่รีบไม่ร้อน สบาย ๆ กินน้ํา กินวิตามิน ออกไปตากแดดตอนเช้า แบบไปยืดเส้นยืดสาย ยืนบิดไปบิดมารับวิตามินสักหน่อย พูดคนเดียวมั่ง คุยกับนกกับไม้ ฟังเสียงนกร้อง มองพระอาทิตย์ มองก้อนเมฆ แล้วค่อยเข้ามาอาบน้ํา หาอะไรฟังเป็นสาระนิดนึง แล้วค่อยออกไป กลายเป็นความสุขแบบง่าย ๆ ในตอนนี้ของเราเลย

รูปแบบการใช้ชีวิตปัจจุบันที่เริ่มลงตัวในการวางแผนเป็นยังไง

ลงตัวขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ยังไม่ใช่ในแบบที่ต้องการ เพียงแค่มันมาถูกทางแล้ว ผมมีภาพในหัวอยู่ว่าชีวิตที่ไบร์ทต้องการมันเป็นแบบไหน พอเราเริ่มโตขึ้นก็สามารถจัดการชีวิตได้ดีขึ้น บริหารการเงิน บริหารเวลาได้ดีขึ้น เอาใจใส่ครอบครัวได้มากขึ้น หรือว่าตัดคนนั้นคนนี้ออกจากชีวิตได้มากขึ้นเหมือนกัน

ตอนเด็ก ๆ อาจรู้สึกว่าเราไม่อยากเสียใครไป แต่โตขึ้นเราเริ่มคิดว่าในวงแวดล้อมของเรา เราอยากให้มีใครบ้าง แล้วก็เราก็เลือกตรง ๆ เลย เราไม่ได้จะไปตัดเพื่อนอะไรนะ แค่รู้สึกว่าเราโฟกัสกลุ่มก้อนนี้ให้มันดีดีกว่า คือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมสุข ซึ่งจริง ๆ มันมีไม่เยอะ คนที่โทรมาหาเราในวันที่เราไม่ไหว แล้วคุณเสนอตัวเข้ามาช่วย เราจะรักษาคนเหล่านั้นเอาไว้ใกล้ตัว แล้วผมจะรอโอกาสที่ผมจะได้ช่วยเขาเสมอ การมี Small circle ลง มัน Control ชีวิตง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราอยากจะกอดทุกคนไว้แต่มันทําไม่ได้ อ้อมแขนเราไม่พอ ณ วันนี้เลยเอาให้มันน้อยแต่มันแน่นดีกว่า

จนถึงวันนี้เราวางแผนรูปแบบชีวิตแต่ละด้านยังไงบ้าง เล่าด้านที่วางแผนรัดกุมที่สุดก็ได้ แล้วค่อย ๆ เป็นด้านอื่นที่แผนผ่อนความรัดกุมลง

ถ้า Strick สุด ๆ เลย แผนที่ผมอยากให้มันสําเร็จที่สุดคือแผนครอบครัว วันนี้ผมอายุ 27 ปี – 7 ปีที่ผ่านมาผมให้เวลาครอบครัวน้อยมาก เพราะเราต้องทุ่มเทกับการทํางาน และครอบครัวผมก็ยินดีกับสิ่งที่ผมทำไป แต่มาวันนี้ผมกลับมานั่งตกตะกอนตัวเองในช่วงที่ผ่านมาว่า เป้าหมายเราคืออะไรกันแน่ ใช่การทํางานจริง ๆ เหรอ หรือเราเกิดมาทําไมวะ

คําถามนี้เข้ามาในหัวผมบ่อยมากในทุกช่วงวัยเลยนะ คําตอบก็จะคนละชุดออกไปเลย ชุดล่าสุดนี่คือเกิดมาเพื่อตาย หรือเกิดมาเพื่อมีความสุข มันต่างกันคนละเรื่องเลย พอเกิดมันก็มีความสุข แล้วความสุขมันคืออะไร สําหรับผมมวลอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ‘ความรัก’ ผมก็เลยคิดว่าชีวิตนี้เกิดมาเราขออยู่แบบมีความรัก แล้วก็ส่งต่อความรักแบบสุด ๆ ไปเลย เราไม่รู้หรอกว่า คนนอกใครรักเราไม่รักเราขนาดนั้น แต่คนที่เรามั่นใจแน่นอนว่ารักเราแน่ ๆ คือ ครอบครัว พ่อเราแม่เรา

รวมถึงครอบครัวของผมเอง ถ้าวันนี้ผมจะมีภรรยา มีลูก นั่นก็คือครอบครัวเหมือนกัน สิ่งนี้คคืออันดับหนึ่ง แบบหนึ่ง จริง ๆ ที่ผมจะ Work on มันมากที่สุด อย่างพอมันปัจจัยก็มีเงินเข้ามาเกี่ยว ผมจะรู้สึกว่าต้องมีมากขนาดไหนถึงจะพอ วัยเด็กที่เราคิดว่าเงินเดือนเท่าพ่อก็พอแล้ว 70,000 – 80,000 แต่วันนี้เราหาได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นว่าไม่พอสักที มันมีความต้องการใหม่ ๆ เข้ามาตลอด แล้วเมื่อไหร่จะได้หยุดอยู่กับครอบครัว

พอคิดได้อย่างนี้ เราจัดลำดับชีวิตใหม่ ทํางานเต็มที่เหมือนเดิม แต่ไม่ได้อุทิศมัน 24 ชั่วโมงแล้ว ผมให้เวลากับความรักมากขึ้นอย่างที่บอก แล้วมันทำให้ผมมีกําลังใจในชีวิต ในวันที่มันท้อแท้มันท้อแปปเดียว เพราะว่าคนที่เขารักเราเขาจะพูดปลอบอย่างจริงใจ ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเรา

เรื่องเงินก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมก็มีแผนของผมอยู่เหมือนกัน ผมลองผิดลองถูกเยอะมากกับเรื่องการเงิน เรื่องการลงทุน ชีวิตนี้ผมน่าจะโดนหลอกไปเกินล้านแล้ว โดนทุกรูปแบบ ใครห้ามก็ไม่ฟัง เพราะว่ามันเห็นเงินไง มันอยากลอง มีทั้งให้เขายืมเงินเอาดอกเบี้ย 5 – 6 เดือน ต้นหายแล้ว ได้กลับมาแต่ดอก กลายเป็นว่าเราเอาเงินแสนไปแลกเงินไม่กี่หมื่น

พอหันไปลงทุน ก็เป็นเด็กไม่ค่อยมีความรู้ ไปลงทุนที่คิดว่าอะไรที่มันสบาย อยากได้เงินแต่ไม่ต้องทํางาน ช่วง Forex 3D นี่แหละ ที่คนนู้นคนนี้เค้าได้กัน เค้าเลยไปลงบ้าง ลงตัวแรกปุ๊ป บินเลย ลงเงินไปก้อนใหญ่เหมือนกันตอนนั้น ถัดมาบังเอิญไปเจอกับผู้หญิงคนนึงอายุมากกว่าเรา แล้วเขาก็เหมือนเล่นแชร์ ก็ลองเล่นบ้าง ขาแล้ว ขาเล่า ลงไปอีกขา มันเริ่มหลายแสน อยู่ได้ 3 เดือนเท้าแชร์โดนจับ เงินหายหมดเรียบร้อย

ยุคคริปโตรุ่งเรืองก่อนโควิด ผมจําได้ ผมก็ลงไป มีช่วงหนึ่งพอร์ตมันล้านนึงวูบเหลือ 500,000 ภายในเวลาแค่ 2 – 3 วันผมเหวอไปเลย แต่โชคดีที่ผมไม่ขาย เพราะว่าตอนนี้มันกลับมาที่เดิม แต่ใช้เวลาประมาณ 4 – 5 ปี หุ้นผมเข้าออกหลายรอบมาก ลองผิดลองถูกลองแล้วลองอีก จนกว่าเราจะชนะอารมณ์ตัวเองได้

อยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วทุกวันนี้มีอะไรที่ยังรู้สึกว่าวางแผนกับสิ่งนี้ได้ไม่เท่าไหร่เลย และคิดว่าคงค่อย ๆ วางแผนกันไป

สําหรับผมคือเรื่องสุขภาพนะ คือมันดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มันก้าวกระโดดมากจากปีก่อน ๆ แต่ผมรู้สึกว่ามันดีได้มากกว่านี้ ผมไม่เคยให้ความสําคัญกับสุขภาพ คิดว่าเรายังไหว วัยรุ่นยังใช้ชีวิตได้เต็มที่ ร่างกายเราไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมาตอนนี้ เราให้ความสําคัญกับมันมากขึ้น เพราะว่าผมอยากมีชีวิตที่ยืนยาว อยู่กับคนที่ผมรัก อยู่กับครอบครัวนาน ๆ ไม่อยากตายแล้ว

เมื่อก่อนคิดตลอดว่าทํางานไป 60 อยากตายล่ะ พอแล้ว คิดว่าเราไม่ได้มีอะไร แต่วันนี้เราเริ่มมองเห็นความรักเป็นสิ่งสวยงาม อยากจะอยู่กับมันนาน ๆ เลยต้องวางแผนให้มันมากกว่านี้ อันดับแรกผมเลยเลิกเหล้า พอผมเลิกเหล้า ผมก็กลายเป็นคนไม่นอนดึก ตื่นเช้า มีเวลาทําอะไรมากขึ้น แผนต่อไปมันก็คืออะไรแบบนี้แหละ การตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตเราไปเรื่อย ๆ ทีละอย่าง

แต่สิ่งที่ผมจะทําได้ไม่ค่อยดีเลยคือเรื่องจิตใจ ผมเป็นคนที่อ่อนแอมากเลย ยอมรับตัวเองนะว่ามีปัญหาเรื่องอารมณ์มาก ๆ ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่ มันยังมีไฟวัยรุ่น มีเด็กอ่อนแออยู่ เวลามีใครมาว่า มีใครมาขัดใจ มันจะมักจะมีภาพในหัวที่ไม่ดีเหมือนในหนังที่มันแค่เผลอคิดไปบ้าง ประเด็นคือตอนวัยรุ่นคิดจริง แล้วก็ทําจริง แต่โตมามันก็ยับยั้งชั่งใจได้มากขึ้น เพราะเราคํานึงถึงผลจะตามมา

ทุกวันนี้เราก็ไม่อยากคิดอย่างนั้นแล้ว ไม่อยากให้ความคิดชั่ว ๆ เป็นความคิดแรกในหัว แล้วก็อยากจะรับมือกับกับสังคมได้มากกว่านี้ด้วย ผมรู้สึกว่าคําพูดของคนยังมีผลกับผม เลยรู้สึกว่าต้องปรับเรื่องนี้อีกเยอะ เพราะผมเก็บมาคิดไปหมด ทุกวันนี้ตื่นเช้ามา ผมจะพยายามไม่จับโทรศัพท์เป็นอย่างแรก ผมจะอาบน้ํา ดื่มน้ํา รับแสงแดด ยืดเส้นยืดสายเสร็จแล้วผมถึงค่อยจับโทรศัพท์เพราะถ้าผมจับโทรศัพท์ก็เหมือนเราตื่นมาเรารับข้อมูลเลย ถ้าข้อความแรกที่เราเห็นเป็นเรื่องที่ดีก็แน่นอนวันนั้นดี แต่ถ้าเป็นข้อความที่มันแบบไม่ดี เมื่อไหร่อ่ะวันนั้นก็คือนอยด์ไปเลย

ผมพยายามมีความสุขกับทุกเช้า พยายามหายใจเข้า ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ ขอบคุณชีวิตที่สดใส ขอบคุณนั่น ขอบคุณนี่ไปเรื่อย จนมันรู้สึกว่า โอเค ชีวิตเราพร้อมลุยทุกอย่างเลย มันจะเป็นการเริ่มต้นวันที่สุดยอดมาก 

การท่องเที่ยวมันสําคัญกับชีวิตเราตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยมีโอกาส เราได้ไปกับพ่อกับแม่บ้าง ไปต่างจังหวัด ไปอุทยาน แต่มันเกินฝันไปที่จะได้ไปต่างประเทศ ผมไปต่างประเทศครั้งแรกน่าจะแบบ ม.ปลาย มั้ง ตอนนั้นเก็บเงินของตัวเองด้วย แล้วก็ขอเงินแม่มาด้วยนิดหน่อย เพื่อที่จะได้ลองไปต่างประเทศสักครั้งที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นตื่นเต้นมาก นี่มันอะไรวะเนี่ย อลังการเหลือเกิน แปลกใหม่ไปหมด

แต่เราทํางาน มีรายได้ ก็รู้สึกว่าอยากเติมเต็มความฝันวัยเด็กที่แบบได้ไปเจอโลก เราก็เลยได้ลองไปนู่นไปนี่ กลายเป็นว่ามันก็ดีจริง ๆ อะ เรารู้สึกว่าเราชอบต่างประเทศเพราะว่าเราได้เห็นผู้คนที่มันต่างออกไป วิธีปฏิบัติของคนแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเลย แล้วผมก็ชอบไปที่ใหม่ ๆ อยากรู้อยากลองไปเรื่อย อยากไปที่แปลก ๆ แต่ผมไม่ค่อยเป็นคนแพลนอะไรมาก อยากไปไหนก็ไปทันที จองล่วงหน้านาน ๆ ไม่ค่อยได้ไป ทุกที่ที่เห็นใน Instagram Highlight คือจองประมาณ 5 วันเท่านั้น แล้วก็ไป

ทุกวันนี้มันคือการหาเวลาไปด้วยหรือเปล่า

ใช่ ถ้าหมดช่วงโปรโมตละครผมก็ไปอีกแน่ ตอนนี้อยากไปอียิปต์ ผมชอบปิรามิดมาก ต้องบอกว่าความเชื่อของผมนะ ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง ผมรู้สึกว่าปิรามิดไม่ใช่คนสร้าง ผมอยากไปสัมผัสบรรยากาศ และก็สัมผัสพลังงานตรงนั้นว่ามันเป็นยังไง ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่พิศวง

รู้หรือไม่ว่าจุดที่ปิรามิดตั้งอยู่กิซ่าหรือว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ถ้าเอาตัวเลขมาวางจุดตัด Coordinates มันจะเป็นความเร็วแสงพอดีเป๊ะ ผมรู้สึกว่านี่มันเกินมนุษย์ไปหน่อย เทคโนโลยีมันเกินความสามารถมนุษย์ไป ผมอยากไปเห็นเองว่ามันเป็นยังไง ถึงจะไม่ได้เข้าไปดูข้างในขนาดนั้นก็เถอะ

กลับมายังซีรีส์ที่พาเรามาเจอกันบ้าง ‘LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม’ ซึ่งเป็นซีรีส์เรื่องที่ 2 ของ oneD Original ต่อจาก ‘บางกอกคณิกา’ คิดว่าอย่างเรื่องแรกที่ฉายออกไป ภาพลักษณ์มันต่างจากละครช่องวัน 31 ที่ผ่านมายังไงบ้าง

ผมรู้สึกว่าบางกอกคณิกา ก็ยังมีกลิ่นความเป็นละครช่องวันอยู่เยอะ บทละครช่องวันเลยแหละ แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ต่างออกไปมันคือเขาให้ความสําคัญกับดีเทลมาก ๆ ฉากเอย แสง สี เสียง ไฟ หรือแม้แต่เอ็กซ์ตร้า ผมรู้สึกว่ามันสวย บางทีเรามองนักแสดงเล่น ข้างหลังมันแทบจะเป็นวุ้นเลยนะ กล้อง F ต่ํา ๆ สอยเทเลมาแต่ไกล บางทีมันไม่ต้องมีคนก็ได้ แต่เขาก็ยังใส่รายละเอียดเข้าไป

หรือเรื่อง Lighting ก็ส่งผลกับอารมณ์เหมือนกัน เพราะปกติละครจะสาดไฟตู้มทีเดียว ถ่าย 3 กล้อง แปปเดียวเสร็จ อันนี้ฉากมันจะดู Suspend หน่อย มีความแบบแสงเข้าข้างเดียว หยอดสีแดงสีน้ําเงินขึ้นมา มันสื่อถึงความตั้งใจ แล้วมันก็ช่วยให้นักแสดงแบบอินมากขึ้นด้วย เพราะเขาแทบจะ Set เมืองใหม่ขึ้นมาเลย เราดูแล้วรู้สึกเชื่อ เห็นแวบแรกดูก็รู้เมืองร้อนชื้น พื้นนี่เปียกเชียว ไม่ใช่แบบไปถ่ายข้างป่า แล้วเอาแคร่มาตั้ง อันนี้มันเป็นอีกโลกนึงเลย

แล้วอย่าง LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม ล่ะ เนื้อหาเป็นแบบไหน

LOVE LESSON 010 เป็นอะไรที่คนดูสามารถรีเลทได้ว่า เฮ้ย นี่เหมือนเพื่อนกูเลยนี่หว่า กับทุกตัวละครมันจะมีความชิว ๆ จุดหักเหมันอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่าบางกอกคณิกา แต่ถ้าคุณมาดูเรื่องนี้ คุณจะรู้สึกว่าการที่จู๋ไม่แข็งเป็นเรื่องใหญ่กว่า ผมนําเสนอออกไปอย่างนั้น เสนอว่ามันคือเรื่องคอขาดบาดตายของผมเลย มันไม่ได้

ในบางกอกคณิกาอาจจะหาเงินแทบตายไถ่ตัวเองมา คุณก็เอาใจช่วย เรื่องนี้คุณก็จะเอาใจช่วยให้พระเอกกลับมาจู๋แข็ง มันดูเป็นเหมือนชีวิตจริงที่คนเข้าถึงได้ง่าย ๆ จากการที่เรานําเสนอเรื่องเซ็กซ์ผ่านความตลก จะได้ไม่ดูน่าเกลียดเกินไป มันจะเป็นความตลกเป็นน้ําจิ้มอยู่ข้าง ๆ แกล้มตลอดเวลา

เคยลองกันมาแล้วตอนเวิร์กช็อป ลองเล่นเลิฟซีน เซ็กส์ซีน แบบเล่นจริง ๆ เล่นเรียล ๆ ซึ่งมันเล่นเรียลไม่ได้ จะกลายเป็นหนังเรตอาร์เลย มันดูหื่นกามไป เลยต้องบิดมาใส่ความตลกเข้าไป แล้วก็ต้องมาชั่งน้ำหนักอีกว่าจะทํายังไงให้โลกความเรียลมาก ๆ ของงานแสดงกับโลกตลกกันไปด้วยกันได้ อันนี้คือเรื่องที่ยากตอนเวิร์กช็อป

ไบร์ทบอกว่าตัวเองมีความพยายามทําให้ Sense ของตัวละคร กลายเป็นชีวิตจริงของเรา เรื่องนี้ทํางานกับมันยังไงบ้าง

เรื่องนี้คือผมอินมากเลย ตอนก่อนจะเปิดกล้อง พอถ่ายครั้งแรกผมก็ยังคงสุดเหวี่ยง ผมเป็นนนท์เต็มที่ ทั้งนอกจอในจอ เรารู้สึกว่าเรากลืนเขาเข้าไปจนอิ่มเลย Get feel ทุกอย่างว่ามันจะทําอะไร เวลาอ่านบทนี้คืออ่านหน่อยเดียวให้รู้ว่าฉากนี้เป็นยังไง เรื่องราวเป็นยังไง ที่เหลือผมเข้าใจหมด 

แต่แปลกมาก แทนที่ผมจะมีความสุขกับการ Enjoy party กินเหล้าหนักหน่วง ไปเรียนบาร์เทนเดอร์ ศึกษาเรื่องเหล้าที่เราชอบมาก ๆ ลึกไปเรื่อย ๆ ผ่านไปสักพักกลายเป็นว่าผมเอียนไปเลย จนอยู่ดี ๆ ผมก็มีความคิดว่าเลิกเที่ยวดีกว่าในชีวิตจริง มันเริ่มจากการเลิกเหล้า เลิกเที่ยว เลิกเป็นคนกลางคืนไปเลยอยากที่บอก ไม่รู้ทําไมเหมือนกัน ผมตั้งเป้าว่าวันเกิดฉัน 23 ธันวาคม 2566 ฉันจะกินเหล้าสรรเสริญปีศาจครั้งสุดท้าย แล้วจะไม่กลับไปกินมันอีกเลย

จากตัวอย่าง หรือเนื้อหาหลาย ๆ ตอนที่ออกอากาศไป Sense ความเป็นการ์ตูนแบบเหินฟ้าเป้าชนกับเสาของเรื่องนี้มันต่างจาก Sense ของละครที่เราเคยเล่นมายังไงบ้าง

ต่างมาก ผมไม่ได้คิดเลยว่าที่ถ่ายไปหล่อหรือเปล่า แล้วทุกคนก็ดูไม่ได้คาดหวังความหล่ออะไรจากตัวละครนี้ กลายเป็นว่า มันออกมาดีเฉย มันสนุก คือคนดูจะสนุก จะตลกกับความซวยของนนท์ ตามสถานการณ์ประหลาด ๆ ที่เราเจอ จนคนดูจะคิดว่าทําไมนนท์มันถึงซวยได้ขนาดนี้วะ 

ตอนถ่ายทํามันก็แฟนซีมาก ๆ มันก็ได้ทําอะไรแปลกใหม่ไปเรื่อย วิ่งหนีผึ้ง โดดลงน้ํา ลอยไปติดเสาบ้าง สัตว์ เด็ก เอฟเฟค สลิง ผาดโผน ครบเลย แล้วผมก็ปลดล็อกความกลัวหมาเลย ผมเพิ่งจะมาชอบหมาได้ไม่นาน แต่ว่าผมไม่เคยให้หมามาเลียตัวเลียหน้าขนาดนั้น มันจะมีฉากหนึ่งที่ผมจะต้องโดนหมามารุม เหยียบบนตัวเรา มาเล่นกับเรา หมาตัวเบ้อเริ่มเลยเป็น 10 ตัววิ่งอยู่บนตัวเรา

ตอนแรกผมก็แอบกังวล ยังไงดีวะ กลัว เพราะตอนเด็กโดนหมากัด แล้วแหยงหมาไปเลย แต่พอมาตอนนั้นเขานับ 5 4 3 2 แล้วเป็นนนท์อ่ะ มันไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกเป็นตัวละครว่ากูโดนอีกแล้ว เป็นความซวยของเรา ก็ทําออกมาได้ แล้วผมก็ไม่กลัวหมาเลยหลังจากนั้น

มุมมองของนักแสดงกับรูปแบบการทํางาน คิดว่าซีรีส์ 8 ตอน มันครบความหรือยัง 

ตอนแรกผมคิดว่า 8 ตอน ชิล ๆ สั้นลงครึ่งหนึ่ง ได้ใส่สุดทุกฉาก สบาย ความเป็นจริง โคตรเหนื่อยแบบเหนื่อยมาก เพราะว่าละครถ่ายทีเดียว 3 กล้อง นี่ถ่ายเป็นหนังทีละกล้อง ทีละฝั่ง สาหัสสากันมาก แต่มันก็เป็นอะไรที่สนุก

แต่ผมชอบอะไรแบบนี้มากกว่าละครนะ สารภาพตามตรง รู้สึกเหมือนเราได้ลองอะไรใหม่ ๆ อีกครั้ง มันก็เป็นโอกาสที่ผมมักจะได้รับเสมอเลย อาจจะเป็นโอกาสแปลก ๆ ที่คงไม่มีนักแสดงคนไหนได้เล่น แต่เรื่องนี้มันวางมา ปั้ง! ไบร์ทเลยคนแรก ผมก็ โอ้ มันอาจจะเป็นโอกาสอะไรเพี้ยน ๆ แบบนี้ที่ทำให้ผมสนุกกับมัน

ผมเล่นเป็นแบบวัยรุ่นสุด ๆ เป็นคนแบบห่าม ๆ เกรียน ๆ คนนึง ที่ผมคิดว่าผมนําเสนอออกมาได้ดี ผมคิดอย่างงั้นนะ เพราะว่าผมแค่แบบเอาตัวเองในวัยเด็กบ้างมาผสมผสานเข้าไป สมมติมีคนพูดประโยคอะไรมา แล้วใจเราอยากจะตอบคํานี้จังเลย แต่ตอบไม่ได้ กับเรื่องนี้มันเราไม่ต้อง Strick กับบทขนาดนั้น เค้าพูดกันมา ผมอยากจะสวนอะไรไปก็ได้ อยากจะสบถอะไรออกมาก็ได้ ผมอยากจะทําอะไรก็ได้ อยากจะไม่ฟังเดินหนีไปเลยก็ได้ พอมันมีอิสระมาก ๆ เลยรู้สึกว่าผมได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาเยอะ แล้วกลายเป็นว่ามันน่าจะดีนะ น่าจะสนุก

ทําไมคนดูถึงควรดู LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม

ขอฝากทุกคนนะครับเรื่อง ‘LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม’ มันเป็นการแสดงรูปแบบใหม่ของทุกคน คุณจะได้เห็นทั้งผม เลดี้ปรางค์ด้วย (กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล) ที่เขาก็ไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้ คุณจะลืมความเป็นแม่หญิงไปได้เลย เธอได้กลายเป็นนังผู้หญิงแก่น เฟี้ยว ซ่า คนนึง 

แล้วคุณก็จะได้เห็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่อาจจะมีหลาย ๆ คนหรือคน Gen ก่อน ๆ ที่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า เด็กสมัยนี้มีความสัมพันธ์แบบนี้ด้วยหรือ ผมเชื่อว่าคนรุ่นพ่อแม่ผมไม่รู้จักว่า ‘คนคุย’ คืออะไร ซึ่งในเรื่องนี้มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก คุณจะได้รับความตลก และข้อคิดดี ๆ แบบมีความสุขแน่นอน แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ซีรีย์ที่คุณสามารถดูด้วยกันพ่อ แม่ ลูก ได้ขนาดนั้น แต่ว่าผู้ใหญ่ดูด้วยกันได้ หรือลูกดูได้ แต่พ่อแม่ดูด้วย ดูในทีวีอาจจะไม่แรงมาก ถ้าอยากดูแบบ Uncut เชิญได้ทางแอป oneD เลยครับผม เต็มอรรถรสกว่าแน่นอน

ติดตามชม ‘LOVE LESSON 010 แบบฝึกรัก… ไม่รู้ล้ม’ ได้ทุกวันพุธ – พฤหัสบดี เวลา 20:30 น. 8 ตอนเท่านั้น ห้ามพลาด! ดูสดเวอร์ชัน TV กดช่องวัน 31 และดูแบบ Uncut เต็มอรรถรสอย่างที่ไบร์ทแนะนำได้แอป oneD

AUTHOR

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป