เมื่อวานนี้ (6 มี.ค 67) ได้เกิดกระแสฮือฮาขึ้นในโลกโซเชียลมีเดียเล็กน้อย เมื่อเฟซบุ๊กของ ‘สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ’ โพสต์ภาพและคลิปอนาจาร ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนใหญ่ล่วงรู้ได้โดยทันทีว่า ขณะนี้เพจของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ‘ถูกแฮ็ก’ อย่างแน่นอน ทว่าในที่สุดก็มีการลบภาพและคลิปดังกล่าวออกไป และมีการออกมาชี้แจงว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามเข้ามาสร้างความปั่นป่วน แต่ก็ไม่วายมีผู้คนเข้าไปคอมเมนต์และนำภาพดังกล่าวไปแชร์และเผยแพร่ต่อในทำนองตลกขบขัน ทำให้เกิด ‘Question Mark’ ตัวใหญ่ ๆ ผุดขึ้นในความคิดของผู้คนอีกบางส่วนว่า ทำไมศาสนาและเพศถึงกลายเป็นเรื่องตลกอยู่เสมอ

นั่นอาจเป็นเพราะ ‘ศาสนา’ พยายามกีดกันเรื่อง ‘เพศ’ ออกจากสารบบของตน ทั้งที่มันเป็นเรื่องเดียวกันตั้งแต่แรก

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ศาสนา’ ไม่ว่าจะมีจุดกำเนิดจากความเชื่อใด มันดำรงอยู่เพราะ ‘มนุษย์’ ให้ความศรัทธาแก่มัน เมื่อเราพูดถึงศาสนาจึงอาจไม่ได้หมายถึงหลักคำสอนเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผู้คนที่ศรัทธาในศาสนานั้นด้วย หากไร้คนศรัทธาบูชา ศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร เราจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพูดถึงมนุษย์ในศาสนาได้ เพราะหากศาสนามีไว้เพื่อการสั่งสอนและยึดเหนี่ยวมนุษย์ให้อยู่ในลู่ทาง นั่นเท่ากับว่าศาสนาต้องมี ‘ความเป็นมนุษย์’ อยู่ส่วนหนึ่ง 

เมื่อพูดถึงมนุษย์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่อง ‘เพศ’ เพราะเราต่างรู้กันดีว่าเราเกิดขึ้นมาด้วยวิธีการใด มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความนึกคิดแบบปัจเจก ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณทางธรรมชาติ ถูกตกแต่งด้วยระบบพันธุกรรมที่สืบสายยาวนานหลายหมื่นปี เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เรียกว่า ‘โฮโมเซเปี้ยนส์’ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกอาศัยการดำรงอยู่ผ่าน ‘การสืบพันธุ์’ เป็นหลัก และมันเป็นรหัสที่สิ่งมีชีวิตทุกตัวถูกลงโปรแกรมมาให้ทำตามภารกิจที่ธรรมชาติมอบหมาย จึงไม่แปลกที่มนุษย์จะขัดขืนต่อสัญชาตญาณตามธรรมชาติได้โดยง่าย ผ่านพิธีกรรมหรือชุดความคิดที่เรียกว่าศาสนา

การที่มนุษย์หลงลืมว่าตนเองเป็นสัตว์และใช้ความพยายามหลายพันปีในการสลัดคราบตนเองให้กลายเป็นพงศ์เผ่าทรงภูมิปัญญาที่ไม่ฝักใฝ่ในเรื่องเพศ ทำให้ระบบคิดที่เรียกว่าศาสนาต่อต้านเรื่องการสมสู่หรือสืบพันธุ์ แม้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติพอ ๆ กับการกินข้าว มนุษย์หลายชั่วอายุคนจึงพยายามปลูกฝังลูกหลายผ่านพิธีกรรม ประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงมายาคติที่ฉาบคลุมผู้คนเอาไว้ จนเราคิดว่าศาสนาและเพศนั้นไม่เชื่อมโยงกัน ทั้งที่มันสอดผสานผ่านตัวเราทุกคน หากมนุษย์ไม่สืบพันธุ์ และมองว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ก็จะไม่ก่อกำเนิดผู้คนขึ้นมา เมื่อไร้ซึ่งผู้คนที่ลุ่มหลงและศรัทธาในศาสนา ก็จะไม่มีศาสนาดำรงอยู่

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่มีหลักธรรมคำสอนใดที่ชี้ชัดว่าเรื่อง ‘เพศ’ เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือกล่าวถึงไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพียงความเข้าใจกันไปเองในภายหลังที่มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของมนุษย์ เราหยิบยกการบูชาแท่นศิลาและรูปปั้นมาจากพราหมณ์ เชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้ามาจากฮินดู กราบไหว้ภูติผีปีศาจจากความเชื่อท้องถิ่นเดิมและประเทศเพื่อนบ้าน ทุกอย่างปะปนกันจนเราตีความว่ามันกลายเป็นเรื่องเดียวกัน รวมถึงหลักคิดที่ว่าเพศเป็นสิ่งสกปรกสำหรับศาสนา ทั้งที่หากมองให้ดีไม่มีคำสอนใดที่ชี้ชัดไปในทางนั้น

เมื่อยุคสมัยนำพาองค์ความรู้เข้ามาสู่มวลมนุษย์ มีการศึกษาทางประวัติศาสตร์หลากหลายชิ้น ทำให้เรารู้ว่าความจริงแล้วเรื่องเพศเป็นสิ่งที่สามัญธรรมดาเหลือเกิน ขณะที่ศาสนายังคงแช่แข็งตัวเองอยู่ในกรอบคิดแบบเดิม กระทั่งเกิดเป็นความขัดแย้งจนนำไปสู่การต่อต้าน จึงไม่แปลกที่เรามักเห็นภาพกลุ่มคนที่ใช้เรื่องเพศมา Make Fun กับสิ่งที่เกี่ยวโยงกับศาสนาอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าพูดปากเปล่าแล้วมันดูไม่เกี่ยวข้องกัน แต่หากพินิจให้ดีทุกสิ่งล้วนสอดผสานกันเหมือนโครงข่ายที่ขาดกันไม่ได้

ดังนั้นขณะที่ผู้คนวิวัฒน์และทำความเข้าใจองค์ประกอบของชีวิตและสังคมไปตามยุคสมัยแล้ว ศาสนาก็ควรพัฒนาตามความเข้าใจของมนุษย์ไปด้วย เพราะตามหลักการทางธรรมชาติ สิ่งใดที่ไม่วิวัฒนาการตามสภาพแวดล้อมหรือการเวลา สิ่งนั้นจะสูญสิ้นและสูญพันธุ์ไปโดยธรรมชาติ