การเมืองไทยในช่วงก่อนทศวรรษ 2530 ถูกครอบงำด้วยระบอบกึ่งประชาธิปไตยภายใต้การนำของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานกว่า 8 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อพลเอกเปรมประกาศ “ผมพอแล้ว” และตัดสินใจวางมือทางการเมือง ก็ได้เปิดทางสู่บทใหม่ของการเมืองไทย การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 นำมาซึ่งการเฟื่องฟูของระบบพรรคการเมือง โดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและความคาดหวังทางเศรษฐกิจ
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 รัฐบาลของท่านได้สืบทอดและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนมีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเป็น “เสือตัวที่ 5” ของเอเชีย ยุคสมัยนี้โดดเด่นด้วยนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มประเทศอินโดจีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเปิดตลาดใหม่และดึงดูดการลงทุน บุคลิกที่เป็นที่รู้จักในนาม “น้าชาติ” และคำพูดติดปากว่า “No Problem” หรือ “ไม่มีปัญหา” ได้สร้างบรรยากาศของความกระฉับกระเฉงในช่วงแรก
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ที่ดูสบาย ๆ และมีความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจนี้อาจเป็นเพียงฉากหน้าที่บดบังปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนลึกอยู่ภายในการบริหารงานแบบรัฐบาลผสม และวัฒนธรรมการทุจริตที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นอาจทำให้การตรวจสอบด้านธรรมาภิบาลและมาตรฐานทางจริยธรรมหย่อนยานลงโดยไม่ได้ตั้งใจ สร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิด “บุฟเฟ่ต์” ในเวลาต่อมา ความขัดแย้งที่ชัดเจนระหว่างคำขวัญ “No Problem” กับความเป็นจริงของการทุจริตที่แพร่หลาย (“ทานไม่อั้น”) ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของสาธารณชนเสื่อมถอยลงอย่างรุนแรงในภายหลัง

ปฐมบทแห่ง “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” สัญญาณเตือนและประเด็นปัญหา
แม้จะเริ่มต้นด้วยความคาดหวังสูง แต่รัฐบาลพลเอกชาติชายก็เริ่มเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน จนเกิดคำเรียกขานที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัย นั่นคือ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” (Buffet Cabinet) ซึ่งสะท้อนถึงการทุจริตอย่างกว้างขวางและเปิดเผยของบรรดารัฐมนตรีในคณะรัฐบาล นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” แม้จะมีวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจที่ดี แต่ในทางปฏิบัติกลับเปิดช่องทางให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่และการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดการกำกับดูแลที่เข้มแข็งในระบบรัฐบาลผสมที่กระจัดกระจาย โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกกลายเป็นโอกาสทองสำหรับการทุจริต หากกลไกการกำกับดูแลอ่อนแอ นโยบายที่ดูดีทางเศรษฐกิจจึงอาจกลายเป็นเชื้อเพลิงที่โหมกระพือการทุจริตที่บ่อนทำลายรัฐบาลในที่สุด

รากฐานและการก่อตัวของ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
การจัดตั้งรัฐบาลผสม: ความจำเป็นและพลวัตของอำนาจ
ภายหลังการตัดสินใจไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งมีจำนวน สส. 96 คน ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคขึ้น คณะรัฐมนตรีชุดที่ 45 (สิงหาคม พ.ศ. 2531 – ธันวาคม พ.ศ. 2533) ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลักหลายพรรค ได้แก่ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคราษฎร พรรคมวลชน และพรรคสหประชาธิปไตย
ตารางที่ แสดงให้เห็นถึงพรรคร่วมรัฐบาลในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
| พรรคการเมือง | จำนวน สส. |
| พรรคชาติไทย | 96 |
| พรรคกิจสังคม | 53 |
| พรรคประชาธิปัตย์ | 48 |
| พรรคราษฎร | 21 |
| พรรคมวลชน | 5 |
| พรรคสหประชาธิปไตย | 5 |
ตารางข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงลักษณะที่กระจัดกระจายของรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมาก ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นสิ่งจำเป็น จำนวนพรรคที่เข้าร่วม (6 พรรคในระยะแรก) บ่งชี้ถึงกระบวนการเจรจาต่อรองที่ซับซ้อนเพื่อจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี จำนวน สส. ที่แตกต่างกันของแต่ละพรรคสะท้อนถึงอำนาจต่อรองที่ไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลต่อการจัดสรรกระทรวงเกรด A หรือกระทรวงที่มีงบประมาณจำนวนมาก และอำนาจในการกำกับดูแลที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่พลเอกชาติชายต้องเผชิญในการรักษาเอกภาพและควบคุมรัฐบาล เป็นฉากหลังที่ทำให้เข้าใจได้ว่าระบบ “บุฟเฟ่ต์” สามารถก่อตัวขึ้นจากความจำเป็นในการตอบสนองความต้องการของพรรคร่วมรัฐบาลหลายฝ่ายได้อย่างไร

ความไร้เสถียรภาพและการปรับคณะรัฐมนตรี เกมแห่งการต่อรองและตอบแทน
ธรรมชาติของรัฐบาลผสมนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นกลไกในการเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลและแบ่งปันตำแหน่งรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีชุดที่ 45 มีการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น นายชวน หลีกภัย ย้ายจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2532 ตลอดปี พ.ศ. 2533 มีการลาออกและแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่หลายครั้ง
พลเอกชาติชายได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อยุติคณะรัฐมนตรีชุดที่ 45 และเปิดทางให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ นำไปสู่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดที่ 46 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีพรรคร่วมรัฐบาลที่แตกต่างออกไป เช่น พรรคเอกภาพ พรรคประชากรไทย และพรรคปวงชนชาวไทย ในขณะที่พรรคกิจสังคมและพรรคประชาธิปัตย์ย้ายไปเป็นฝ่ายค้าน คณะรัฐมนตรีชุดที่ 46 นี้ดำรงอยู่ได้เพียง 71 วันจนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สนับสนุนข้อสังเกตของผู้ใช้งานที่ว่ามีการผลัดเปลี่ยนรัฐมนตรีเพื่อ “ตอบแทนให้ครบ”

โครงสร้างของรัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งจำเป็นต่อการจัดตั้งรัฐบาล ได้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมแบบ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” โดยตรง การแบ่งกระทรวงตามโควตาของพรรค แทนที่จะพิจารณาจากความสามารถหรือวาระนโยบายที่เป็นหนึ่งเดียว ได้สร้าง “เขตอิทธิพล” (fiefdoms) ที่แต่ละพรรคหรือรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นอิสระและมีการกำกับดูแลจากส่วนกลางน้อยลง ซึ่งเอื้อต่อการทุจริต
การแบ่งสันผลประโยชน์เช่นนี้หมายความว่าความสามารถของนายกรัฐมนตรีในการบังคับใช้ระเบียบวินัยหรือจุดยืนต่อต้านการทุจริตที่เป็นหนึ่งเดียวทั่วทุกกระทรวงนั้นอ่อนแอลง รัฐมนตรีหรือพรรคแต่ละพรรคอาจให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนผลประโยชน์ของตนเองหรือพรรค โดยทราบดีว่าเวลาของตนในกระทรวงที่ร่ำรวยนั้นอาจสั้น เนื่องมาจากความไม่มั่นคงของรัฐบาลผสมและการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง สิ่งนี้ได้สร้างระบบที่เปรียบเสมือนบุฟเฟ่ต์ ซึ่งผู้เข้าร่วมแต่ละคนสามารถ “ตักตวงสิ่งที่ต้องการ” จากส่วนที่ตนได้รับจัดสรร นำไปสู่การรับรู้โดยรวมถึงการทุจริตเชิงระบบ

การปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง แม้ผิวเผินจะดูเหมือนเป็นการบริหารจัดการทางการเมือง แต่ก็น่าจะยิ่งซ้ำเติมความคิดแบบ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” โดยสร้างความรู้สึกเร่งด่วนในหมู่รัฐมนตรีที่จะต้องแสวงหาผลประโยชน์ก่อนที่จะถูกย้ายหรือรัฐบาลล่มสลาย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลานี้บ่อนทำลายการมุ่งเน้นนโยบายระยะยาวและความรับผิดชอบ รัฐมนตรีที่ตระหนักถึงความไม่มั่นคงนี้อาจรู้สึกกดดันให้ต้องรีบฉกฉวยความได้เปรียบส่วนตนหรือของพรรค โดยเกรงว่าวาระการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของตนจะสั้น ความคิดแบบ “กอบโกย” นี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับอุปมาอุปไมยเรื่อง “บุฟเฟ่ต์” ข้อสังเกตของผู้ใช้งานเกี่ยวกับ “การผลัดเปลี่ยนรัฐมนตรีเพื่อตอบแทนให้ครบ” ได้รับการสนับสนุนจากพลวัตนี้ หากผลประโยชน์ผูกติดอยู่กับตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งมีการหมุนเวียนบ่อยครั้ง ก็ย่อมเป็นการจูงใจให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์อย่างรวดเร็วมากกว่าการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีความรับผิดชอบ
นิยามและความหมายแฝงของ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
คำว่า “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” กลายเป็นคำอุปมาอุปไมยที่นิยามรัฐบาลพลเอกชาติชาย ซึ่งสื่อมวลชนและสาธารณชนใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่ออธิบายสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันที่ขยายเป็นวงกว้างและไร้การควบคุมในหมู่รัฐมนตรี เปรียบเสมือนการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ที่สามารถ “ทานไม่อั้น” คำนี้มีความหมายโดยนัยว่า รัฐมนตรีซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองต่าง ๆ มองว่าตำแหน่งนี้เป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและการอุปถัมภ์ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะหรือหลักจริยธรรม ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นคือการที่แต่ละคน “ตักตวง” ทรัพยากรของรัฐอย่างอิสระ

กลไกการทุจริตคอร์รัปชันในสมัย “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” การแบ่งปันผลประโยชน์
ภาพรวมข้อกล่าวหา การทุจริตในโครงการลงทุนของรัฐและพฤติการณ์ฉ้อราษฎร์บังหลวง
รัฐบาลพลเอกชาติชายเผชิญข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง หรือ “พฤติการณ์ฉ้อราษฎร์บังหลวง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ ข้อกล่าวหาเหล่านี้กลายเป็นส่วนสำคัญในเหตุผลที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ใช้ในการรัฐประหารปี พ.ศ. 2534 นอกเหนือจากการทุจริตทางการเงินแล้ว ก็ยังมีข้อกล่าวหาเรื่อง “ข้าราชการการเมืองรังแกข้าราชการประจำ” และการที่รัฐบาลทำตัวเป็น “เผด็จการทางรัฐสภา”
กรณีศึกษาโครงการอื้อฉาว รูปธรรมของ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
ปรากฏการณ์ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวหาลอย ๆ แต่มีโครงการอื้อฉาวหลายโครงการที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างสะท้อนปัญหาการทุจริตในยุคนั้น
โครงการโฮปเวลล์ (Hopewell Project)
โครงการนี้ริเริ่มในปี พ.ศ. 2533 ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายมนตรี พงษ์พานิช (พรรคชาติไทย) เป็นโครงการก่อสร้างระบบรถไฟและถนนยกระดับมูลค่ามหาศาลถึง 8 หมื่นล้านบาท โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหลายประเด็น เช่น การอนุมัติอย่างรวดเร็วและรวบรัดก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535, แผนงานที่ขาดความชัดเจน, ความล่าช้าอย่างมากในการก่อสร้าง (คืบหน้าเพียง 13.77% หลังจากผ่านไป 6 ปี) และปัญหาด้านการออกแบบและมาตรฐานความปลอดภัย ที่สำคัญคือมีข้อกล่าวหาเรื่องการจ่ายสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะของ “บุฟเฟ่ต์” ที่เชื่อมโยงกับความไม่มั่นคงทางการเมือง โครงการนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ค่าโง่” ที่รัฐต้องแบกรับเป็นเวลาหลายทศวรรษ

บทบาทของกลุ่มทุนและนักการเมือง คอร์รัปชันเชิงนโยบาย
ยุคพลเอกชาติชายเป็นช่วงเวลาที่นักธุรกิจจำนวนมากก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองและดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี การเข้ามาของกลุ่มทุนนี้นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ “คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ซึ่งหมายถึงการที่นโยบายของรัฐอาจถูกออกแบบหรือมีอิทธิพลเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจ การทุจริตในลักษณะนี้มีความซับซ้อนกว่าการยักยอกทรัพย์โดยตรง แต่สามารถส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างกว่า เช่น การบิดเบือนกลไกตลาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ผลสะท้อนของ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ต่อประเทศไทย
ผลกระทบทางการเมือง
การกัดเซาะเสถียรภาพของรัฐบาล : ข้อกล่าวหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ดังเห็นได้จากการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง และการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะ เช่น กรณีระหว่าง ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์และพรรคกิจสังคม ได้บั่นทอนเสถียรภาพและความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาลอย่างรุนแรง

การเสื่อมถอยของความเชื่อมั่นและศรัทธา : ฉายา “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” และข่าวคราวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน นำไปสู่การเสื่อมถอยอย่างมีนัยสำคัญของความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตัวนักการเมือง พรรคการเมือง และสถาบันประชาธิปไตยโดยรวม สิ่งนี้ได้สร้างบรรยากาศของความเบื่อหน่ายและไม่ไว้วางใจทางการเมือง
ข้อกล่าวหา “เผด็จการรัฐสภา” : การที่รัฐบาลใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรผลักดันวาระต่าง ๆ โดยบางครั้งเพิกเฉยต่อข้อกังวลของฝ่ายค้าน นำไปสู่ข้อกล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ซึ่งยิ่งทำให้กลุ่มผู้วิจารณ์และประชาชนบางส่วนรู้สึกแปลกแยกและไม่พอใจ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
การเติบโตท่ามกลางข้อกล่าวหา : เป็นที่น่าสังเกตว่าท่ามกลางข้อกล่าวหาการทุจริต เศรษฐกิจไทยในยุคนี้กลับมีการเติบโตในอัตราที่สูงมาก (กว่า 10% ต่อปี) นโยบายเช่น “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” มีส่วนกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
การบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากร : อย่างไรก็ตาม การทุจริตที่แพร่หลายมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณสาธารณะอย่างไม่เหมาะสม ต้นทุนโครงการภาครัฐที่สูงเกินจริง และการลงทุนที่ถูกเบี่ยงเบนไปยังโครงการที่ให้ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ นักวิชาการบางส่วนวิจารณ์ว่ายุคนี้เป็น “เศรษฐกิจฟองสบู่” ซึ่งบ่งชี้ถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่
ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในยุคพลเอกชาติชาย แม้จะน่าประทับใจในเชิงตัวเลข อาจเปรียบได้กับ “กรงทอง” ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นได้สร้าง “ผลประโยชน์” ที่มากขึ้นสำหรับ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” และการทุจริตที่ตามมาก็อาจบ่อนทำลายความยั่งยืนและการกระจายผลประโยชน์ที่เป็นธรรมของการเติบโตนั้น ซึ่งสอดคล้องกับคำวิจารณ์เรื่อง “เศรษฐกิจฟองสบู่” การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว หมายถึงงบประมาณภาครัฐที่ใหญ่ขึ้นและโครงการของรัฐที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น สิ่งนี้เพิ่ม “มูลค่า” ของตำแหน่งรัฐมนตรีและผลประโยชน์ที่อาจได้รับจากการทุจริต หากการทุจริตนำไปสู่โครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือการรั่วไหลของงบประมาณสาธารณะจำนวนมาก คุณภาพของการเติบโตก็จะลดลง คำวิจารณ์เรื่อง “เศรษฐกิจฟองสบู่” ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตนั้นอาจตั้งอยู่บนรากฐานที่ไม่มั่นคง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบิดเบือนที่เกิดจากการทุจริต
ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ : แม้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะอยู่ในระดับสูง แต่ปัญหาการทุจริตที่ยืดเยื้อสามารถทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติและส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะยาวได้

ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมทางการเมือง
การสร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว : ยุค “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” เสี่ยงต่อการทำให้การทุจริตกลายเป็นเรื่องปกติในสายตาของคนบางกลุ่ม หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังว่าการทุจริตเป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการเมืองไทย ซึ่งสามารถกัดกร่อนมาตรฐานทางจริยธรรมในภาคราชการ
ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น : การทุจริตเป็นการเบียดบังทรัพยากรที่ควรจะนำไปใช้เพื่อสวัสดิการสาธารณะและการพัฒนา ซึ่งอาจทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ผลประโยชน์จากความเจริญทางเศรษฐกิจอาจกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนที่มีเส้นสายเพียงไม่กี่กลุ่ม
การปูทางสู่ความขัดแย้ง : การสูญเสียความชอบธรรมของรัฐบาลและความคับข้องใจของประชาชนได้สร้างสภาวะที่เอื้อต่อความไม่มั่นคงทางการเมือง และในที่สุดก็นำไปสู่การแทรกแซงของทหาร
ปรากฏการณ์ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการสร้าง “วิกฤตความไว้วางใจ” ที่ยั่งยืนต่อสถาบันประชาธิปไตยของไทย ลักษณะที่โจ่งแจ้งของการทุจริตที่รับรู้กันโดยทั่วไป ตามมาด้วยการรัฐประหารที่อ้างเหตุผลดังกล่าว ได้ตอกย้ำเรื่องเล่าที่ว่านักการเมืองพลเรือนนั้นทุจริตโดยเนื้อแท้ ซึ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงของทหารในสายตาของประชาชนบางส่วนในวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งต่อ ๆ มา
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
“บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการทุจริตทางการเมืองขั้นรุนแรง กองทัพใช้สิ่งนี้เป็นเหตุผลหลักในการรัฐประหารปี พ.ศ. 2534 แม้ว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เองจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลัง แต่เรื่องเล่าเบื้องต้นที่ว่า “นักการเมืองทุจริตถูกโค่นล้มโดยทหารผู้บริสุทธิ์” ก็มีผลกระทบอย่างมาก ประสบการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายทางการเมืองมากขึ้น และสร้างประเด็นที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในการเมืองไทย คือ เมื่อรัฐบาลพลเรือนถูกมองว่ามีการทุจริตอย่างสูง การแทรกแซงของทหารจะได้รับการยอมรับหรือแม้กระทั่งการสนับสนุนจากบางฝ่ายในระดับหนึ่ง นี่คือมรดกที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

มรดกและบทเรียนจากยุค “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
ปรากฏการณ์ “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นผลพวงมาจากการบรรจบกันของปัจจัยหลายประการ ได้แก่ โครงสร้างรัฐบาลผสมที่ซับซ้อน, แรงขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และวัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ลักษณะเด่นของยุคนี้คือข้อกล่าวหาการทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่หลาย, ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และการสิ้นสุดลงด้วยการรัฐประหารโดยกองทัพ
“บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” และการรัฐประหาร พ.ศ. 2534 ได้ตอกย้ำวงจรการเมืองไทยที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กล่าวคือ ช่วงเวลาของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งมักถูกมองว่ามีการทุจริตและขาดเสถียรภาพ ตามมาด้วยการแทรกแซงของทหารซึ่งมักอ้างความชอบธรรมจากความจำเป็นในการ “ชำระล้าง” ระบบการเมือง อย่างไรก็ตาม คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เองก็ถูกกล่าวหาในภายหลังว่าล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตอย่างแท้จริงและมุ่งเล่นเกมอำนาจ ซึ่งนำไปสู่ความผิดหวังของประชาชนและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 ในที่สุด
ยุคสมัยนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ยังคงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยไทย รวมถึงความเปราะบางของรัฐบาลผสม, อิทธิพลของเงินในการเมืองที่แพร่หลาย, ความยากลำบากในการสร้างกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็ง และอิทธิพลทางการเมืองที่ยั่งยืนของกองทัพ
“บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” อาจมีส่วนทำให้ความรู้สึกเบื่อหน่ายทางการเมืองของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตยฝังรากลึกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างภาพลักษณ์ “นักการเมืองทุจริต” ที่ถูกนำมาใช้เป็นแพะรับบาปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงจากฝ่ายอำนาจนิยม ซึ่งอาจขัดขวางการพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งความล้มเหลวในการแก้ไขต้นตอของปัญหาการทุจริตและความไม่มั่นคงทางการเมืองในช่วงเวลานั้น หมายความว่าปัญหาที่คล้ายคลึงกันจะปรากฏขึ้นอีกในรัฐบาลไทยชุดต่อ ๆ มา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบทเรียนจากยุค “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ยังไม่ได้รับการซึมซับหรือนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่
ที่มา
- https://www.bbc.com/thai/thailand-47311636
- https://www.bbc.com/thai/thailand-48010383
- https://www.bbc.com/thai/60405931
- https://www.matichonweekly.com/special/special-scoop/article_700800
- https://www.silpa-mag.com/history/article_74620
- https://www.silpa-mag.com/history/article_56956
- https://www.senate.go.th/assets/portals/124/fileups/191/files/1.รายงานเหลี่ยมล้ำทางสังคม.pdf
- https://thestandard.co/list-of-36-ministers-of-srettha-cabinet/
- https://thestandard.co/thailand-wins-hopewell-case/
- https://ir.stou.ac.th/bitstream/123456789/10059/1/168781.pdf
- http://old-book.ru.ac.th/e-book/h/HI320/hi320-15.pdf
- https://doi.nrct.go.th/admin/doc/doc_630079.pdf
