Burnout ภาวะหมดไฟ

คุณเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย มุ่งมั่นตั้งใจเดินทางมาสมัครงานในบริษัทใหญ่ใจกลางกรุง คุณตกลงทำงานทันทีแม้เงินเดือนอาจไม่พอเมื่อหักลบกับค่ารถและค่าหอ เพราะคุณมีไฟ มีใจ และมีแรงที่อยากทำงานที่ตัวเองหวังมาตลอด แต่เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่สังคมการทำงานอย่างจริงจังกลับพบว่า หลายสิ่งไม่เป็นไปดั่งใจหวัง 

คุณเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังทำงานเกิน “ขอบเขต” ตามที่ตกลงกันไว้ คุณเริ่มรับรู้ถึงชนชั้นวรรณะและกลิ่นอายสงครามการเมืองในออฟฟิศ คุณเริ่มแยกแยะระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวไม่ได้ คุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลัง “เหี่ยวเฉา” มากกว่า “เติบโต” สุดท้ายแล้ววันเวลาจะบั่นทอนคุณไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเพียงร่างอันว่างเปล่าที่ขาดไร้ซึ่งความตั้งใจและจิตวิญญาณในการดำรงชีวิต 

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเราไม่ควรมองข้ามอาการ Burn Out หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน ถึงแม้หลายคนจะล่วงรู้ถึงความอันตรายของมันผ่านบทความเชิงจิตวิทยาหรืองานวิจัยในช่วง 2 – 3 ปีมานี้ ทว่าการ “รับรู้” ที่ไม่นำไปสู่การ “เปลี่ยนแปลง” อาจทำให้เรายังคงวนเวียนกับปัญหาแบบเดิม ๆ ดังนั้นวันนี้ SUM UP จะพาทุกคนมารีเช็กตัวเองว่า กำลังเผชิญหน้ากับอาการ Burn Out อยู่หรือไม่ ปัจจัยใดที่ทำให้เราหมดไฟในการทำงาน แล้วเราสามารถเยียวยาสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร 

อาการ Burn Out เป็นอย่างไร 

อาการหมดไฟ หรือ Burn Out คืออาการอ่อนล้าทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ มีสาเหตุมาจากการเผชิญกับความรู้สึกเครียด วิตกกังวล และกดดันมาเป็นระยะเวลานาน จนรู้สึกสูญเสียพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องพบเจอและต่อสู้กับปัญหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ โดยมีอาการที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้

  • รู้สึกอ่อนล้า หมดแรง และไม่สามารถแก้ไขปัญหารอบตัวได้ 
  • ไม่มีความกระตือรือร้นต่องานที่ทำ รู้สึกไม่มีแพสชันในการทำงาน
  • ประสิทธิภาพในการทำงานของตนลดลงอย่างเห็นได้ชัด 
  • ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
  • ไม่มีความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ ๆ 
  • ปวดเมื่อย ป่วยบ่อย ง่วงทั้งวันแต่นอนหลับยาก 

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เรา Burn Out

โดยปกติแล้วอาการ Burn Out หรือหมดไฟในการทำงาน ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ หมดไฟจากการทำงานที่มากเกินไป, หมดไฟจากการทำอะไรได้ไม่เต็มที่, หมดไฟจากการถูกละเลย และหมดไฟมานานจนเริ่มชิน ซึ่งแน่นอนว่าอาการหมดไฟแต่ละแบบขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น

  • ปริมาณงานที่มากเกินไป
  • การเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน (ระบบลูกรัก)
  • การสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพของหัวหน้า
  • การแบกรับความกดดันหรือความรับผิดชอบอันมหาศาล
  • เดดไลน์ที่กระชั้นชิดจนมากเกินไป
  • ถูกละเลยหรือไม่ได้รับคำชื่นชม
  • ถูกเอาเปรียบหรือมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
  • รับประทานอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอ

แล้วเราจะเติมไฟให้ตัวเองอย่างไร 

แน่นอนว่าหลายครั้งเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป เพราะถ้าค่อย ๆ ทำไปก็เสร็จไม่ทันกำหนดส่ง พอไม่สามารถทำงานได้ตามข้อตกลงก็ถูกหัวหน้าต่อว่า เมื่อถูกตำหนิจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงานต่างก็มองว่าเราคือตัวถ่วง และเมื่อเผชิญกับวังวนแบบเดิมซ้ำ ๆ สุดท้ายก็จบลงที่การลาออก หรือไม่ก็กลายเป็นซอมบี้ที่แบกร่างมาทำงานให้ผ่านไปวัน ๆ 

ดังนั้นเราควรหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเอง โดยการพูดคุยกับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมาถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ เนื่องจากอาการหมดไฟส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง พยายามพักผ่อนให้เพียงพอมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ออกกำลังกายหรือหากิจกรรมผ่อนคลายที่ช่วยเพิ่มสมาธิ เช่น โยคะ อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือวาดภาพ หาเพื่อนสนิทสักคนคอยพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสิ่งที่เป็นอยู่อย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เงินและงานจะสำคัญ แต่อย่าปล่อยให้มันเผาไหม้จิตใจของคุณ อย่าหลงลืมว่าคุณเคยมีความตั้งใจมากขนาดไหน มีไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ที่เจ๋งมากเท่าไหร่ ที่สำคัญอย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร เพื่อสิ่งใดกันแน่ สูดหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอยู่ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

ที่มา

https://www.webmd.com/mental-health/burnout-symptoms-signs

AUTHOR

ไม่ชอบคนข้างล่าง