เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับการจัดงาน ‘สถาปนิก’68’ มหกรรมแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง นิทรรศการ และกิจกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับแวดวงสถาปัตยกรรม ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
ใจความหลักของการจัดงานคือการเป็นพื้นที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกในแวดวงสถาปัตยกรรม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกัน ซึ่งถือเป็นวิชาชีพที่มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม มีส่วนสะท้อนงานด้านศิลปวัฒนธรรม และมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย โดยงานนี้ถือว่าเป็นงานที่รวมเอาผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งในไทยและต่างประเทศทุกแขนงมารวมกันในพื้นที่กว่า 75,000 ตารางเมตร ที่เรียกว่าใหญ่ที่สุดในอาเซียนเลยก็ว่าได้สำหรับอีเวนต์ด้านสถาปัตยกรรม
เมื่อกางแผนที่งานทั้งหมดดู เราจะพบว่าภายในงานมีบูธแสดงสินค้าหลากหลายขนาดรวมกว่า 1,000 บูธ โดยมีบูธสินค้าจากต่างประเทศ 316 บูธด้วยกัน มีหลากหลายประเทศตั้งแต่จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย เยอรมัน เวียดนาม ฮ่องกง อิสราเอล ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา เพียงแต่จุดสำคัญที่สุดคือการที่บูธจากบริษัทเอกชนสัญญาติจีนดูจะมีมากเป็นพิเศษภายในงาน รวมถึงมีการจัดโซน ‘China Golden Suppliers’ หรือ ‘China Selective Brands’ กันเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น โดยมีแทรกอยู่กลางงานบ้าง และกระจุกรวมกันอยู่บริเวณโดยรอบของงานอย่างจริงจัง



เพจเฟสบุ๊ก ช่างเถอะ by พี่ปี้ ได้ทำคลิปเดินสำรวจภายในงานทั่วทั้งพื้นที่พบว่า มีบูธจากจีนแทบจะครบทุกประเภทสินค้า ทั้งอุปกรณ์ก่อสร้าง วัสดุตกแต่งบ้าน อุปกรณ์เอนกประสงค์ อุปกรณ์ในแต่ละส่วนของบ้าน อย่างห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น พื้นที่บริเวณบ้าน อีกทั้งยังกล่าวเพิ่มเติมไว้ในคลิปว่าในปีที่ผ่านมาก็มีจำนวนบูธจากจีนมากเกิน 100 บูธ ซึ่งในปีนี้มีมากกว่านั้น และที่สำคัญคือมีบางบูธได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่โซนหลักของงานอีกด้วย
ตีกลม ๆ แล้ว บูธจากผู้ประกอบการชาวจีนในแวดวงสถาปัตยกรรมที่เข้ามาเคาะประตูขายของกันถึงหน้าบ้านเราอย่างจริงจังในงานสถาปนิก’68 อาจมีมากถึง 15-20% หรือ 1 ใน 5 ของงานได้เลย นี่คือสิ่งที่คนในประเทศต้องรับมือกับสถานการณ์การรุกคืบเข้ามาทุกหัวระแหงของประเทศแผ่นดินใหญ่ที่กำลังเรืองอำนาจในแถบเอเชียมากขึ้นเรื่อย ๆ และในขณะเดียวกัน เราก็ต้องตระหนักรู้มากขึ้นในแง่ผู้บริโภค เพื่อทำให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนยังคงอยู่ในบ้านเรามากกว่าที่จะออกไปยังประเทศอื่นนั่นเอง






