รัฐประหาร เชียงใหม่

“เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ  จึงมีความจําเป็นต้องเข้าควบคุมอํานาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2557 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป….” 

บางส่วนของประกาศประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1/2557 โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ

จากการชุมนุมประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2556 ได้บานปลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองระลอกใหม่ รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ตัดสินใจยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปีถัดมา เพื่อคืนอำนาจแก่ประชาชน

แต่เหตุการณ์กลับรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลได้พยายามขัดขวางจนสามารถโค่นล้มการเลือกตั้งในที่สุด จนเกิดภาวะสูญญากาศทางการเมือง และนำไปสู่การเปิดทางให้ทหาร ซึ่งควรอยู่ในกรมกอง ออกมาก่อการยึดอำนาจ โค่นล้มระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ก่อนส่งประเทศเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารครองเมืองยาวนานกว่า 5 ปี

นอกจากกรุงเทพฯแล้ว เชียงใหม่เองก็ถือเป็นอีกพื้นที่ ที่อยู่ในโมเมนต์ทางประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยมาหลายทศวรรษ ไม่ว่าในฐานะฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยหรือเมืองหลวงคนเสื้อแดง รวมไปถึงเหตุการณ์รัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง ณ พื้นที่แห่งนี้ ในโอกาสนี้ เราขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปยังทศวรรษที่แล้ว วันที่เงาเผด็จการครองเมือง

ทันทีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อเย็นวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ขณะที่ทหารเริ่มเข้าประจำการตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่ ประชาชนร่วม 100 คน ได้ร่วมจัดการชุมนุมประท้วงต่อต้านคณะรัฐประหารโดยทันที ณ บริเวณประตูช้างเผือก ท่ามกลางกำลังทหารที่ทยอยเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าว เพื่อตั้งด่านตรวจ โดยผู้ชุมนุม ได้ชูป้ายเขียนข้อความต่อต้าน และประณามทหาร พร้อมทั้งได้มีการจุดเทียนแสดงสัญลักษณ์

การชุมนุมครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม หลังจากที่พลเอกประยุทธ์ ประกาศกฎอัยการศึกในเช้ามืดวันดังกล่าว ท่ามกลางสัญญาณของการรัฐประหารที่เริ่มแน่ชัดมากขึ้น ทำให้ประชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหว จนกระทั่งเมื่อเกิดการยึดอำนาจ ได้มีการชุมนุมประท้วงขึ้นติดกันหลายวัน และเริ่มมีการเดินขบวนประท้วงบริเวณถนนคูเมืองเชียงใหม่ ใกล้กับประตูช้างเผือก จนกระทั่งวันที่ 24 พฤษภาคม ทหารได้เข้าจับกุมผู้ชุมนุมจำนวน 7 – 10 คนในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในขณะนั้น

เมื่อระบอบเผด็จการลงหลักปักฐานเรียบร้อย ได้มีการออกคำสั่งห้ามชุมนุมประท้วง ประกอบกับแกนนำผู้ชุมนุมและนักกิจกรรมหลายรายถูกทหารควบคุมตัว ส่งผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการเป็นไปอย่างยากลำบาก ท่ามกลางอำนาจทมิฬมารที่เข้าครอบงำ แสงสว่างจากปลายเทียนค่อย ๆ จุดขึ้น ภายในรั้วสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นไม่นาน สังคมมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้น ๆ ของประเทศแห่งนี้ ยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศของความอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยมทางสังคมและการเมือง ทั้งระบบโซตัส ไปจนถึงการเข้าร่วมการชุมนุมของ กปปส. โดยนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารขึ้น เริ่มมีการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มต่าง ๆ เพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการผ่านกิจกรรมงานเสวนาวิชาการและการแสดงผลงานศิลปะ

ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2559 การรวมกลุ่มของนักศึกษาเริ่มเป็นขบวนการ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวและเรียกร้องประเด็นทางการเมืองที่แหลมคมมากขึ้น ทำให้ภาครัฐเริ่มมีการดำเนินคดีฟ้องร้องต่อนักศึกษากลุ่มดังกล่าว จนกระทั่งการเสียชีวิตของ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมในปี พ.ศ. 2560 ส่งผลให้นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเพิ่มขึ้นเนื่องจากความไม่พอใจต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐต่อเหตุการณ์ดังกล่าว จนทำให้ขบวนการนักศึกษากลายเป็นกลุ่มมวลชนที่ออกมาต่อต้านเผด็จการ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2516 – 2519

การเคลื่อนไหวของนักศึกษาต่อมาได้ขยายไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2563 – 2564 ในที่สุด ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในเวลาต่อมา โดยในการชุมนุมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563 แกนนำได้อ่านรายชื่อนักศึกษาและชาวนาที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในอดีต 

พร้อมทั้งยกย่องคารวะกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ จนกลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดง กลับมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอีกครั้งร่วมกับขบวนการนักศึกษา หลังจากที่ถูกเผด็จการทหารปราบปรามหลังเกิดการยึดอำนาจ 

เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีที่ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์รัฐประหารครั้งที่ 13 แม้ผู้นำคณะ คสช. อย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเดินออกจากทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 แต่ร่องรอย มรดกของ “ระบอบ คสช.” ยังคงติดค้างอยู่ในการเมืองและสังคมไทยอยู่ และรอคอยเวลาที่ระบอบประชาธิปไตยจะเติบโตพอที่จะถอนรากถอนโคนมรดกเผด็จการได้สำเร็จ

10 ปี แม้ประชาธิปไตยเต็มใบจะกลับมานับหนึ่งอีกครั้ง
แต่มรดกบาปเผด็จการ ยังคงซ่อนลึกอยู่ภายในสังคมและการเมือง
และบทเรียนจากในอดีต คือเครื่องเตือนใจ ไม่ให้ซ้ำรอยอีกในอนาคต

อ้างอิง

AUTHOR

นักออกแบบกราฟิกจากเชียงใหม่ สนใจในเสียงดนตรี ภาพยนตร์ และความเป็นไปของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไปพร้อมกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น