เราอยู่ในยุคที่อุณหภูมิประเทศไทยร้อนเสมือนเอาตัวเข้าไปนั่งอยู่ในหม้อทอดอบลมร้อนขนาดใหญ่ เพราะมันพุ่งสูงที่สุดถึง 42 องศาเซลเซียส มนุษย์เราก็เลยต้องสรรหาอะไรมาคลายร้อนกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกของคลายร้อนคงจะหนีไม่พ้นเครื่องดื่มเย็น ๆ สักขวดมาหักล้างอุณหภูมิร้อนนรกแตกในขณะนี้ น้ำอัดลมก็ถือว่าเป็นตัวเลือกของสายขาดหวานไม่ได้ และในวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้ต้นกำเนิดของเครื่องดื่มอัดลมสีดำที่มีรสชาติโดดเด่น ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบที่เราเรียกมันว่า “โค้ก” หรือ Coca-Cola กัน

เรื่องมันเริ่มจากในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ พันเอกท่านหนึ่งในฝ่ายสมาพันธรัฐนาม John Pemberton (ซึ่งต่อจากนี้เราจะเรียกเขาว่าจอห์น) ได้รับบาดเจ็บจากแผลดาบยาวในการปะทะกันที่โคลัมบัส และเนื่องด้วยจอห์นเคยมีพื้นฐานทางการแพทย์  เลยรู้ว่ามอร์ฟีนบรรเทาความเจ็บปวดได้ดีที่สุด จึงเอามาใช้บรรเทาแผลตัวเองเรื่อย ๆ แต่ตัวจอห์นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาขาดมอร์ฟีนไม่ได้แล้ว และยิ่งเขาใช้มันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ต้องจบลงที่เขาจะติดมอร์ฟีนเหมือนกับทหารคนอื่น (ในยุคนั้นการติดมอร์ฟีนกลายเป็นเรื่องทั่วไปของกองทหาร ถึงขนาดมีการขนานนามว่าอาการเหล่านี้ว่าเป็น Soldier’s disease) หลังจากการปะทะครั้งนั้น จอห์นจึงเริ่มสรรหาสิ่งที่จะมาทดแทนมอร์ฟีน โดยเขาเน้นย้ำว่าสิ่งนั้นจะต้องไม่มีฝิ่นเลยแม้แต่น้อย

ในตอนแรก เขาเริ่มทดลองจนได้สูตรยาสูตรแรกมาในชื่อ “Dr. Tuggle’s Compound Syrup of Globe Flower” ซึ่งมีส่วนผสมหลัก ๆ เป็นพุ่มกระดุมที่เป็นพืชมีพิษ แต่ก็ไม่มีแววจะขายดีสักเท่าไหร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1874 มีแพทย์ที่ชื่อว่า W.H. Bentley ได้ตีพิมพ์งานวิจัยของเขาและบอกว่า การใช้โคคามารักษาอาการติดฝิ่นนั้นเป็นเรื่องดี ในระหว่างที่จอห์นกำลังลองผิดลองถูกกับโคคา จอห์นก็ได้ไปเห็นงานวิจัยนั้นเข้า เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ตัดสินใจหันมาทดลองกับต้นโคคา หลังจากลองผิดลองถูกต่ออีกสักพัก เขาเลยได้ไวน์ที่คล้าย ๆ Vin Mariani ซึ่งเป็นทั้งไวน์และยาในชื่อ “Pemberton’s French Wine Coca” มีส่วนผสมของใบโคคา เมล็ดโคล่า และดาเมียน่าผสมอยู่ด้วย จากนั้นก็นำมาขายในร้านยาที่เมืองแอนแลนตา ในปี ค.ศ.1885

หนึ่งสิ่งที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่คือ สูตรผสมที่กลายมาเป็นสูตรต้นกำเนิดของ Coca-Cola ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในช่วงไหน ในตอนแรกพวกเขาตีว่ามันเกิดขึ้นในช่วงยุค 1870 ในเมืองโคลัมเบีย แต่หลักฐานกลับไม่ชัดว่ามันใช่ยุคนั้นหรือไม่ เพราะมันไม่มีหลักฐานการนำเข้าสองส่วนประกอบหลักสู่เมืองโคลัมเบียเลย ทำให้พวกเขาสรุปได้แค่ว่ามันเกิดในเมืองโคลัมเบียและส่งต่อไปยังเมืองแอตแลนตาแน่ ๆ ตามหลักฐานจากประกาศการเสียชีวิตของ Ann Eliza Clifford Lewis ภรรยาของเขา

แต่แล้วความซวยได้มาเยือนในปีต่อมา เมืองแอนแลนตาพึ่งประกาศสนับสนุนการหยุดเหล้าในเมืองพอดี ทำให้เขาต้องทำไวน์ในเวอร์ชั่นที่ไม่มีแอลกอฮอล์ออกมา เลยไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านยาในเมืองแอตแลนตาที่ชื่อ Willis E. Venable ให้มาเป็นหนูลองยาและเป็นผู้ช่วยปรับให้สูตรมันเป๊ะ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาผสมหัวเชื้อน้ำหวานเดิมที่ใช้ทำ French Wine Coca เข้ากับโซดา จากที่เขาตั้งใจแค่จะหาน้ำหวานมาแก้กระหายเฉย ๆ ทำให้พวกเขาได้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และได้ไอเดียว่าจะเปลี่ยนจากการที่เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นยามาเป็นเครื่องดื่มทั่วไปแทน

หากคุณสงสัยว่าชื่อ “Coca-Cola” มาได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Frank Mason Robinson พนักงานบัญชีเพื่อนสนิทของจอห์นที่แวะมาช่วยระดมสมองหาชื่อแบรนด์ที่เข้ากับเครื่องดื่มนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้เขียนชื่อแบรนด์ในแบบ Spencerian ที่ตอนหลัง ลวดลายนั้นกลายมาเป็นโลโก้ของแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกัน ถึงแม้ว่าจอห์นจะละทิ้งความพยายามที่จะให้มันเป็นยา แต่เขาก็ยังเขียนสรรพคุณต่าง ๆ นานาให้กับเจ้าเครื่องดื่มนี้เหมือนยา และนำมันมาตั้งขายหน้าร้าน Jacob’s Pharmacy ในราคาแค่แก้วละ 5 เซนต์

ในขณะที่ Coca-Cola กำลังทำการตลาดอยู่นั้น จู่ ๆ จอห์นได้ล้มป่วยและใกล้จะสิ้นเนื้อประดาตัวเข้าไปทุกที อันเนื่องมาจากผลที่เขาใช้เงินไปจนเกือบหมดกับมอร์ฟีนที่มีผลพวงมาตั้งแต่สงครามการเมือง เขาเลยตัดสินใจขายสูตรให้กับสามกลุ่มได้แก่เพื่อนร่วมธุรกิจ โดยขายในวันที่ 14 มกราคม 1888, ขายให้กับนักธุรกิจสี่คนและขายให้กับคนขายยาที่ชื่อ Asa Griggs Candler แต่ยังคงสิทธิในชื่อแบรนด์ “Coca-Cola” ให้กับ Charley Pemberton ลูกชายของจอห์น ในขณะที่คนที่ได้ซื้อสูตรมาจากจอห์นทั้งสามคนนั้นสามารถเอาสูตรไปผลิตได้เต็มที่

จากนั้นเรื่องวุ่นวายก็ตามมา Asa Candler ไล่เก็บกรรมสิทธิที่เหลือ, ผลิตเครื่องดื่มออกมาใช้ชื่อ “Yum Yum” และ “Koke” แต่ขายไม่ค่อยออก ในขณะที่ชื่อ “Coca-Cola” ถูกเอาไปใช้กับยารักษาสารพัดโรคแทน, มีข่าวลือว่า Asa บุกไปขอซื้อชื่อแบรนด์จากภรรยาถึงในงานศพของจอห์น, Asa ซื้อชื่อแบรนด์จาก Charley ที่ติดฝิ่นได้สำเร็จ, ไล่ตื้อเจ้าที่เหลือให้ขายสูตรที่พวกเขาถือจนสำเร็จในวันที่ 1 พฤษภาคม 1889, ก่อตั้งบริษัท Coca-Cola (บริษัทในปัจจุบัน), บริษัทถูกซื้อโดยบริษัทสินเชื่อ, Margaret Dozier เจ้าของร่วมของบริษัท Coca-Cola เดิมออกมาบอกว่าลายเซ็นจอห์นบนใบซื้อขายอาจจะโดนปลอมแปลงโดยลูกชายของจอห์นเอง แต่ยังไงก็ตามคนที่ทำให้ Coca-Cola ดังแบบทั่วโลกก็คงเป็นฝีมือของลูกชายบริษัทสินเชื่อที่เข้ามาซื้อบริษัท Coca-Cola อย่าง Robert W. Woodruff ที่ขยับขยายบริษัทอยู่ในระดับนานาชาติและทำให้เรารู้จักเจ้าเครื่องดื่มอัดลมสีดำนี้มาจนถึงปัจจุบัน

AUTHOR

สิ่งมีชีวิตที่หยิบเรื่องรอบตัวมาเขียนมาเล่าให้คนอื่นอ่านและฟัง ส่วนตัวคนเขียนนั้นการอ่านอันดับสอง การนอนอันดับหนึ่ง