โคปา อเมริกา / COPA AMERICA

หลังจากการแข่งขันฟุตบอลระดับทีมชาติทวีปยุโรป หรือ “ยูโร 2024” ได้เริ่มเปิดฉากผ่านมาแล้วเกือบสัปดาห์ ถึงเวลาแแล้วสำหรับอีกหนึ่งการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่อุดมไปด้วยทีมชั้นนำระดับโลก อาทิ แชมป์ฟุตบอลโลกสูงสุด “บราซิล 🇧🇷” และแชมป์โลกล่าสุด “อาเจนติน่า 🇦🇷” และยังมีอดีตแชมป์โลกทีมแรกของโลกอย่าง “อุรุกวัย 🇺🇾” ที่กล่าวมานี้คือทีมชาติตัวแทนจากทาง “ทวีปอเมริกาใต้” ที่มีการดูแลจาก “COMMEBOL” หรือสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้

โดยการแข่งขันฟุตบอลทางฝั่งทวีปอเมริกาถูกเรียกการแข่งขันว่า “โคปาอเมริกา” โดยในปีนี้จะถูกจัดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงวันที่ 21 มิถุนายน – 15 กรกฎาคม นับเป็นการแข่งขันระดับทวีปที่ 4 ของปีนี้ หลังจากที่ต้นปีมีการแข่งขันของทวีปแอฟริกา “แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์” และทวีปเอเชีย “เอเชียนคัพ” ควบกับการแข่งขันกลางปีของทวีปยุโรป “ยูโร” ที่เพิ่งเปิดฉากไป

แม้ว่าฟุตบอลจะมีจุดเริ่มต้นวัฒนธรรมมาจากทวีปยุโรป แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติครั้งแรกถูกจัดขึ้นที่ทวีปอเมริกาใต้ เรียกได้ว่าโคปาอเมริกาคือการแข่งขันชิงแชมป์ทวีปแรกของโลก ก่อนการจัดการแข่งขันยูโรที่ถึงแม้ว่าจะเป็นทวีปผู้บุกเบิกกีฬาชนิดนี้ขึ้นมา วันนี้ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักถ้วยเก่าแก่ใบนี้ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความมันส์ของทีมชั้นนำจากทวีปอเมริกาที่สนุกมันส์ไม่แพ้บอลยูโรในตอนนี้เลย

⚽ วัฒนธรรมฟุตบอลจากชนละติน

หลายคนอาจสงสัย? หากว่ายุโรปคือทวีปที่ก่อกำเนิดวัฒนธรรมการแข่งขันฟุตบอลขึ้นมา แล้วเหตุไฉนกันล่ะ? ทวีปอเมริกาถึงกลายเป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปได้เป็นที่แรกของโลก

มูลเหตุทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ช่วงศตวรรษที่ 19 ดินแดนละตินหรือกลุ่มชนในอดีตที่ตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของยุโรป ประกอบไปด้วย ฝรั่งเศส, อิตาลี, โรมาเนีย, สเปน, โปรตุเกส, อันดอร์รา, มอลโดวา, วัลลูน, โรแมนซ์, กานาเรียส, กาลิเซีย และกาตาลา ประเทศที่กล่าวมานั้นล้วนมีความเป็นมหาอำนาจในช่วงยุคดังกล่าว

เหตุการณ์สำคัญในยุคนั้นหนีไม่พ้นการเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจที่ต้องการครอบครองดินแดนของชาติอื่น ๆ เพื่อขยายอำนาจไปสู่ผลประโยชน์ในประเทศของตน จึงเกิดการล่าอาณานิคม และหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกรุกรานในยุคนั้นก็คือทวีปอเมริกาใต้อย่างที่ทุกคนอาจจะรู้กัน

เมื่อมีการขยายพื้นที่ขยายอำนาจขึ้นจึงเริ่มไปสู่การมีคนจากทวีปยุโรปที่เริ่มขยายวัฒนธรรมและสังคมมาสู่ชาวอเมริกาใต้ และหนึ่งในสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาสู่คนพื้นเมืองหลากหลายทั่วทุกประเทศในแดนนั้นมันก็คือการเล่นฟุตบอลนั่นเอง

เมื่อเทียบกับกีฬาชนิดอื่นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฟุตบอลเป็นสิ่งที่ถูกนำมาต่อกรและเล่นร่วมกับชาวยุโรปที่เข้ามาตามพื้นเมืองแต่ละภูมิภาค หนึ่งลูกบอล ประตูตาข่ายแยกเป็นสองฝั่ง จะเล่นตรงไหน เมื่อไหร่ก็พร้อมจะสนุกสนานต่อกันได้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมฟุตบอลที่พ่วงแฝงกับวัฒนธรรมที่ไม่ได้ถูกคิดขึ้น แต่มันค่อย ๆ แพร่หลายเข้าสู่คนเมือง และกลายเป็นความนิยมไปทั่วทุ่งแดนใต้

⚽ จุดปลดแอกสู่การแข่งขันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ 🇦🇷

เมื่อฟุตบอลกลายมาเป็นความนิยมส่วนหนึ่งของชาติต่าง ๆ ในอเมริกาใต้ ส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้พวกเขาจำเป็นต้องเล่นกีฬา เป็นเพียงแค่การต่อกรจากการรุกรานของชาติยุโรปที่ต้องการครอบงำพวกเขา และเป็นการแสดงออกถึงความเจริญที่พวกเขาไม่ใช่ชนชาวป่าเมืองเถื่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลังจากนั้นชาติยุโรปเริ่มทยอยออกห่างจากดินแดนทางใต้นี้ ทิ้งฟุตบอลให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ที่จะตามมาในอนาคต

ในปี 1910 ประเทศอาเจนติน่าได้ทำการฉลองครบรอบ 100 ปี จากการปลดแอกตัวเองออกจากจักรวรรดิสเปนที่เข้ามาครองอาณานิคมในประเทศพวกเขา จึงมีการเชิญชวนประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง อุรุกวัยและชิลีเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อกระชับความสัมพันธ์จากการถูกรุกรานมานานหลายปีจากเหล่าชาติมหาอำนาจที่เข้ามาครอบครอง และเมื่อเห็นโอกาสจากการกระชับความสัมพันธ์ครั้งนี้นำไปสู่การรวบรวมชาติพันธมิตรเพื่อความสัมพันธ์ในอีก 6 ปีถัดมา

และนั่นเป็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลขึ้นโดยสร้างเป็นสหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ หรือ ที่เรียกว่า CONMEBOL ขึ้น และในปี 1916 ก็ได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปครั้งแรกขึ้น และมากไปกว่านั้นนี่คือการจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปครั้งแรกของโลก ซึ่งยาวนานมากกว่าการเกิด “ฟุตบอลโลก” และ “ยูโร” ที่เรียกว่า “โคปาอเมริกา”

⚽ แชมป์แรก 🇺🇾 และความเป็นไปได้ของการแข่งขัน

ในการแข่งขันแรกมีทีมชาติที่เข้าร่วมการแข่งขัน 4 ทีม ได้แก่ อาเจนติน่า, ชิลี, อุรุกวัย, และบราซิล โดยเป็นการแข่งขันในรูปแบบลีกพบกันทุกคู่ และผู้เป็นแชมป์ครั้งแรกของการแข่งขันนี้ ได้แก่ ทีมชาติอุรุกวัย ที่สถาปนาเป็นเจ้าแห่งโลกฟุตบอลในยุคเริ่มต้น

และในปีถัดไปจึงมีการจัดการแข่งขันต่อจากประเทศอาเจนติน่า เป็นแชมป์อย่างอุรุกวัยที่สานต่อความสำเร็จต่อเนื่องที่จะมาเป็นเจ้าภาพต่อไป และก็เป็นพวกเขาที่ยังคงรักษาแชมป์เอาไว้ได้ในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง

การจัดการแข่งขันถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ปี เพียงแต่ว่าก็มีบางปีที่อาจมีการเลื่อนการแข่งขันตามปัจจัยสภาพแวดล้อมของโลกในยุคนั้น ที่หากมีเหตุการณ์สำคัญขึ้นอาจยุติไปก่อนในบางปี จนกระทั่งมาในปี 1930 การเข้ามาของ “FIFA” หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้ถูกจัดขึ้น และก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ที่ตามมาในการแข่งขัน “ฟุตบอลโลก”

โดยในการแข่งขันฟุตบอลโลกแม้ว่ายุโรปคือชาติที่เริ่มต้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในฟุตบอล แต่ในรอบชิงกลับกลายเป็น 2 ชาติอเมริกาใต้ ที่ต้องการความยิ่งใหญ่ของโลกฟุตบอลเป็นอาเจนติน่า และอุรุกวัยที่เข้าชิงกัน และเป็น “จอมโหด” ทีมชาติอุรุกวัยที่ชนะไปได้ 4 – 2 และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกมาได้นั้นจึงนับเป็นก้าวแรกความยิ่งใหญ่ของฝั่ง CONMEBOL ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฟุตบอลไม่แพ้ชาติที่กำเนิดมา

⚽ จากความบาดหมางสู่การแข่งขันที่ไม่สม่ำเสมอ

หลังจากการแข่งขันบอลโลกครั้งแรกที่เกิดขึ้น จากประเทศพันธมิตรพลิกผันกลายเป็นชาติศัตรู เมื่อแฟนบอลฟ้าขาวต่างแสดงความรุนแรงต่อสถานฑูตทั้งเรื่องการเป็นจำภาพฟุตบอลโลกและความพ่ายแพ้ในรอบชิงจึงก่อเกิดเป็นเหตุการณ์รุนแรงครั้งนึงในโลกฟุตบอล ทำให้มีการยกเลิกจัดการแข่งขันจากปมความขัดแย้ง จากที่สร้างขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันระหว่างประเทศ สู่การห้ำหั่นกันบนสังเวียนพื้นสนามหญ้า

จนกระทั้งในปี 1935 ได้มีการกลับมาจัดการแข่งขันอีกครั้ง แต่ทว่าหลังจากนั้นการบริหารของสมาพันธ์เริ่มไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อการแข่งขันเริ่มมีการจัดขึ้นถี่และบ่อยมากเกินไปทำให้เริ่มมีกระแสห่างหายจากความขลังของถ้วยใบนี้ 

การกอบกู้ศักดิ์ศรีของถ้วยใบนี้เริ่มกลับมาปรับแนวทางกันอีกครั้งเมื่อ 10 ประเทศชาติของทวีปหันมาร่วมมือจัดการแข่งขันอีกครั้ง ในปี 1975 ทั้ง 10 ประเทศจัดการแข่งขันโดยไม่มีเจ้าภาพ และลงเตะไล่เวียนกัน ภายใต้ชื่อที่เรียกครั้งแรกว่า “โคปาอเมริกา” มีการจัดการแข่งขันมาเรื่อย ๆแต่พยายามให้มีการจัดแข่งขันไม่เกิน 4 ปี โดยบางปีก็มีเตะกันไม่เกิน 2 ปี

แม้จะดูเป็นการแข่งขันที่ดูไม่มีระบบระเบียบในการแข่งขัน แต่พวกเขาพยายามสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขัน และด้วยเหตุที่ว่าพวกเขาคือทวีปที่ไม่ได้มีประเทศร่วมเยอะ เมื่อเทียบกับยุโรป เอเชีย และแอฟริกา

ในปี 1993 จึงเริ่มเข้าสู่การเรียนเชิญประเทศอื่นจากต่างทวีปมาร่วมการแข่งขัน อย่างเช่นปีดังกล่าวได้เชิญ 2 ประเทศจากแดนเหนืออย่าง ทีมชาติสหรัฐฯ และทีมชาติเม็กซิโกเข้ามาร่วม โดยในปีนั้นก็เป็นเม็กซิโกที่ทะลุเข้าถึงรอบชิง แต่พลาดให้กับยักษ์ใหญ่ฟ้าขาวอย่าง อาเจนติน่าไปได้

⚽ กลับมาปูทางอีกครั้งโดยมีแขกรับเชิญสู่ โคปาอเมริกา 2024 🇺🇸

หนึ่งในปีที่มีความพิเศษของการแข่งขันนี้ คือ “โคปาอเมริกา 2016” เป็นการครบรอบ 100 ปีของการแข่งขัน และเป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพเป็นประเทศนอกทวีปอย่างอเมริกาที่มีความพร้อมในการจัดการแข่งขัน

โดยในปี 2024 นี้อเมริกาได้กลับมาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอีกครั้ง จากความพร้อมที่เตรียมตัวสำหรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดร่วมกับประเทศเม็กซิโก และประเทศแคนาดา แต่ในโคปาอเมริกานี้ พวกเขาจะขึ้นเพียงแค่ประเทศเดียว

อีกหนึ่งสาเหตุที่โยกไปจัดที่สหรัฐฯ เพราะเดิมทีมชาติเอกวาดอร์เป็นผู้ถูกรับเลือกให้จัดการแข่งขันขึ้น แต่ด้วยปัญหาจากการเมืองภายในของประเทศส่งผลให้พวกเขาคงไม่อยากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และตัดสินใจเลือกอเมริกาที่มีความพร้อมมากกว่า

ปีนี้จะมีทีมตัวแทนอีก 6 ทีมจาก “CONCACEF” หรือ สมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาเหนือ อเมริกา และแคริบเบียน ได้แก่ ทีมชาติสหรัฐฯ 🇺🇸, ทีมชาติแคนาดา 🇨🇦, ทีมชาติเม็กซิโก 🇲🇽, ทีมชาติปานามา 🇵🇦, ทีมชาติจาเมก้า 🇯🇲, และทีมชาติคอสตาริกา 🇨🇷

เมื่อผนวก 10 ทีมจาก CONMEBOL จะรวมเป็น 16 ทีมชาติคัดเป็น 4 กลุ่มดังนี้

  • กลุ่ม A : “แชมป์เก่า” อาเจนติน่า 🇦🇷, เปรู 🇵🇪, ชิลี 🇨🇱, แคนาดา 🇨🇦
  • กลุ่ม B : เม็กซิโก 🇲🇽, เอกวาดอร์ 🇪🇨, เวเนซูเอล่า 🇻🇪, จาเมก้า 🇯🇲
  • กลุ่ม C : สหรัฐฯ อเมริกา 🇺🇸, อุรุกวัย 🇺🇾, ปานามา 🇵🇦, โบลิเวีย 🇧🇴
  • กลุ่ม D : บราซิล 🇧🇷, โคลัมเบีย 🇨🇴, ปารากวัย 🇵🇾, คอสตาริกา 🇨🇷

โดยในนัดเปิดสนามคู่ระหว่าง “แชมป์โลกและโคปาล่าสุด” ทัพฟ้าขาว ทีมชาติอาเจนติน่า พบกับ ทีมชาติแคนาดา ที่สนาม “เมอร์เซเดส – เบนซ์ สเตเดี้ยม” แอทแลนตา สหรัฐฯ ในเช้าวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน (ตามเวลาบ้านเรา) ใครจะเป็นผู้ที่ได้ถ้วยทีมชาติเก่าแก่ที่สุดของโลกไปครอง

อ้างอิง