เมื่อเรานึกถึงการแข่งขันฟุตบอลในระดับทีมชาติ แฟนบอลส่วนมากต่างรอคอยที่จะรับชมการแข่งขัน “ฟุตบอลโลก หรือ ฟีฟ่าเวิลด์คัพ” การแข่งขันของทีมชาติต่างๆทั่วโลกเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของชาติที่ได้รับชัย แต่ความห่างถึงเวลา 4 ปี อาจส่งผลให้แฟนบอลที่รอคอยการแข่งขันอาจเฉาทางความรู้สึก และอยากที่จะได้ดูฟุตบอลในระดับชาติที่นานทีจะมีสักครั้งนึง ทำให้การมาของการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปจึงเกิดขึ้นหลังจากการแข่งฟุตบอลโลกเป็นเวลา 2 ปี และทวีปที่มีความนิยมในฟุตบอล และมีขุมกำลังนักฟุตบอลที่มีศักยภาพอยู่กันเป็นจำนวนมาก ต่างอาศัยค้าแข้งอยู่ในทวีปยุโรป และทำให้เกิดการแข่งขันในระดับทวีปยุโรป ที่มีชื่อว่า “ยูฟ่า ยูโรเปียน ฟุตบอล แชมเปียนชิพ” หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ฟุตบอลยูโร”

ก่อนจะเล่าถึงบอลยูโรในปีนี้ ขอย้อนกลับไปให้เข้าใจถึงที่มาการแข่งขันของศึกลูกหนังระดับทวีปกันก่อน โดยบอลยูโรถูกจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1960 จากแนวความคิดของ “อองรี เดอโลเนย์” เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ในชื่อแรกว่า “ยูโรเปียน เนชั่นส์ คัพ” โดยในช่วงแรกมีทีมที่เข้ารับการแข่งขันเพียง 4 ทีม และจัดรอบชิงชนะเลิศขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส 2 ทีมสุดท้ายที่ได้ชิงชัยกัน คือ 2 ประเทศใหญ่ในขณะนั้นอย่าง “สหภาพโซเวียต” หรือที่เรารู้จักกันคือ “รัสเซีย” พบกับ “ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย” ที่ปัจจุบันแตกออกเป็น 6 ประเทศเอกราชใหม่คือ “เซอร์เบีย, สโลวีเนีย, โครเอเชีย, บอสเนียฯ, มอนเตเนโกร, และมาซิโดเนียเหนือ” ผลชนะที่ได้คือทัพหมีขาวรัสเซียสามารถคว้าแชมป์แรกของยูโรเปียนเนชั่นส์คัพไปได้ด้วยสกอร์ 2-1

ต่อมาในปี ค.ศ. 1968 ถูกเปลี่ยนชื่อจากเดิมเป็นชื่อบอลยูโรที่ใช้ในปัจจุบัน และได้เพิ่มทีมที่เข้ารับการแข่งขันอีก 4 ทีม เป็นการแข่งขันในรูปแบบแบ่งกลุ่ม 8 สาย โดยแชมป์ของแต่ละกลุ่ม จะแข่งกันในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ต้องแข่งกัน 2 นัด ก่อนเข้าสู่รอบตัดเชือก ในปีดังกล่าวเป็นเจ้าภาพประเทศอิตาลีที่ได้แชมป์ไปได้

จนในปี ค.ศ. 1980 ได้เริ่มมีระบบใหม่ที่ใช้กับ 8 ทีม ต้องมาเล่นรอบสุดท้ายที่อิตาลี และแบ่งกันเล่นเป็น 2 กลุ่ม โดยนำแชมป์กลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ ที่จัดขึ้นที่ประเทศอิตาลี ซึ่งทีมที่ได้แชมป์ไปครองคือ “เยอรมันตะวันตก” ที่เอาชนะเบลเยียมไปได้ 2-1

และมีการปรับการแข่งเพิ่มเติมในปี 1984 ที่ประเทศฝรั่งเศสกลับมาจัดอีกครั้ง โดยเปลี่ยนให้นำทั้งอันดับ 1 และ 2 ของกลุ่มมาเข้าสู่รอบตัดเชือกจนถึงนัดชิงชนะเลิศ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มมีการนำ 2 อันดับแรกของกลุ่มนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ โดยเป็นเจ้าภาพอย่างฝรั่งเศสได้แชมป์ไปในปีนั้น 2-0 ต่อสเปน

การแข่งขันดำเนินมาถึงปี ค.ศ. 1996 จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ได้เพิ่มทีมเข้าแข่งขันกลายเป็น 16 ทีม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดย 2 อันดับแรกของกลุ่มจะถูกนำมาแข่งต่อในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนี้ในปีดังกล่าวยังนำกฏฟุตบอลชื่อดัง “โกลเด้น โกลด์” เข้ามาใช้ในการแข่งขัน โดยกฏนี้จะใช้ได้เมื่อการแข่งขันครบ 90 นาที และผลสกอร์ยังเสมอกันอยู่ จะทำการต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ทีมไหนที่ยิงประตูได้ในนาทีดังกล่าวจะถือเป็นผู้ชนะแล้วจบเกมทันที โดยกฏนี้ถูกนำมาพูดถึงอย่างมากในปี ค.ศ. 2000 เมื่อ “ดาวิด เทรเซเกต์” ยิงประตูได้ช่วงเวลานี้ และพาฝรั่งเศสชนะอิตาลีในรอบชิง และคว้าแชมป์ไปได้ แม้จะส่งผลให้เกิดความน่าตื้นเต้นแต่ในเวลาถัดมากฏนี้ก็ได้ถูกนำออกไปนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 เหลือเพียงความทรงจำดีๆที่เคยเกิดขึ้นในการแข่งขันนี้

ในปี ค.ศ. 2016 เป็นการกลับมาจัดบอลยูโรอีกครั้งของฝรั่งเศส และเพิ่มทีมเข้าแข่งขันรวมทั้งหมด 24 ทีม จนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเป็นการแข่งขันเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ซึ่งมีวิธีคัดเข้าสู่รอบต่อไปโดยการนำอันดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับ 12 ทีม และยังรวมทีมที่จบอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม รวมทั้งหมด 16 ทีม เพื่อคัดเข้าสู่รอบถัดไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และกติกานี้ก็ถูกนำไปใช้กับบอลทวีปต่างๆ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับทีมที่จบอันดับ 3 ได้มีโอกาสเข้าสู่รอบถัดไป ซึ่งในปีนั้นประเทศโปรตุเกสแม้จะจบอันดับที่ 3 ของกลุ่มเอฟ แต่สามารถคว้าแชมป์ที่ฝรั่งเศสในปีนั้นได้

สำหรับปีนี้ของบอลยูโร จะจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมนี้ โดยมี “สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป” หรือที่เรียกกันว่า “ยูฟ่า” เป็นผู้ดูแลการแข่งขัน ใน 10 เมืองของประเทศเจ้าภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมปีที่แล้ว ตามเวลาประเทศไทยได้ทำการจับสลากแบ่งทั้ง 6 กลุ่มเป็นที่เรียบร้อย โดยมีทีมที่เข้ารอบสุดท้ายดังนี้

  • กลุ่ม เอ : เยอรมัน (เจ้าภาพ), สกอตแลนด์, ฮังการี, สวิตเซอร์แลนด์
  • กลุ่ม บี : สเปน, โครเอเชีย, อิตาลี, แอลเบเนีย
  • กลุ่ม ซี : สโลวีเนีย, เดนมาร์ก, เซอร์เบีย, อังกฤษ
  • กลุ่ม ดี : ทีมชนะรอบเพลย์ออฟสายเอ, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, ฝรั่งเศส
  • กลุ่ม อี : เบลเยียม, สโลวาเกีย, โรมาเนีย, ทีมชนะรอบเพลน์ออฟสายบี
  • กลุ่ม เอฟ : ตุรกี, ทีมชนะรอบเพลย์ออฟสายซี, โปรตุเกส, เช็ก

จากผลการจับสลากจะพบว่าอีก 3 ทีมที่รอเข้ารอบจะทำการแข่งขันรูปแบบเพลย์ออฟ โดยจะคัดจากอีกหนึ่งรายการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยยูฟ่า ในนามว่า “ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก” ที่คล้ายกับชื่อแรกของการแข่งขันบอลยูโร โดยการคัดทีมจากรายการนี้ จะนำไปสู่รอบชิงชนะเลิศในวันที่ 26 มีนาคมนี้ และนำ 3 ทีมนั้นมาสู่การแข่งขันฟุตบอลยูโร ประจำปี 2024

โดยคู่แรกของยูโร 2024 เป็นการเปิดสนามของเจ้าภาพทัพอินทรีเหล็ก “เยอรมัน” พบกับ ทัพวิสกี้ “สกอตแลนด์” เริ่มนัดแรกในวันที่ 15 มิถุนายน ตี 2 ตามเวลาประเทศไทย นับถอยหลังอีก 3 เดือน ศึกฟุตบอลทวีปยุโรปกำลังจะเริ่มขึ้น เราจะถยอยนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของฟุตบอลยูโรในปีนี้ และนอกจากฟุตบอลในทวีปยุโรปแล้ว ยังมีการแข่งขันของทวีปอเมริกาที่ทำการแข่งขันในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อดใจรอเอาไว้ เตรียมพบกันกับเนื้อหาที่กำลังจะนำมาเสิร์ฟให้ทุกท่านเร็วๆนี้ ทาง Sum Up นะครับ

ฟุตบอลยูโร 2024

อ้างอิง