จากงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ระหว่างจุฬาฯและธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงขบวนพาเหรดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการอันเชิญพระเกี้ยวเข้าสู่สนาม จากที่ก่อนหน้านี้จะใช้นิสิตชายจุฬาฯ ในการแบกหามเสลี่ยงอันเชิญพระเกี้ยวพร้อมกับผู้อันเชิญที่ได้รับการคัดเลือกในแต่ละปี แต่ปีนี้ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นรถกอล์ฟพลังงานไฟฟ้าเพื่ออันเชิญพระเกี้ยวเข้าสู่สนาม พร้อมกับการตกแต่งเพื่อให้เข้ากับแนวคิดในปีล่าสุด

ความพิเศษของปีนี้คือนิสิตนักศึกษาของทั้งสองสถาบันเป็นผู้จัดเอง จึงใช้ชื่อว่าฟุตบอลสานสัมพันธ์แทนที่จะใช้ฟุตบอลประเพณีเหมือนปีก่อนหน้า เนื่องจากสมาคมศิษย์เก่าของทั้งสองสถาบันได้ประกาศถอนตัวไม่รับเป็นเจ้าภาพเหมือนทุกปีก่อนหน้านี้ อีกทั้งทางคณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ประกาศเรื่องการยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ในปี 2564 โดยให้เหตุผลว่า

“รูปแบบกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว ยังเป็นภาพแทนของวัฒนธรรมแบบศักดินาที่ยกกลุ่มคนหนึ่งสูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง พร้อมสัญลักษณ์ของศักดินาคือ “พระเกี้ยว” บนเสลี่ยง ในส่วนของกระบวนการคัดเลือกผู้อันเชิญฯ ยังเป็นที่กังขาถึงความโปร่งใส และยังมีข้อกังขาว่าเป็นการสนับสนุนความเป็นอภิสิทธิ์ชนผ่านค่านิยมมาตรฐานความงามแบบใดแบบหนึ่งในสังคม นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้อำนาจในการบังคับให้คนต้องมาแบกเสลี่ยง ดังที่เห็นจากกระบวนการหานิสิตหอในเพื่อมาแบกเสลี่ยงเข้าสนามนั้นมีการบังคับ ผ่านการอ้างว่าจะมีผลต่อคะแนนการคัดเลือกให้มีสิทธิอยู่ในหอพัก”

เสียงวิพากษ์ต่อการอันเชิญพระเกี้ยว

แม้งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ จะเป็นงานฟุตบอลที่จัดกันมานาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างานดังกล่าวมักจะมีนัยยะแฝงทางการเมืองอยู่ในงานทุกครั้ง ซึ่งจะแสดงออกผ่านกิจกรรมในงาน ทั้งขบวนพาเหรดโดยเฉพาะขบวนล้อการเมืองของกลุ่มอิสระมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การแปรอักษรของทั้งสองสถาบัน เป็นต้น เป็นภาพสะท้อนมุมมองของนิสิตนักศึกษาของทั้งสองสถาบันที่มีต่อสังคมและการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา สร้างเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์ต่อสังคมในวงกว้างไปพร้อมกัน

แต่ในปีนี้เสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์กลับมุ่งเป้าไปที่การอันเชิญพระเกี้ยวของขบวนพาเหรดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปลี่ยนรูปแบบจากใช้นิสิตแบกหามเป็นรถกอล์ฟ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใหญ่ในสังคมค่อนข้างรุนแรงถึงการอันเชิญพระเกี้ยว โดยเฉพาะผู้ใหญ่บางท่านที่ประกาศขนาดว่าไม่รับคนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าทำงานอันเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ 

หากวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้แล้วเราจะพบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนประกาศอะไรเช่นนี้ในที่สาธารณะ เราอาจพบเห็นผู้สูงอายุหลายท่านที่รู้สึกไม่ชอบหรือไม่สบายใจกับสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่ ๆ คิดและทำ เพราะมันดูละเมิดบรรทัดฐานและค่านิยมที่เขาเหล่านั้นมองว่าดีงามและถูกต้องในช่วงเวลาและบริบทของเขาในช่วงเวลาขณะนั้น เช่นเดียวกัน ในการทำงานที่คนสองรุ่นต้องเผชิญหน้ากัน เราต่างต้องพบกับความคิดและการทำงานที่ต่างรูปแบบกันสุดขั้ว นำมาสู่มุมมองที่ต่างกัน ทั้งในด้านบวกและลบ บางครั้งไม่สามารถประนีประนอมกันได้ นำมาสู่การแตกหักในการร่วมงานกัน เราจะได้เห็นต่างคนต่างมาไล่กันและกันออกจากสังคมไปจนถึงประเทศบ่อย ๆ

พระเกี้ยว งานบอล จุฬา-ธรรมศาสตร์ 2024 / Sum Up

จากกระแสความคิดเห็น การวิจารณ์ ของบุคคลทั่วไป รวมถึงศิษย์เก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถึงรูปแบบการอันเชิญดังกล่าว เราพบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ว่า ไม่สมเกียรติต่อพระเกี้ยว เพราะเป็นของพระราชทาน และส่วนใหญ่ต้องการให้ใช้รูปแบบเดิมในการอันเชิญพระเกี้ยวจากที่เคยปฏิบัติกันมาในการจัดฟุตบอลประเพณี อย่างไรก็ตามก็มีเสียงสนับสนุนว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ตรงกับแนวคิดหลักของทีมงานและไม่เป็นการเอาเปรียบใช้แรงงานนิสิต ซึ่งมีทั้งผู้ใหญ่ทั้งศิษย์เก่าและบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับทั้งสองสถาบันมาร่วมแสดงความเห็น และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว สะท้อนถึงความแตกต่างทางวิธีคิดระหว่างวัย มุมมองต่อผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กจากการเปลี่ยนรูปแบบขนบประเพณี ไปจนถึงวิธีการทำงานในชีวิตประจำวันของเด็กรุ่นใหม่

สุดท้ายต่อให้จะรู้สึกขุ่นเคือง ไม่ชอบวิธีการของกันและกันแค่ไหน แต่ทั้งสองรุ่นก็ไม่สามารถหนีความเป็นจริงไปได้ว่าเราต้องอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องพบเจอกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่สิ่งที่จะทำให้คนทุกคนอยู่ได้นั้นคือความเคารพซึ่งกันและกัน มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเป็นคนยอมก่อนหรือยอมหลัง ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการหาพื้นที่ตรงกลางในการประนีประนอมกันทั้งในทางความคิดและการกระทำของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับว่าต่างคนต่างขาดคือ ประสบการณ์และความสดใหม่ของความรู้แนวคิดและวิธีการการบอก-เตือน ซึ่งถ้าเขาไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา ทุกสิ่งที่เขาคิดและทำไปมันจะเป็นประสบการณ์ให้เขาและเราเรียนรู้และเติบโตไปพร้อม ๆ กัน

อ้างอิง :