ขอถามก่อนเป็นอันดับแรก คุณรู้จัก Food Court กันบ้างมั้ย หรือหากให้นึกไว ๆ พื้นที่เหล่านั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร

สำหรับเรามันคงเป็นพื้นที่กว้าง ๆ โล่ง ๆ ที่ใดที่หนึ่งในห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้าที่มีจุดแลกคูปอง และเมนูอาหารมากมายจากร้านรวงหลัก 20 – 40 ร้านกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่

ถ้าเราจะบอกว่าร้านอาหาร ‘แดง-ดำ’ ที่เรากำลังจะพาคุณไปรู้จักในวันนี้เป็นเพียงแค่ร้านอาหารร้านเดียว จำนวนโต๊ะราว 40 – 50 โต๊ะ แต่มีเมนูจานเดียวให้คุณกินเป็นร้อยอย่างเลยล่ะ คุณจะนึกออกมั้ยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

เราอาจจะเล่าเวอร์ไปอย่างนั้น เพราะจริง ๆ ร้านอาหารเบื้องหน้าเราก็มีหน้าตาไม่แตกต่างจากร้านอาหารในอาคารทั่วไปมากนัก พื้นที่ 2 คูหาที่เรายืนอยู่ถูกแบ่งสรรปันส่วนเป็นอย่างดี เพียงแต่หน้าตาของโซนอาหารทั้งหมดอาจจะแปลกตาไปสักหน่อย หม้อก๋วยเตี๋ยวก็มี ถาดข้าวแกงก็มา ขาหมูหมักไวน์แดงก็โชว์อยู่ตรงนั้น โซนขนมจีนก็อยู่ข้าง ๆ กันตรงนี้ ข้างนอกนั่นมีเตาหมูสะเต๊ะอีก จะมีร้านอาหารสักกี่ร้านกันที่เมนูหลากหลาย และรอให้คุณชิมมากมายเท่านี้

จากความสงสัยจึงเป็นต้นทางให้เรามาหา ‘น้ำหวาน คลังพหล’ เจ้าของธุรกิจร้านอาหารแห่งนี้ เพื่อหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้จาก ‘ลูกชิ้นเนื้อบรรจุถุง’ จะถูกปรุงและสร้างสรรค์จนกลายเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว และเพิ่มเมนูมากมายจนบานปลายเป็นสิ่งที่เราขอเรียกว่า ‘ศูนย์อาหารขนาดย่อม’ กลางเมืองพัทยาได้ขนาดนี้กัน

จุดเริ่มต้นของ ‘แดง-ดำ’

ต้องเท้าความว่า ‘พี่แดง-เยาว์ คลังพหล’ สามีของพี่น้ำหวานเดินทางมาอยู่พัทยาก่อนตั้งแต่ปี 2517 โดยเขาประกอบอาชีพในโรงแรมในช่วงนั้นที่มีเพียงไม่กี่แห่ง บริเวณหน้าหาดวงศ์อมาตย์ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานนักพี่น้ำหวานจะเดินทางมาอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องเป็นราว โดยเธอเป็นแม่บ้านคอยดูแลที่อยู่อาศัยของเธอและสามี ซึ่งเป็นบ้านพักพนักงานที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่สามีทำงานอยู่นั่นเอง

จนกระทั่งการมีลูก และพี่น้ำหวานเห็นว่าลูกโตขึ้นทุกวัน จึงอยากทำนู่นทำนี่เพื่อช่วยให้ครอบครัวขยับอะไรได้เพิ่มเติมบ้าง เริ่มจากทำข้าวต้มมัดขายง่าย ๆ ในซอยใกล้เคียงบ้านพัก แล้วก็เปลี่ยนมาขายผัดไทยกับก๋วยเตี๋ยวราดหน้า จากการที่แม่สามีขายอาหารแบบนี้เหมือนกันอยู่ที่ศรีย่าน กรุงเทพฯ เธอจึงตัดสินใจเช่าที่เล็ก ๆ ในโครงการหมู่บ้านร้อยหลัง แถวศรีราชาขายสองเมนูนี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นร้านอาหารตามสั่งอีกราว 1 ปีกว่า

“น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้” คือคำที่พี่น้ำหวานพูดถึงตัวเองตอนเริ่มต้นทำข้าวต้มมัดอย่างเดียว และเป็นคำที่ ‘พี่ดำ-ศิวดล สุคนธสิทธิ์’ พี่ชายของสามีพูดกับเธอเหมือนกันตอนที่เห็นว่าพี่น้ำหวานทำร้านขายอาหารที่มีเมนูหลักเพียง 2 เมนูเท่านั้น และคิดว่าควรเปลี่ยนให้ขายได้เยอะกว่าเดิม

หลังจากทำร้านอาหารตามสั่งได้ไม่นานนัก ก็มีครอบครัวฝั่งสามีบางส่วนเข้ามาช่วยลงแรงให้กิจการขยับขยายออกไป ก่อนที่พี่ชายของสามีจะไปได้งานที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง และหมดสัญญาจ้างในช่งเวลาต่อมา พี่ชายของสามีจึงต้องการหาลู่ทางทำงานต่อ โดยหนทางที่เลือกนั่นคือการที่เห็นอาชีพใหม่ในพื้นที่ศรีย่านที่กำลังไปได้สวยในช่วงนั้น อย่าง ‘ลูกชิ้นเนื้อ’ จากพื้นฐานการเป็นคนทำอาหารอยู่แล้ว เลยคิดว่าการทำสิ่งนี้ในพื้นที่ชลบุรีอาจจะไปได้สวยเช่นกัน

ธุรกิจใหม่ครั้งนี้จึงเริ่มต้นอย่างสุดฝีมือ เริ่มจากการที่พี่ดำต้องขับรถไปรับเนื้อวัวที่ตลาดเทเวศร์ กรุงเทพฯ เพื่อเอามาส่งที่พัทยาตอนตี 2 เพื่อให้พี่น้ำหวานเอามาทำเป็นลูกชิ้นเนื้อขาย ที่แม้จะเป็นการทำอย่างยากลำบาก เพราะกรรมวิธีทำลูกชิ้นเนื้อนั้นต้องทำตอนที่ยังเรียก ‘เนื้อเป็น’ อยู่เท่านั้น คือเนื้อวัวยังเต้น บางครั้งหากกะจังหวะเวลาในการใส่น้ำแข็ง หรือเครื่องปรุงไม่ดี เนื้อเหล่านั้นก็จะกลายเป็น ‘เนื้อตาย’ ที่ทำให้ลูกชิ้นมีเนื้อแข็ง ไม่ยืดหยุ่น และจะนำมาสู่ความไม่อร่อย พี่น้ำหวานลองผิดลองถูกอยู่หลายหน เอาวัตถุดิบของลูกชิ้นเนื้อไปทิ้งก็หลายครั้ง ขาดทุนไปก็หลายบาท กว่าลูกชิ้นเนื้อจะออกมาพร้อมขาย

เมื่อลูกชิ้นเนื้อถูกพัฒนา และลองผิดลองถูกจนสำเร็จ พี่น้ำหวานจึงลองเอาลูกชิ้นเนื้อไปเสนอขายกับร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อน้ำใสแถวลานโพธิ์ แต่เขาไม่รับ จากความไม่รู้จักที่มาที่ไป ด้วยความจนหนทาง พี่น้ำหวานจึงแจกผู้คนเสียเลย นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ผู้คนได้ลองชิมความอร่อยของลูกชิ้นเนื้อที่เธอทำ และกลายเป็นการไอเดียในการต่อยอดเป็นกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อน้ำใสในเวลาต่อมา

ในปี 2526 ช่วงที่กำลังหาทำเลใหม่ของธุรกิจครั้งนี้ ‘คุณสุธรรม พันธุศักดิ์’ เจ้าของธุรกิจ Tiffany’s Show Pattaya รุ่นพี่ที่พี่แดงรู้จักมักจี่เป็นทุนเดิมเสนอว่า ถ้าจะลงทุนทำร้านอาหารก็ไม่ต้องไปทำที่ไหนไกล มาลองเปิดขายตรงข้ามทิฟฟานี่สิ แถมช่วงแรกยังเปิดให้ขายฟรีอีกด้วย จึงกลายเป็น ‘ร้านอาหารแดง-ดำ’ ที่ได้ชื่อร้านมาจากชื่อสามี ‘แดง’ และชื่อพี่ชายสามี ‘ดำ’ นั่นเอง

เพราะแดง-ดำ ก็อยากจะเป็น ‘เจ้ายุทธจักร’ เหมือนกัน

ช่วงแรกของการทำร้านอาหารแดง-ดำ พี่น้ำหวานและพี่ดำเป็นหัวเรือใหญ่ของร้านกันเพียง 2 คน เพราะในขณะนั้นพี่แดง สามีของพี่น้ำหวานยังคงทำงานประจำอยู่ และก็เป็นธรรมดาที่ร้านเปิดใหม่จะมีลูกค้าไม่เยอะ เพราะส่วนมากฐานลูกค้าในบริเวณนั้นก็หนีไม่พ้นคนที่ทำงานอยู่ใน Tiffany’s Show Pattaya ร้านค้าเพื่อนบ้านในทำเลเดียวกันก็มีน้อย อย่างร้านอาหารญี่ปุ่นในช่วงนั้นที่ชื่ออากาม็อง แล้วยิ่งการที่ร้านไปเปิดในทำเลที่หาลูกค้าขาจรยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การจะเป็นที่รู้จักหรือโด่งดังอาจเป็นเรื่องยาก

ในเวลาต่อมาอีกเกือบ 2 ปี พี่น้ำหวานจึงตัดสินใจย้ายร้าน และมีคนที่รู้จักซึ่งทำงานอยู่ที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ที่มีทำเลอยู่บนเส้นพัทยากลางเสนอพื้นที่บริเวณนี้มาให้ ซึ่งช่วงเวลานั้นถนนพัทยากลางก็กลายเป็นจุดที่คนทำธุรกิจมาจับจองกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งร้านเลือดหมูบุญสืบ, ร้านเลือดหมูคุณศรี, ร้านแม่ศรีเรือน, ร้านอาหารดีพร้อม หรือร้านราชาข้าวต้ม ผักบุ้งลอยฟ้า และต้องบอกว่าร้านอาหารเหล่านี้ในทำเลนี้ ไม่มีผิดหวัง เพราะแขกแน่นร้านกันทุกเจ้า

คนที่เสนอทำเลให้พี่น้ำหวานถึงกับบอกว่า “ถ้าจะไปอยู่ตรงนั้นได้ ต้องเป็นหนึ่งในยุทธจักรนะ” เธอเลยบอกว่า “หวานก็จะเอาตัวเองให้เป็นหนึ่งในยุทธจักรเหมือนกัน”

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ร้านอาหารแดง-ดำ ย้ายทำเลจากเส้นพัทยาสาย 2 มายังเส้นพัทยากลาง ซึ่งส่งผลให้คนเดินทางมากินกันจนแน่นร้าน ถึงขนาดที่พี่น้ำหวานและน้องของพี่แดง ที่รับตำแหน่งคนลวกเส้นและเทวัตถุดิบใส่ชามกัน 2 คนทำลูกชิ้นเนื้อน้ำใสกันจนไม่หวาดไม่ไหว และต้องขอปิดร้านช่วงบ่ายเพราะทำไม่ไหว จนช่วงหนึ่งผิวหนังพี่น้ำหวานแตกลายเป็นหนังงู และร้องไห้เพราะกลัวว่าจะรักษาไม่หายเลยทีเดียว

ซึ่งแม้จะกลัวผลกระทบกับร่างกาย แต่เธอก็ยังคงไม่ปล่อยให้ตำแหน่งหน้าเตานี้เป็นคนอื่นมาทำ เพราะกลัวว่าความพิถีพิถันอาจจะไม่สุดเท่าเธอและน้องของพี่แดงในฐานะเจ้าของร้านเอง จนกลายเป็นรสมือหลัก ๆ ที่ทำให้ผู้คนติดใจในรสชาติเรื่อยมา

จากเมนูแรก สู่การขยายเมนูเพิ่มเกือบหลักร้อยเมนู

ตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน ‘ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อน้ำใส’ เป็นเมนูเดียวที่ร้านมีอยู่ตั้งแต่สาขาเดิมบนถนนพัทยาสาย 2 ก่อนที่พี่น้ำหวานจะสังเกตเห็นว่าลูกค้าบางคนไม่กินเนื้อ จนทำให้กลุ่มลูกค้าบางคนสั่งเมนูของร้านกินแค่ 2 คน อีก 3 คน และระยะแรกเธออะลุ่มอล่วยให้หิ้วอาหารจากข้างนอกมากินได้ และเกิดไอเดียการขยายเมนูที่สองเพิ่มมาอย่าง ‘กระเพาะปลา’ 

พอเห็นว่าสองเมนูแรกเป็นเมนูรสจืด เธอเลยอยากเพิ่มเมนูรสจัดเข้ามา กลายเป็นเมนู ‘เย็นตาโฟ’ ซึ่งเป็นเมนูเรือธงของร้านในปัจจุบันที่พี่น้ำหวานคิดค้นกันกับพี่ดำ

จุดที่น่าสนใจของเมนูที่สามนี้คือความโด่งดังในปัจจุบันหากพูดถึงร้านอาหารแดง-ดำ เพราะซอสเย็นตาโฟของที่นี่ไม่ใส่ซอสแดง และไม่มีเต้าหู้ยี้เป็นส่วนประกอบ เราสงสัยว่าเพราะอะไร พี่น้ำหวานจึงขยายความให้เราฟังว่าเมนูเย็นตาโฟโดยทั่วไปอาจจะเริ่มต้นด้วยน้ำซุปที่ต่างกัน แต่พอถึงขั้นตอนสำคัญอย่างการใส่ซอสเย็นตาโฟ ดันใส่เหมือน ๆ กัน ทำให้รสชาติที่ออกมาแทบจะหาความแตกต่างยากเหลือเกิน

อีกทั้งวัตถุดิบหลักของเมนูนี้อย่าง ‘ซอสแดงบรรจุขวด’ ก็เป็นส่วนสำคัญที่เธอมองว่าเป็นวัตถุดิบที่คนมักมองว่าราคาถูก และเป็นของทั่ว ๆ ไป วัตถุดิบข้างในเอาอะไรมาทำบ้างเธอก็ไม่อาจทราบได้ และจะดีกว่ามั้ยถ้าเธอจะสร้างซอสแดงนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง

เธอจึงตั้งใจตั้งแต่วิธีคิดแรกเลยนั่นคือการเลือกใช้วัตถุดิบดี ๆ เท่านั้น ซึ่งอาจจะวัดผลด้วยคุณภาพ หรือเรื่องราคาที่ไม่ถูกจนเกินไปนัก เพื่อให้ของมีคุณภาพมารวมกันอยู่ในซอสตัวนี้ ทั้งจากซอสมะเขือเทศ กระเทียม พริกไทย พริกน้ำส้มที่ดองเอง หัวน้ำซุปที่เคี่ยวจนเหลือเพียงนิด น้ำตาล น้ำปลา และเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ที่กลายเป็นซอสสูตรพิเศษที่สร้างความแตกต่างจากร้านอื่น

และโจทย์สำคัญคือการไม่ใส่เต้าหู้ยี้ เพราะเธอคิดเผื่อถึงคนที่อาจจะไม่ชอบสิ่งนี้ และคิดว่าหากใส่เต้าหู้ยี้ โอกาสจะเหมือนซอสแดงก็ยิ่งสูง ไหน ๆ ถ้าจะแตกต่าง สู้ไม่ใส่เลยจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

ในช่วงแรกผู้ได้ลองกินเมนูนี้บางคนก็ดูไม่คุ้นเคย กับการบอกว่าเมนูเย็นตาโฟที่นี่ไม่มีซอสเต้าหู้ยี้นะ แต่มันก็ยังเป็นเย็นตาโฟได้ จนตอนแรกพี่น้ำหวานกะจะลองเอาเต้าหู้ยี้ไปวางเป็นเครื่องปรุงรสเพิ่มบนโต๊ะลูกค้าแล้วด้วย แต่ไม่ได้ทำขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะไปทำให้รสชาติเอกลักษณ์ดั้งเดิมของเมนูนี้ที่อุตส่าห์สร้างสรรค์มาเสียอรรถรสไป

จนเวลาผ่านมาเข้าสู่ช่วงที่ร้านอาหารแดง-ดำ จะย้ายร้านมาอยู่บริเวณพัทยากลาง ซึ่งพื้นที่ในร้านขยับขยายไปเยอะขึ้น ทำให้เมนูเดิมที่มีอยู่อาจจะไม่พอ จึงเกิดเป็นไลน์อาหารใหม่ ๆ เพิ่มเติมขึ้นมามากมาย

อย่างเช่นเมนูข้าวแกงที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพราะมองว่าไม่ได้ทำยากเหมือนอาหารตามสั่ง อย่างน้อยสามารถดูแลและควบคุมคุณภาพไปด้วยกันกับไลน์อาหารหลักได้ และยังเพิ่มฐานลูกค้าได้ด้วย ซึ่งวิธีควบคุมคุณภาพเมนูข้าวแกงแบบพี่น้ำหวาน คือการไม่ทำอาหารออกไปเป็นจำนวนมาก เพราะหากทิ้งไว้นานจะเซ็งเสียก่อน สมมติเมนูแกงร้านอื่นอาจจะทำเต็มหม้อเบอร์ 30 (ขนาดประมาณ 9.8 ลิตร) พี่น้ำหวานก็ทำแค่ครึ่งเดียว ขายให้หมด แล้วค่อยทำเติมใหม่

พอมีเมนูข้าวแกง ก็น่าจะมีเมนูต้มไว้ซดแก้ฝืดคอ เลยมีเมนูชามน้ำเพิ่มเติมขึ้นมา เพิ่มเมนูของทอด และของทานเล่นขึ้นมาเพื่อกินแกล้มเมนูหลัก เพิ่มเมนูข้าวขาหมูหมักไวน์แดงขึ้นมาจากการเป็นเมนูที่พี่แดงชอบกิน แล้วอยากลองใส่ลูกเล่นของความหอมลงไป จึงทดลองใส่ไวน์แดง ปรากฎว่าอร่อยจึงนำมาใส่เป็นเมนู นอกจากนี้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยังมีเมนูพิเศษอย่างขนมจีนน้ำยาเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ

หรือเมนูเอกลักษณ์ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามาในเมนูอย่าง ‘ข้าวผัดแดง-ดำ’ ก็เป็นอีกเมนูที่เธอภูมิใจนำเสนอ เพราะเป็นเมนูที่เธอตั้งใจให้รวมของดีที่ร้านมีอยู่ในจานเดียว ทั้งของทะเล และผักคะน้า พร้อมรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์สมชื่อเมนู

สมมติ ณ วินาทีนี้คุณกำลังเปิดดูเล่มเมนูของร้าน จะพบว่ารูปแบบอาหารมันมีหลากหลายเสียเหลือเกิน นอกจากร้านอาหารประเภทตามสั่งที่มีเมนูเยอะแล้ว ร้านอาหารแดง-ดำเองก็ดูจะเป็นร้านอาหารที่มีตัวเลือกอาหารจานเดียวให้กินเยอะราวกับเป็นศูนย์อาหารในห้างอย่างไรอย่างนั้น เราจึงถามด้วยความสงสัยว่าพี่น้ำหวานทำยังไงให้ทุกเมนูมีความสำคัญเท่า ๆ กัน และโฟกัสคุณภาพได้พร้อม ๆ กันแบบนี้

เธอบอกอย่างไม่ลังเลว่าการจดจ้อง และทิ้งอะไรไปไม่ได้คือสิ่งสำคัญ ถ้าวัตถุดิบดี และทุกอย่างที่ทดลองชิมอยู่ในมาตรฐาน ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณภาพอาหารทุกหมวด และทุกจานขาดตกบกพร่อง ยิ่งไปกว่านั้นเมนูทั้งหมดตั้งแต่เปิดร้าน และเพิ่มเติมมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังคงอยู่ทุกชนิด ไม่เคยมีอะไรเลิกขายเลย

เคล็ดลับสำคัญอยู่ใน ‘วัตถุดิบ’

อย่างที่บอกไปในหัวข้อเมื่อครู่ว่าสุดท้ายแล้วร้านอาหารที่ทำเมนูอาหารจานเดียวเยอะขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องกังวลเลยว่าอะไรจะขาดตกบกพร่อง ส่วนหนึ่งมาจากต้นทางของการคัดเลือกวัตถุดิบที่วางใจได้ในเรื่องคุณภาพ

ตัวอย่างเช่น ‘พริกคั่ว’ ของทางร้าน ซึ่งจะเลือกใช้แค่พริกขี้หนูยอดสนแห้งเท่านั้น หรือส่วนผสมในซอสเย็นตาโฟที่เลือกใช้พริกขี้หนูสวนจากจันทบุรี ที่น่าเล่าคือตอนที่พี่น้ำหวานเขียนมูลค่าวัตถุดิบไว้เพื่อคุมต้นทุน ตอนนั้นพริกขี้หนูสวนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท แต่ตอนนี้ราคาพุ่งทะลุเพดานไปที่ 350 – 380 บาทแล้ว แต่เมนูยังราคาเท่าเดิม จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนทำให้วัตถุดิบที่ได้ผลผลิตดีมีราคาแพงขึ้น

แม้แต่ตอนนี้วัตถุดิบบางส่วน พี่น้ำหวานก็เลือกเอาจากที่ปลูกเองในบ้านสวนแถวอ่างเก็บน้ำที่ปลูกไว้เผื่ออยู่เองในอนาคต แต่ตอนนี้ให้ญาติอาศัยและช่วยดูแลพืชผักที่ปลูกไว้ ทั้งข่า ตะไคร้ กระชาย มะกรูด ผักสลัด มะเขือ กะเพรา ทุกอย่างที่พอปลูกและควบคุมคุณภาพเองได้ พี่น้ำหวานปลูกไว้เกือบทั้งหมด

“มีคนบอกว่าเราทำเยอะเกินมากไปหรือเปล่า มันเหนื่อยนะ เราบอกไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราไม่อยู่ก็ทำแบบอื่นดูละกัน (หัวเราะ) ตอนนี้เราอยู่ขอทำแบบนี้ก่อน” พี่น้ำหวานบอกกับเราอย่างติดตลกว่าในขณะที่เธอยังมีลมหายใจดูแลกิจการ อะไรที่ทำเองได้ และไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วในความคิดของเธอ

เป้าหมายใกล้-กลาง-ไกล ของ ‘ร้านอาหารแดง-ดำ’

ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ในฐานะผู้ก่อตั้ง แม่ครัวหลัก จนกลายมาเป็นคนดูแลร้าน 100% ของพี่น้ำหวาน ที่ตอนนี้อายุ 70 ปีบริบูรณ์ และยังแข็งแรง เดินเหินสะดวกอยู่ เธอบอกกับเราว่าหากเอาจริง ๆ ก็อยากพักผ่อนบ้างแล้ว อยากหาคนมาช่วยดูแล และต่อยอดร้านอาหารนี้ของเธอไปเรื่อย ๆ

แม้ในตอนนี้หน้าที่ของการส่งต่อกำลังเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการให้ลูกหลานบางส่วนมาช่วยดูแลบ้าง แต่เธอก็ยังบอกว่าแท้จริงยังทำใจไม่ได้กับการปล่อยมือทั้งสองข้างให้ร้านเดินต่อโดยคนอื่นแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และยังทำใจกับการ ‘ไม่เห็น’ ความเป็นไปของร้านไม่ได้ด้วย ช่วงเวลานี้จึงเต็มไปด้วยหัวใจของการอยากส่งต่อกิจการไปยังรุ่นต่อไป และความหวั่นใจหากสิ่งที่ส่งไปไม่ได้รับการประคบประหงมต่ออย่างเต็มที่

ฉะนั้นเป้าหมายใกล้ ๆ ของพี่น้ำหวานคือการส่งต่อ และเป้าหมายกลางกับไกลคือเรื่องของไอเดียสดใหม่ของผู้ดูแลร้านรุ่นต่อไปที่จะรับช่วงต่อ ซึ่งพี่น้ำหวานหวังแต่เพียงว่าเธอจะได้ดูแลธุรกิจนี้อยู่ห่าง ๆ ในช่วงเวลาข้างหน้าได้อย่างเต็มใจ ไร้ห่วง และมองดูธุรกิจเติบโตไปเรื่อย ๆ ผ่านมุมมองของทายาทที่เธอส่งต่อด้วยมือตัวเองต่อไป

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจของตัวเองมากว่า 40 ปี

พี่น้ำหวานบอกเราว่าจากวันแรก จนถึงวันนี้ ร้านอาหารแดง-ดำทำให้เธอได้เรียนรู้เรื่อง ‘คน’ เป็นอันดับแรก ทั้งการเรียนรู้จากตัวเอง และเรียนรู้จากคนทำงานรอบข้าง ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ทั้งเราและเขาอยู่ได้ ทั้งชีวิตและหน้าที่การงาน ซึ่งเธอพบคำตอบว่ามันคือการให้ใจกัน ถ้าเราอยากทำให้คนของเราอยู่กับเรานาน ‘หัวใจ’ แห่งการให้คือเรื่องสำคัญ หากสิ่งนี้ลุล่วง ทุกอย่างจะตามมาเอง

อีกสิ่งคือเธอมองว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ร้านอาหารของเธออาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่เธอเชื่อมั่นว่าแม้จะไม่ได้มีความโด่งดังจากกระแส หากอาหารที่ร้านของเธอรังสรรค์ทุกเมนูอร่อย และแน่จริง การบอกกันปากต่อปากจะเกิดขึ้น และความยั่งยืนจะมีไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ข้อกังขา อย่างเช่นเวลาจะทดลองทำเมนูอะไรก็ตาม เธอจะลองใส่ถ้วยเล็ก ๆ ให้ลูกค้าที่คุ้นเคยได้ลองชิม ส่วนความเห็นจะมีตอนนั้นเลยหรือไม่ก็ได้ ครั้งหน้าค่อยมาให้คำตอบก็ไม่สาย เพราะบางครั้งการตกผลึกของลูกค้าก็อาจจะเป็นตัวช่วยในการรังสรรค์เมนูที่ดีออกมาได้

“ถ้าอาหารไม่ดีคนเดียว ปากต่อปากก็ 20 คน ถ้าอาหารดี อร่อย พูดปากต่อปากก็อาจจะกลายเป็น 40 50 คนด้วยซ้ำ เราคิดอย่างนี้นะ” พี่น้ำหวานทิ้งท้าย

CREATED BY

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป