เวลาที่พูดถึงปีศาจ ภูติผี วิญญาณ และแม่มด เรามักนึกถึง “ความชั่วร้าย” อันเป็นฝั่งตรงข้ามกับความดีตามแบบฉบับศาสนาและพระคัมภีร์ไบเบิล ความบาป ความไม่ซื่อสัตย์ ความตะกละ ความละโมบ รวมถึงตัณหาและราคะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกับปีศาจบางตนซึ่งถูกกล่าวอ้างว่ามีหมุดหมายคือการชักจูงมนุษย์ไปในทางที่ผิด ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง บรรดาความบาปที่กล่าวมาต่างเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเพิ่งถูกทำให้ “ผิด” ภายหลังจากการที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
มุมมองนี้จึงนำมาสู่การตั้งคำถามต่อปีศาจ ความบาป และความปรารถนาของมนุษย์ ซึ่งดูเหมือนว่าในอีกฟากฝั่งหนึ่งของกลุ่มคนที่หลงใหลในศาสตร์แม่มด จิตวิญญาณ และปีศาจในตำนานจะมองเรื่องนี้ในทางที่ต่างออกไป เราจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับ ซิน-ฌิลลี ฐานิฐปนีย์ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก Magic Books & Candle ผู้ที่ศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับแม่มดและพลังแห่งธรรมชาติ โดยเล่าผ่านหนังสือคู่มือปีศาจและความรู้เกี่ยวกับศาสตร์มืดที่ทำให้เราเข้าใจความเป็นปีศาจในมุมมองและรูปแบบที่ต่างออกไปจากความเข้าใจเดิม
นิยามความเป็นปีศาจ ตามความเข้าใจของแม่มด
“สิ่งเหล่านี้เราค้นพบจากการศึกษาที่มาของชื่อบรรดาเทพและปีศาจ ซึ่งต่อมาค้นพบว่าชื่อปีศาจหลายตนเชื่อมโยงกับชื่อเทพโบราณของผู้คนในท้องถิ่น ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามา”
สำหรับเรามองว่าพวกปีศาจคือบรรดาเทพเก่าแก่ (Old God) ก่อนการมาถึงของศาสนา ปีศาจเป็นเหมือนเทพผู้ปกปักษ์รักษาหรือสิ่งเคารพบูชาในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมีความสามารถและรูปลักษณ์ที่ต่างกันไป ตามแต่การตีความและความเข้าใจของผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ คล้ายกับการที่ในสมัยก่อนชาวบ้านในประเทศไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาผีก่อนที่จะมีศาสนาพุทธ ฟังก์ชันของปีศาจในสมัยก่อนจึงเหมือนเป็นเทพท้องถิ่นทั่วไป ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของผู้คน
เมื่อการมาถึงของศาสนาใหม่ ชะล้างความเชื่อดั้งเดิมของผู้คน อดีตเทพประจำพื้นที่จึงถูกผลักให้กลายเป็นภูติผีปีศาจอันชั่วร้าย กลายเป็นสิ่งตรงข้ามกับความดีตามแบบฉบับศาสนาใหม่ เพื่อดึงคนให้ออกจากความเชื่อเดิมและมาศรัทธาความเชื่อใหม่ คล้ายกับการที่ใครเป็นผู้ชนะ คนนั้นมักจะได้เขียนประวัติศาสตร์ ดังนั้นเหล่าเทพโบราณจึงกลับกลายเป็นปีศาจร้าย เหล่าแม่มดที่เคยเป็นเหมือนหมอยาจึงกลับกลายเป็นหมอผี ศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณและธรรมชาติจึงกลับกลายเป็นศาสตร์แห่งมนต์ดำ
ส่วนตัวเรามองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด มันค่อนข้างเป็นกลไกปกติของหลายศาสนาที่มักมีกุศโลบายหรือข้อห้ามในรูปแบบของตนเองเพื่อดึงคนให้เข้ามาเชื่อหรือศรัทธา เนื่องจากฟังก์ชันของศาสนาในสมัยก่อนไม่ใช่แค่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่มันรวมไปถึงกฎหมายที่ถูกนำมาใช้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากหมู่บ้านกลายมาเป็นเมือง จากเมืองกลายมาเป็นอาณาจักร ซึ่งศาสนาถูกนำมาใช้ในแง่ของกฎหมายช่วงที่สังคมอารยะเริ่มถือกำเนิดเกิดขึ้น และผู้คนในสังคมอยากทำให้มันเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ดังนั้นไม่แปลกที่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับกฎในสังคมส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ผิด ซึ่งในบริบทที่เราสนทนากันอยู่นี้ก็คือปีศาจ
การอัญเชิญปีศาจและกุญแจของโซโลมอน
ถ้าพูดถึงกษัตริย์โซโลมอน (King Solomon) ต้องย้อนกลับไปพูดถึงพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิมซึ่งมีการพูดถึงกษัตริย์โซโลมอนที่อยากสร้าง Temple of Solomon โดยในการก่อร่างสร้างสิ่งนี้ขึ้นมามันจำเป็นต้องใช้ผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความที่กษัตริย์โซโลมอนเป็นคนที่รักประชาชนมาก พระองค์ไม่อยากให้ผู้คนของตนเองต้องเหน็ดเหนื่อย กษัตริย์โซโลมอนจึงทำการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า และได้รับแหวนวงหนึ่งมาเพื่อกำราบปีศาจที่สิงอยู่ในร่างทาสคนหนึ่งของพระองค์ หลังจากนั้นปีศาจตนดังกล่าวก็เรียกบรรดาปีศาจตนอื่นมาเรื่อย ๆ จนครบจำนวน 72 ตน
เรื่องเล่านี้ไม่ได้บันทึกไว้เฉพาะเรื่องราวการปราบปีศาจของกษัตรย์โซโลมอน แต่บันทึกไว้แม้กระทั่งวิธีอัญเชิญและควบคุมปีศาจตนนั้น ๆ อาทิ ปีศาจแอสโมได เขาจะไม่ชอบน้ำเพราะฉะนั้นเวลาที่เราอัญเชิญเขามา ในบริเวณนั้นก็ต้องไม่มีน้ำอยู่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและจะได้ไม่เป็นการดูถูกเขา ซึ่งในหนังสือกุญแจแห่งโซโลมอนก็จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ผู้อัญเชิญปีศาจต้องเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นผู้เรียกอาจกลายเป็นผู้ประสบภัยแทน เนื่องจากการทำงานกับปีศาจจะมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก
ในส่วนของการอัญเชิญปีศาจต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ศาสตร์แห่งการอัญเชิญเรียกร้องอุปกรณ์และการแลกเปลี่ยนจำนวนมหาศาล มันไม่ใช่แค่เรามีเทียน มีภาชนะ มีวงแหวน แล้วจะสามารถอัญเชิญปีศาจตนใดมาก็ได้ ตัวของผู้อัญเชิญเองต้องเตรียมเครื่องรางและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ปกป้องการโดนสิงสู่จากปีศาจเช่นกัน ซึ่งไม่เหมาะกับเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้เป็นอย่างมาก อาทิ กริชที่มีลายสลักเฉพาะตัว
ในประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ ผู้ที่เคยอัญเชิญโดยใช้อุกรณ์และวงแหวนเวทย์คือ The Witch of Endor ซึ่งในตอนนั้นเขาไม่ได้อัญเชิญปีศาจ แต่อัญเชิญดวงวิญญาณตนหนึ่งมาพูดคุย เอาเข้าจริงแล้วยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรือข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงว่าเคยมีใครอัญเชิญปีศาจสำเร็จบ้างหรือไม่ นอกจากกษัตริย์โซโลมอนที่ตามบันทึกมีความเกี่ยวข้องกับปีศาจอยู่แล้ว
การศึกษาศาสตร์แห่งปีศาจในปัจจุบัน
ถ้าคนธรรมดาทั่วไปอาจมองว่าปีศาจนั้นชั่วร้าย แต่สำหรับแม่มดมันจะแตกต่างออกไป บางคนพยายามจะควบคุมปีศาจเพื่อใช้งาน เนื่องจากปีศาจแต่ละตนจะมีความสามารถในการให้ที่แตกต่างกัน ทว่าส่วนใหญ่แม่มดจะศึกษาใคร่รู้เกี่ยวกับปีศาจในแง่ของการที่มองว่ามันเป็นองค์ความรู้มากกว่า ความรู้ที่ในชีวิตประจำวันหาไม่ได้ ความรู้ที่มันเหนือกว่ามิติที่เราดำรงอยู่ ธรรมชาติของแม่มดคือกระหายในความรู้
ในปัจจุบันก็ยังมีคนที่ชื่นชอบศึกษาในศาสตร์ของปีศาจอยู่ ซึ่งเราจะเห็นได้จากกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีการบูชาลูซิเฟอร์ ลิลิธ หรือบาโฟเมธ เป็นต้น รวมถึงยังคงมีการทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับปีศาจในหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในเชิงบูชามากกว่า เพราะในความเชื่อและความเข้าใจของเรา ปีศาจมีฟังก์ชันของการให้คุณและโทษกับมนุษย์ไม่ต่างจากเทพหรือสิ่งเคารพบูชาตามความเชื่ออื่น ๆ สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ยึดโยงกับความชอบและความเชื่อส่วนบุคคลอยู่ดี
หลังจบบทสนทนากับคุณซิน เราหยิบจับหนังสือที่เขานำมาบางส่วนเพื่อเปิดดู มันทำให้เรารู้สึกถึงความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างวงแหวนเวทย์ในการอัญเชิญปีศาจ การแลกเปลี่ยนตามแบบฉบับการเล่นแร่แปรธาตุ และความรู้ด้านปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้คือการวิวัฒนาการทางสังคมจากคติชนสู่ศาสนา จากศาสนาสู่ความเชื่อ จากความเชื่อสู่วิทยาศาสตร์ บรรดาศาสตร์ลึกลับดั้งเดิมคือความใคร่รู้ของผู้คนในยุคเก่าก่อน ที่เมื่อวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาท สิ่งเหล่านี้ก็เริ่มอันตรธานหายไปตามกลไกของสังคม