หากใครที่ชื่นชอบการดูหนังแนวสืบสวนสอบสวนก็คงคุ้นชินกับฉากปล้นหรือโจรกรรมเพชรกันมาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าในโลกของความเป็นจริงก็เคยเกิดเหตุการณ์ปล้นเพชรครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น และที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ สถานที่ที่พวกเขาเข้าไปปล้นเพชรคือตึก ‘Antwerp Diamond Center’ หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นตึกที่รวมเพชรจากทั่วทุกมุมโลก โดยตึกนี้ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม 

อธิบายเกี่ยวกับตึก ‘Antwerp Diamond Center’ ให้เห็นภาพขึ้นมาอีกนิด ด้วยความที่ตึกแห่งนี้มีมูลค่าสูงจากการบรรจุเพชรมากมายอยู่ด้านใน ชั้นใต้ดินของตึกแห่งนี้จึงถูกสร้างไว้เพื่อเก็บเพชร และมีระบบนิรภัยแน่นหนาเป็นอย่างดี ตึกนี้ถูกป้องกันด้วยระบบความปลอดภัยถึง 10 ชั้น มีระบบตรวจสอบทั้งอินฟราเรด สนามแม่เหล็ก มีระบบป้องกันอัติโนมัติที่คอยล็อกห้องเมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น ทั้งยังมีตำรวจเป็นกองร้อยคอยดูแลอยู่ นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์จับอุณหภูมิความร้อนจากมนุษย์และจับความเคลื่อนไหวต่าง ๆ อีกด้วย หรือสรุปง่าย ๆ ว่าเปอร์เซนต์ของการเข้าไปเพื่อที่จะขโมยเพชรและออกมาได้อย่างปกติสุขเกือบจะเป็นศูนย์

เรื่องราวก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร จวบจนกระทั่งปี 2003 มีเศรษฐีคนหนึ่งได้เข้ามาพูดคุยกับ ‘ลีโอนาร์โด โนทาร์บาร์โทโล’ (Leonardo Notarbatolo) ถึงแผนการในการปล้นเพชรที่ตึกแห่งนี้ ซึ่ง ‘ลีโอนาร์โด’ เป็นชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียงในด้านของการโจรกรรมเพชร เศรษฐีคนนี้ยื่นข้อเสนอให้ลีโอนาร์โดเข้าไปดูแนวทางการรักษาความปลอดภัยของตึก Antwerp Diamond Center และให้คำตอบว่าตึกนี้มันปล้นเพชรได้หรือไม่ได้ โดยว่าจ้างเป็นจำนวนเงินประมาณ 5 ล้านบาท 

ลีโอนาร์โดไม่รอช้า เขาเดินทางเข้าไปที่ตึกนี้ในคราบของพ่อค้าเพชรท่านหนึ่ง และเช่าสถานที่ขายเพชรอยู่ภายในตึก โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดโดยเฉพาะชั้นใต้ดิน มีอยู่วันหนึ่ง ลีโอนาร์โดได้ขอเช่าที่เพื่อเก็บเพชรในชั้นใต้ดิน มีจุดประสงค์ก็เพื่อไปหาคำตอบว่าจริง ๆ แล้วมันพอจะมีวิธีปล้นได้หรือไม่ แต่เมื่อเขาลงไปในชั้นใต้ดิน ทำให้ได้เห็นกระบวนการเก็บและรักษาความปลอดภัยของเพชรในเซฟนิรภัยแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าและคิดว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่สามารถปล้นได้แน่ แต่ครั้นจะขึ้นไปบอกคนจ้างว่าปล้นไม่ได้ก็อาจจะไม่เชื่อ วันถัดมาลีโอนาร์โดจึงลงไปชั้นใต้ดินอีกครั้งพร้อมพกปากกาติดกล้องตัวจิ๋วไปด้วย เพราะอยากถ่ายและเก็บหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งการบ้านให้คนที่จ้างดูว่ามันไม่สามารถปล้นได้จริง ๆ

หลังจากเก็บข้อมูลด้วยกล้องอยู่หลายวัน ลีโอนาร์โอนำภาพที่ได้ส่งต่อให้เศรษฐีที่จ้างเขามาและบอกว่ามันปล้นไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือหลักฐาน เมื่อเศรษฐีได้เห็นทุกซอกทุกมุมของตึกนี้แล้ว เขาหายไปสักพักหนึ่งจึงติดต่อลีโอนาร์โดกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้กลับมามือเปล่า เขานัดลีโอนาร์โดไปเจอที่บ้านร้าง ซึ่งเมื่อเปิดเข้าไปภายในบ้านหลังนี้แล้วเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกับเซฟที่ลีโอนาร์โดไปเจอมาทั้งหมด เป็นเพราะว่าเศรษฐีคนนี้ได้นำภาพทั้งหมดจากกล้องที่ลีโอนาร์โดถ่ายมาเอาไปจำลองเซฟเสมือนจริงขึ้นเพื่อหากระบวนการปล้นต่อไป นอกจากตู้เซฟเสมือนจริงแล้ว เศรษฐีคนนี้ยังพกทีมงานมาให้ลีโอนาร์โดอีก 4 คน โดยพวกเขามักจะซ้อมปล้นเพชรในบ้านร้างแห่งนั้น ซ้อมกันทุกวันเพื่อหาแผนที่ดีที่สุด จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 2 ปีเต็ม ทุกคนมองหน้ากันและคิดว่าพวกเขาได้แผนที่ดีที่สุดแล้ว  

นอกจากสมาชิก 4 คนที่มีความเก่งกาจในแต่ละด้านแล้ว ตำแหน่งที่หายไปคือ ‘คนขับรถ’ สำหรับพาหนีหลังจากปล้นเสร็จ ลีโอนาร์โดจึงได้แนะนำเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เขาสนิทมาตั้งแต่เด็ก ๆ ให้มารับตำแหน่งนี้ไป ช่วง 5 วันก่อนแผนการปล้นเพชรจะเริ่มขึ้น พวกเขาได้เริ่มกระบวนการที่ฝึกฝนกันมากว่า 2 ปี เริ่มต้นจากการแอบลงมาติดกล้องเพื่อดูว่ารหัสเข้าห้องตู้เซฟนี้คืออะไร จนเมื่อได้รหัสแล้ว พวกเขาก็เลือกวันปล้นเป็นคืนวันศุกร์ เนื่องจากเป็นวันที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือ รปภ. มาเฝ้าอยู่ที่ตึก หลังจากนั้นจึงได้ค่อย ๆ ทะยอยทะลุเข้าไปทีละด่านเพื่อทำการปล้นเพชร เช่น การใช้สเปรย์ฉีดผมฉีดใส่เครื่องตรวจจับความร้อนจนไม่สามารถทำงานได้ชั่วคราว, ใช้แผ่นโฟมวางทับเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว, ใช้เทปกาวปิดทับเซนเซอร์แสง และในการดึงตู้เซฟ พวกเขาใช้อุปกรณ์ที่เตรียมมาประกอบร่างและเปิดตู้เซฟออกก่อนจะปล้นเพชรออกไปได้มูลค่ารวมประมาณ 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ

แผนการดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี จนกระทั่งทุกคนแยกตัวกันเดินทางเพราะหากรวมตัวกันเดินทางจะมีความเสี่ยงเกินไป และนัดไปเจอกันที่อิตาลี เพราะที่ประเทศอิตาลีไม่มีนโยบายส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่คนที่รับหน้าที่ดูแลรถคันนั้นที่เต็มไปด้วยเพชรและหลักฐานต่าง ๆ คือ ลีโอนาร์โด และคนขับรถเพื่อนรักของลีโอนาร์โดนั่นเอง ด้วยความที่หลักฐาน อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดของการปล้นคงอยู่บนรถ เพื่อนของลีโอนาร์โดรู้สึกเป็นกังวลจึงได้โยนหลักฐานทิ้งแบบไม่เป็นที่เป็นทางเพราะรู้สึกหวาดกลัว 

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ตำรวจรู้ตัวว่าคนปล้นมีใครบ้าง คือหนึ่งในหลักฐานที่เพื่อนของลีโอนาร์โดโยนทิ้งไปก็คือ ‘แซนด์วิช’ ที่พวกเขากัดกินกันระหว่างขับรถหนีจากการปล้น และเมื่อตำรวจได้หลักฐานชิ้นนี้แล้วจึงนำไปตรวจ DNA จนทราบว่าเป็นใครบ้าง คนที่ถูกจับคนแรกคือ ‘ลีโอนาร์โด’ เพราะกลับมาที่เบลเยี่ยมเพื่อต้องการปิดร้านเพชรที่เคยเปิดบังหน้าเอาไว้ จึงถูกรวบตัวเป็นคนแรก แต่อีก 4 คนไปอยู่ที่อิตาลีเรียบร้อยแล้ว กระบวนการจับกุมผู้ร้ายในครั้งนี้ค่อนข้างยาวนานกว่าจะจับตัวได้ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปว่าอิตาลีไม่มีนโยบายส่งผู้ร้ายข้ามแดน และแม้ในท้ายที่สุดทั้ง 5 คนจะถูกจับตัวจริง แต่เพชรทั้งหมดที่ถูกปล้นไปจาก Antwerp Diamond Center ก็ยังไม่เคยถูกส่งคืนอีกเลย

อ้างอิง