ทีวีดิจิทัลในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกปีที่ทุกช่องต่างขนเอาคอนเทนต์หมัดเด็ดออกสู่สายตาผู้บริโภคชาวไทยกันแบบไม่เว้นวรรค นับตั้งแต่การรุกละครของช่อง 3 ที่เรียกได้ว่าคว้าใจคนติดตามได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้กับช่องวัน 31 ที่ขนทัพละครครองใจคนไทย ตั้งแต่ละคร 1 ทุ่ม ยันละครหลังข่าวอย่าง “พนมนาคา” และ “รักร้าย” ออกมาสุ่สายตาเช่นกัน แม้กระทั่งช่อง 7HD ที่พยายามปรับเนื้อหาตลอด โดยเฉพาะละครและรายการข่าวที่ปรับตัวก้าวสู่ออนไลน์อย่างเต็มที่
ในวันนี้ SUM UP จึงขอนำเสนอรายได้ทีวีดิจิทัลของปี 2566 เพื่อให้เห็นภาพของอุตสาหกรรมสื่อโดยภาพรวมว่าในปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง และสถานการณ์ของแต่ละช่องเป็นอย่างไรบ้าง
ช่อง 7HD คว้ารายได้-กำไรสูงสุด ถึงแม้ภาพรวมทุกช่องรายได้ลดลง
ช่องที่คว้ารายได้สูงที่สุดและยังคว้ากำไรสูงสุดในปี 2566 หนีไม่พ้นช่อง 7HD ภายใต้ บจก. กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ที่ในปีที่ผ่านมาคว้ารายได้หลัก 2,623.49 ล้านบาท และรายได้รวมอยู่ที่ 3,284.38 ล้านบาท ทำให้ได้กำไรรวม 732.8 ล้านบาท ในขณะที่อันดับที่ 2 เป็นของช่องวัน 31 ภายใต้ บจก. วัน สามสิบเอ็ด ที่ในปีที่ผ่านมามีรายได้หลัก 3,017.28 ล้านบาท และรายได้รวมอยู่ที่ 3,058.71 ล้านบาท ส่งผลทำให้มีกำไรรวมอยู่ที่ 180.11 ล้านบาท ส่วนช่อง 3HD ภายใต้ บจก. บีอีซี-มัลติมีเดีย ในปีที่ผ่านมาด้วยผลงานละครที่สร้างประวัติศาสตร์วงการสื่อได้ดี ทำให้มีรายได้หลัก 2,897.92 ล้านบาท และรายได้รวม 2,906.67 ล้านบาท แต่ถึงแม้เนื้อหาดีแค่ไหนในปีที่ผ่านมาก็ยังขาดทุนอยู่ที่ 5.62 ล้านบาท
มีแค่ 6 ช่องที่กำไร จากทั้งหมด 15 ช่อง
จากสถานการณ์ภาพรวมของรายได้ทีวีดิจิทัลในปีที่ผ่านมา มีเพียง 6 ช่องจาก 15 ช่องที่ได้กำไรในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ช่อง 7HD ที่ได้กำไรสูงสุด 732.8 ล้านบาท รองลงมาคือ ช่อง 9MCOT HD ที่มีกำไรรวม 589.18 ล้านบาท (รวมจากทุกช่องทาง และเป็นงบรวมของ บมจ. อสมท) อันดับต่อมาคือ ช่อง 8 ที่มีกำไรรวมอยู่ที่ 370.03 ล้านบาท, ไทยรัฐทีวี มีกำไรรวม 265.07 ล้านบาท, ช่องวัน 31 มีกำไรรวม 180.11 ล้านบาท และอมรินทร์ทีวี มีกำไรรวม 99.03 ล้านบาท
สำหรับช่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้นขาดทุนทั้งหมด โดยช่องที่ขาดทุนน้อยที่สุดคือ ช่อง 3HD ขาดทุนรวม 5.62 ล้านบาท และช่องที่ขาดทุนมากที่สุดคือช่อง PPTV HD36 ที่ขาดทุนรวม 732.29 ล้านบาท ซึ่งรายได้รวมของทีวีดิจิทัลทั้งหมดในปี 2566 คือ 22,654.86 ล้านบาท และมีกำไรรวมทุกช่องสุทธิคือ 520.35 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ปีนี้เป็นอีกปีที่ทีวีดิจิทัลต่างต้องต่อสู้กันอย่างหนัก เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากที่ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลกำลังจะหมดอายุ และปีนี้เป็นอีกปีที่งบโฆษณามีการหดตัวทั้งจากสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมและในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองอีกด้วย ทำให้หลายช่องทยอยเลิกจ้างพนักงานบางส่วนและปรับตัวไปออนไลน์มากขึ้น อย่างไรทีม SUM UP ขอเป็นกำลังใจให้กับคนสื่อทุกเจ้าในปีนี้ด้วย
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์