หลังจากที่ทางรัฐบาลได้ออกมาประกาศถึงเงื่อนไข ระยะเวลา และแหล่งเงินที่มาของการทำนโยบาย ‘Digital Wallet’ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ชุดข้อมูลดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนว่าเป็น ‘นโยบายที่ได้ไม่คุ้มเสีย’ วันนี้จึงอยากชวนทุกคนมาอ่านบทวิเคราะห์เกี่ยวกับนโยบาย ‘Digital Wallet’ กับ ศิริกัญญา ตันสกุล – รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่ามีมุมมองต่อนโยบายนี้และอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างไรบ้าง?

แหล่งที่มาของการทำนโยบาย ‘Digital Wallet’ มาจากงบประมาณปี 67 งบประมาณปี 68 และการกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) มองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
หากจับประเด็นจากที่ปลัดกระทรวงแถลงในส่วนของงบประมาณปี 67 ไม่ได้มีรายละเอียดแน่ชัด บอกเพียงแค่ว่าเดี๋ยวไปบริหารจัดการงบประมาณปี 67 เอา ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้วิธีตัดงบหรือโอนงบกลางหรือว่าจะกู้เพิ่ม ซึ่งทั้ง 3 ทางเลือกมันทำได้หมดแต่ต้องออกเป็น พ.ร.บ. เข้าสู่สภาอีกรอบหนึ่ง
ในส่วนของงบประมาณปี 68 รัฐใช้วิธีการเบ่งมันขึ้นมา กล่าวคือไม่ได้พยายามปรับลดงบประมาณใด ๆ แต่ใช้วิธีการเพิ่มตามวงเงินออกไปจาก 3.6 ล้านล้าน เพิ่มขึ้นเป็น 3.75 ล้านล้าน ส่วนที่เพิ่มไม่ได้มาจากไหนไม่ได้มาจากการเก็บภาษีแต่อย่างใด มาจากการกู้ค่ะ ก็คือกู้เพิ่มอีก 150,000 ล้านบาทรวมเบ็ดเสร็จแล้วของปี 68 กู้เป็น 8.65 แสนล้านบาท ซึ่งจะถือว่าเป็นการขาดดุลครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ไทยที่ขาดดุลสูงถึง 4.4% ของ GDP
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นงบปี 67 และปี 68 รวมกันแล้วก็ยังไม่ถึง 5 แสนล้านบาท ก็ยังไม่พออยู่ดี เขาก็เริ่มแบบว่าหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเอาอะไรดี ท่าประจําที่ทุกรัฐบาลต้องใช้คือ การใช้เงินตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง คือ การกู้ยืมจากหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ซึ่งก็คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใช้ทุกรัฐบาลตั้งแต่สมัยคุณชวน หลีกภัย (ปี 2542) ก็ใช้ ตอนนี้ยังใช้หนี้ไม่หมดเลย หนี้ยังค้างอยู่ ธกส. อยู่เลย ยุคคุณทักษิณ ชินวัตรก็ใช้ทั้ง 2 สมัย ตอนนั้นยังเป็นจํานําสินค้าเกษตร แล้วก็มาประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์รอบแรกของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้วก็มาจํานําข้าวของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็คือใช้กัน คือเป็นแบบเป็นตู้เอทีเอ็มเลยนะคะ อยากได้เมื่อไหร่ก็แวะมา
ซึ่งวัตถุประสงค์ของ ธกส. เอาไว้ให้ประชาชนเป็นให้ความช่วยเหลือทางการเงินนะคะ คือให้กู้ให้เงินเปล่าเพื่อให้เกษตรกรประกอบอาชีพ ซึ่งในเนื้อหาจะมีส่วนหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่าเพื่อช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เขาก็ตีความว่า ‘Digital Wallet’ จะเข้ามาช่วยเรื่องคุณภาพชีวิต แต่ว่าเราไปบังคับให้เขาเอาไปประกอบอาชีพไม่ได้ เพราะมันใช้เกณฑ์เดียวกันหมด
เพราะฉะนั้นมันเลยเกิดการตีความอย่างพิสดารว่า ธกส. ก็ใช้ ‘Digital Wallet’ ได้ แต่จะต้องเป็นอีกหนึ่งโครงการชื่อว่า Digital Wallet เพื่อเกษตรกร ซึ่งมันก็ดูฝืนอยู่ และอาจจะเป็นปัญหาเชิงซ้อนในแง่ของกฏหมาย เพราะในกฏหมายได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าทำอะไรได้บ้าง ซึ่งอันนี้อาจจะเกิดปัญหาในภายหลังได้

‘หนี้สาธารณะ’ VS ‘หนี้ครัวเรือน’
จริง ๆ มันก็เปรียบเป็นกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาก็ได้ การที่รัฐบาลพยายามเพิ่มหนี้สาธารณะ แล้วนำเงินไปใช้ช่วยเหลือประชาชนอย่างตรงจุด ตรงเป้าหมาย ตรงเวลา มันก็อาจจะทําให้หนี้ครัวเรือนของประชาชนที่ตอนนี้อยู่ในภาวะรายได้น้อยกว่ารายจ่าย จนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมันลดน้อยลงได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเหรียญ 2 ด้าน แต่มองอีกมุมหนึ่งมันจะคล้ายกับตรงที่รัฐบาลชอบบอกว่า ถ้าเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ ควรจะเอาเข้ามาเป็นหนี้ในระบบให้มันมากขึ้น ก็คือเขาออกมาตรการในการแก้หนี้นอกระบบอยู่แล้ว แต่พอรัฐบาลจะกู้ก็ยังไม่ยอมที่จะกู้ในระบบ เขาก็แอบไปกู้นอกระบบ อย่างเช่น กู้ตามมาตรา 28 อันนี้ถือว่าเป็นเงินนอกงบประมาณประเภทหนึ่งนะ มันก็สะท้อนตัวรัฐบาลเองว่าไม่เห็นจะทำตามที่พูดเลย
“อัดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจด้วย ‘Digital Wallet’ เลยดีกว่า” VS พับโครงการ ‘Digital Wallet’ และไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีอื่น มุมมองส่วนตัวเห็นด้วยกับความคิดใด?
เห็นด้วยกับข้อหลังค่ะ เพราะเม็ดเงินที่จะจัดทำในโครงการ ‘Digital Wallet’ ค่อนข้างสูง และเอาเข้าจริง ๆ เหมือนทีมรัฐบาลแอบถอดใจไปหลายรอบ แต่รอบนี้ไม่รู้อะไรเป่ากระหม่อมขึ้นมา เขาเลยพยายามหาเม็ดเงินให้ได้ 500,000 ล้านบาท แต่ก็ต้องแลกกับที่โครงการนี้เลื่อนไปอยู่ที่ไตรมาส 4 ของปี 2567 ซึ่งอย่าลืมว่าอันนี้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน เราไม่เคยบอกเลยว่าเศรษฐกิจไทยมันโตดี มันโตช้า ฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอันนี้รู้ แต่เครื่องมือที่จะหยิบมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมันต้อง ‘ถูกที่’ ‘ถูกเวลา’ ที่ต้องมาให้ทันกับการแก้ปัญหา ซึ่งที่จริงคุณต้องแก้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่กว่า ‘Digital Wallet’ จะมาคืออีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งถึงตอนนั้นมันอาจจะไม่ทันสถานการณ์แล้ว สู้เราทำแบบเล็ก ๆ แต่ทำได้เลยจะช่วยให้เศรษฐกิจกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดีกว่าต้องรอถึง 6 เดือน และถึงตอนนั้นได้ไม่ได้เป็นอีกประเด็นด้วยนะ

ก้าวต่อไปของการแก้ปัญหา ‘เศรษฐกิจไทย’ ควรเป็นอย่างไร?
ปัญหาเศรษฐกิจไทยฝังรากลึกมานาน แน่นอนว่าไม่สามารถแก้ในปีเดียวได้แน่นอน มันต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ถ้าเราไปดูกำลังแรงงานของทั้งประเทศ 40% วุฒิการศึกษาต่ำกว่า ม.3 ถ้ากำลังแรงงานของเรายังเป็นแบบนี้อยู่ ต้องแก้เรื่องนี้เลย รอไม่ได้ มันต้องมีช่องทางให้พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยนทักษะ เพื่อให้ได้งานที่เหมาะสมกับตัวเขา
ส่วนด้านการท่องเที่ยวตอนนี้เริ่มกลับมา เพราะว่าปีที่แล้วแย่มาก มันเลยทำให้ปีนี้ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังไปไม่ถึงช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ทั้งในด้านของรายได้ ด้านของจำนวนนักท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม มันเป็นเรื่องของการมองหาโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ต่อให้นายกจะบอกว่าฉันทำแล้ว ฉันเดินทางไปทั่วโลกเลย แต่เรายังไม่เห็นว่าเป้าหมายสุดท้ายมันคืออะไร?
ประเทศเราจะไปยังไงต่อ อะไรจะเข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมรถยนต์และน้ํามันที่กําลังจะตาย ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ตอนนี้ก็คือแทบจะไม่มีอนาคตแล้ว หรือว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งพอโลกเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจสีเขียวก็กําลังซื้อพวกนี้มันก็หายไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องในเชิงโครงสร้างที่ไม่ง่าย ไม่เร็ว แต่ว่าต้องเริ่มทําวันนี้ ต้องเริ่มทําทันทีค่ะ มากกว่าที่จะใช้ทรัพยากรทุกอย่างเนี่ย ทุ่มไปกับโครงการเดียวที่มูลค่ามหาศาล แล้วก็ใช้จ่ายเกินตัว เกินเบอร์ จนที่แบบว่าต้องแบบดิ้นรนขนาดนี้เพื่อให้ได้เงินมา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อยากฝากไปถึงรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุด ‘ศิริกัญญา’ ทิ้งท้ายสั้น ๆ กับ SUM UP ไว้ว่า ตนเองไม่สนับสนุนโครงการ ‘Digital Wallet’ ด้วยประการทั้งปวง โดยทุกคนสามารถรับชมบทสัมภาษณ์เต็ม ๆ ต่อได้ที่ด้านล่างนี้