‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จากพรรครีพับลิกัน กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 อย่างไม่เป็นทางการแล้ว จากการกวาดจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Collage) หรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองภายในรัฐเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือกไปทำหน้าที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เกิน 270 เสียงเป็นที่เรียบร้อย แม้ในบางรัฐจะยังคงนับคะแนนกันไม่แล้วเสร็จ
โดยในขณะนี้ยังมีรัฐที่คะแนนค่อนข้างสูสีกัน 5 รัฐ ได้แก่ อะแลสกา, แอริโซนา, เนวาดา, มิชิแกน, และเมน โดยในรัฐที่น่าจับตามองอย่าง 7 รัฐ Swing State ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์คว้าเสียงข้างมากไปทั้งสิ้น 4 รัฐ ทั้งเพนซิลเวเนีย, นอร์ทแคโรไลนา, จอร์เจีย และวิสคอนซิน ซึ่ง ณ ขณะนี้ คะแนนระหว่างทรัมป์และแฮร์ริสห่างกันอยู่ราว 277-224 คะแนนเสียง โดยทรัมป์ได้คะแนนเสียงไปทั้งสิ้น 70,940,657 คะแนนเสียง ส่วนแฮร์ริสได้คะแนนเสียงไป 66,025,623 คะแนนเสียงด้วยกัน
จากการหาเสียงอย่างแข็งขันในครั้งนี้ เขามุ่งเน้นการชูนโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน (America First)’ เพื่อเอาใจชาวอเมริกันผู้ชอบแนวทางความเป็นชาตินิยมโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีนโยบายเด่น ๆ เกี่ยวกับการยับยั้งการลอบเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ยุติเงินเฟ้อ ลดภาษีแรงงาน ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทุกชนิดอย่างต่ำ 10% โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญอย่างจีน
รวมถึงให้โอกาสสำคัญ ๆ แก่โลกใบนี้ ผ่านการลดราคาน้ำมันดิบโลก และผู้ประกอบการธุรกิจจะเพิ่มโอกาสการจ้างงานจากมาตรการลดภาษี รวมถึงการย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังประเทศไทย ซึ่งก็มีทั้งผู้คนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ทรัมป์ก็ได้ชี้แจงในสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะล่าสุดที่เวสตต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เมื่อเวลา 14:30 น. ตามเวลาประเทศไทยแล้วว่าแม้จะมีชาวอเมริกันหลายล้านคนไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้แก่เขา แต่เขาจะอุทิศตนเพื่อตำแหน่งประธานาธิบดี และตั้งใจรวมประเทศให้เป็นหนึ่งให้จงได้
และหลังจากนี้จะมีการประชุมลงคะแนนโหวตอย่างเป็นทางการของคณะผู้เลือกตั้ง และทรัมป์จะเข้าร่วมพิธีสาบานตน เพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งจากชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ทั่วโลกจะต้องเตรียมการสำหรับทิศทางใหม่ของมหาอำนาจโลกอีกครั้ง จากนโยบายชาตินิยมที่ทรัมป์วางเอาไว้ และน่าติดตามต่อว่าสถานการณ์โลกนับจากวันนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป