ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

เมื่อเราพูดถึงอาชญากรรม เรามักนึกถึงฉากคดีสะเทือนขวัญ ผู้กระทำผิด เหยื่อ และตำรวจ แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึง “นักอาชญาวิทยา” คนที่ไม่ได้ติดตามแค่ผลลัพธ์ แต่พยายามทำความเข้าใจถึงต้นตอของเรื่องราวเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง

เพราะอาชญากรรมไม่ได้เกิดขึ้นในวันที่มีเสียงไซเรน มันเริ่มนานกว่านั้น ตั้งแต่วันที่ไม่มีใครฟังใคร ไม่มีใครมองเห็นใครจริง ๆ

เส้นทางของ “ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา” เริ่มต้นจากเรือนจำแห่งหนึ่งที่เขาเข้าไปทำวิจัยในช่วงเรียนปริญญาตรี ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อด้านอาชญาวิทยาในต่างประเทศ ในวันที่ประเทศไทยยังไม่มีใครพูดถึงศาสตร์นี้อย่างจริงจัง

สิบกว่าปีผ่านไป เขายังเชื่อเหมือนเดิมว่า อาชญากรรมไม่ใช่เรื่องของความชั่วร้ายเสมอไป หากแต่เป็นเรื่องของโครงสร้าง สังคม และบาดแผลที่ไร้เสียง

และบทสนทนาครั้งนี้ เราจึงไม่ได้คุยแค่เรื่องกฎหมายหรือการจับกุม
แต่เราคุยกันถึงมนุษย์…ในมุมที่บอบบางที่สุด

‘เรือนจำ’ ก้าวแรกสู่โลกอาชญาวิทยา

“ตอนแรกผมเป็นตำรวจ รับราชการตำรวจมาประมาณ 6-7 ปี แล้วรู้สึกว่ายังมีวิชาที่เราอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมก็คือ ‘อาชญาวิทยา’ ตอนนั้นตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ มีตัวเลือกให้เลือกมากที่ต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันอาชญาวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป …ก็ไปเรียน …ก็รู้สึกชอบในตัวเนื้อหาเพราะมีความท้าทายดี แล้วก็มีความสนุก เหมือนเราได้เป็นนักสืบ เหมือนเราได้นำวิทยาศาสตร์ นำองค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความแตกต่างของอาชญากร หรือว่าความเปราะบางของเหยื่อมาทำงานได้จริง ๆ ซึ่งในไทยยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก ผมก็เลยรู้สึกสนุก แล้วก็อยากจะเรียนต่อ พอกลับมาที่ประเทศไทยก็ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกในสาขาเดิม 

ต้องเล่าก่อนว่า…จุดเริ่มต้นครั้งแรกที่ผมเข้ามาอยู่ในวงการอาชญากรรม คือตอนเรียนปริญญาตรีที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ เราเลือกไปทำงานวิจัยเชิงคุณภาพในเรือนจำ พอเราเข้าไปในเรือนจำ เรารู้สึกว่าชีวิตของคนในเรือนจำมีความน่าสนใจมาก แต่เขาใช้ความเก่งความฉลาดของเขาในทางที่ผิด เราจึงอยากศึกษาเกี่ยวกับตัวผู้กระทำความผิด ก็คือต้องเรียนอาชญาวิทยา เพราะเป็นอาชีพเดียวที่จะสามารถเข้าไปศึกษาเขาได้ ผมก็เลยไปเรียนต่อในด้านนี้ คนที่ศึกษาอาชญากรรมในทุกมิติก็คือนักอาชญาวิทยา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งรู้จักอาชีพนี้ ณ เวลานั้นเป็นสิ่งใหม่ในประเทศไทยที่ผมไม่รู้จะไปถามใคร ก็เลยต้องไปหาคำตอบเอง และนั่นคือก้าวแรกที่ทำให้ผมเข้าสู่โลกแห่งอาชญาวิทยา”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

ประเทศไทย…ประเทศที่มีอาชญากรเต็มเมือง แต่ไม่มีนักอาชญาวิทยาในกระบวนการ

“ในต่างประเทศ ถ้าเป็นคดีอาชญากรรมที่มีความซับซ้อนเกือบทุกคดีจะต้องมีนักอาชญาวิทยาเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ แต่ประเทศไทยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือตำรวจ หรือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้นักอาชญาวิทยาบางคดีที่ได้รับความสนใจหรือมีความซับซ้อนมากเท่านั้น 

นักอาชญาวิทยาในต่างประเทศเป็นที่แพร่หลายมาก จะสังกัดหน่วยงานของอาชญาวิทยา บางประเทศเขาก็จะมีหน่วยงานอาชญาวิทยาเป็นของตัวเองแต่ในไทยไม่มี ไม่มีหน่วยงานไหนที่เป็นหัว หรือควบคุมคอยบริหาร ไม่มีสำนักงานที่รับผิดชอบงานอาชญาวิทยา เราเรียนไป เราก็ไม่มีสังกัดอยู่ เราก็เลยต้องสังกัดมหาวิทยาลัย สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมราชทัณฑ์ อยู่ที่ว่าเราทำงานอยู่ที่ไหนในกระบวนการยุติธรรม นักอาชญาวิทยาจึงเหมือนเจ้าไม่มีศาล ส่วนใหญ่นักอาชญาวิทยาไม่เป็นตำรวจก็เป็นอาจารย์มีอยู่ 2 อาชีพ ประเทศไทยเป็นประเทศที่หาบุคลากรที่เป็นนักอาชญาวิทยายากมาก ๆ 

นักอาชญาวิทยาทำได้อย่างเดียวคือทำงานวิจัย ซึ่งเราขอทุนวิจัยได้ ได้แค่นั้นเพื่อศึกษา แล้วไงต่อ??? สำนักงานตำรวจแห่งชาติเอาผลงานการศึกษาเราไปใช้ไหม…อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง 

ในกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย ต้นน้ำคือตำรวจ มีเหยื่อ มีผู้ก่อเหตุ ตำรวจ อัยการ ศาล กรมคุมประพฤติ และราชทัณฑ์ 

นักอาชญาวิทยาอยู่ตรงไหนในเส้นนี้?
ตอบว่า…ไม่มีเลย 

แต่นักอาชญาวิทยาสามารถใช้ความเชี่ยวชาญช่วยได้ตั้งแต่ต้นน้ำ ตั้งแต่ตำรวจ เหยื่อ อัยการ กรมคุมประพฤติ ศาล เพราะเราสามารถออกแบบการลงโทษ การบำบัด หรือการแก้ไขพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุได้ วิชานี้เราเรียกว่า ‘ทัณฑวิทยา’

เราเรียนเกี่ยวกับการลงโทษ ส่วนการแก้ไขบำบัดก็จะเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ก็ต้องเรียนอาชญาวิทยา เหยื่อวิทยา ทัณฑวิทยา เราเรียนรายละเอียดความแตกต่างของเหยื่อแต่ละแบบ ทำไมเหยื่อคนนี้โดนโจรกรรมถึง 10 ครั้งในชีวิต ทำไมคนอื่นไม่โดน เราก็จะมาศึกษาเหยื่อพวกนี้ว่ามีปัจจัยอะไรในการเป็นเหยื่อของคนคนนี้ ถึงได้เป็นเหยื่อซ้ำซากอยู่นั่น

ความเปราะบางของเหยื่อแบ่งออกเป็นทั้งหมด 13 แบบ ผมยกตัวอย่างคร่าว ๆ แล้วกัน ผู้หญิงเสียเปรียบทางด้านสรีระคือตัวเล็กกว่า มีความอ่อนแอมากกว่า มัดกล้ามเนื้อน้อยกว่า ถ้าจะสู้กันผู้หญิงก็จะเพลี่ยงพล้ำ ผู้หญิงจึงเป็นเหยื่อมากกว่า คนชราอ่อนแอทางด้านร่างกายและความคิด เด็ก คนพิการ คนผิดปกติทางจิต คนที่เพิ่งอกหักมาถือว่าเป็นเหยื่อที่เปราะบาง เช่น เพิ่งสูญเสียคนที่รักก็จะเข้าไครทีเรีย (Criteria-หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจ) ของการเป็นเหยื่อ เห็นไหมว่าคนที่ไม่รู้ เขาก็จะรู้แค่ว่าเหยื่อคืออะไร คือคนที่ถูกเอาเปรียบคนที่ถูกทำร้าย แต่เหยื่อจริง ๆ มีการศึกษาและแยกประเภทไปอีก ทุกอย่างมีองค์ความรู้”

ด้วยความสงสัยเราจึงถามถึงตำแหน่งแห่งที่ของนักอาชญาวิทยาเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนของภาพรัฐ และในเรื่องของสังกัดที่ควรจะมี ที่ควรจะเป็นของผู้ที่อยู่บนอาชีพนี้ อ.ตฤณห์บอกว่าเราต่อว่า

“ผมว่าจริง ๆ คุณค่าของนักอาชญาวิทยาไม่อยู่ที่ว่ามีสังกัดหรือเปล่า แต่อยู่ที่ว่าความเชี่ยวชาญของเราถูกใช้ให้เป็นประโยชน์กับสังคมหรือเปล่ามากกว่า”

“ผมไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้มีหน่วยหรือองค์กรอะไรมารองรับ แต่ความสามารถ หรือความเชี่ยวชาญของเราควรถูกมองเห็น ควรถูกนำไปใช้ให้เกิดเรื่องดี ๆ อำนวยความยุติธรรม หรือหาสาเหตุของการกระทำความผิดร่วมกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ควรจะมีช่องทางให้ตำแหน่งนักอาชญาวิทยามีประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาล อัยการ เพราะคุณทำงานเกี่ยวกับอาชญากรรม คุณจะไม่มีนักอาชญาวิทยาได้อย่างไร อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ตรงเป้าหมายที่สุดแล้วในการศึกษาอาชญากรรมหรือรับมือกับมัน แต่เราไม่มี ในกระบวนการของการทำคดี ถ้านักอาชญาวิทยาไม่ได้ถูกรับเชิญให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นหมายความว่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

“เราทำได้แค่วิเคราะห์ แล้วก็ต้องเอาไปสอนหนังสือว่าเหตุแบบนี้ อาชญากรรมแบบนี้ ต้นตอคืออะไร ทำอย่างไรถึงจะป้องกันได้ ตั้งคำถามกับนักศึกษาหรือนิสิต ว่าถ้าสมมติเกิดคดีขึ้นมาแล้ว นี่คือเหตุการณ์อะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากสาเหตุใด อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ อธิบายด้วยสังคม อธิบายด้วยทางการแพทย์ พออธิบายเสร็จ เราจะเข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร หนทางป้องกันทำอย่างไร การป้องกันคือเมื่อเกิดแล้วเราจะไม่ทำ ถ้าไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกจะทำอย่างไร และการแก้ไขทำได้ไหม แก้ไขหมายถึงแก้ไขเคสที่เกิดแล้วได้หรือไม่ แก้อย่างไร นี่คือการศึกษาในแง่ของอาชญาวิทยา คือเราจะดูมิติทั้งหมดตั้งแต่ก่อนเกิด หลังเกิด ไปจนถึงว่าควรลงโทษอย่างไรด้วย นี่คือมิติทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของอาชญากรรม

จริง ๆ อาชญากรรมเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าเราจะตื่นขึ้นมาได้รับ Message scammer (การหลอกลวงของมิจฉาชีพผ่านข้อความ) หรือว่าโดนลักวิ่งชิงปล้น โดนขโมยของ คืออาชญากรรมอยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราศึกษาแล้วเราจะแก้ไขปัญหาหรือป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ไหม 

อาชญากรรมมีตั้งแต่มิติที่เรียกว่า Micro กับ Macro มีมิติตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อย่างเช่นการถูกโกงช็อปปิ้งออนไลน์, อาชญากรรมแบบ Romance Scam คือ การหลอกให้รักแล้วโอนเงินสร้างความเสียหายด้วยเม็ดเงินเป็นจำนวนมากที่มากกว่าช็อปปิ้งออนไลน์เสียอีก ยังมีธุรกิจสีเทาต่าง ๆ นานา การค้าอวัยวะในตลาดมืด การลักขโมยของ ฆาตกรต่อเนื่อง อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ มากมายหลายมิติมาก ๆ”

เมื่อกฎหมายเก่า แต่เด็กก่อเหตุใหม่ขึ้นทุกวัน 

“ผมนี่ติดใจคำว่าถอดบทเรียนมากเลย 
ถอดแล้วถอดอีก 
พอถอดออกมาแล้วใช้ไหมครับ???”

“ผมถอดออกมาแล้ว เพราะมันเป็นอย่างนี้นะ ต้องแก้ตรงนี้นะ สิ่งเหล่านั้นมันนอกเหนือความสามารถของผมในการแก้ แต่มันก็ไม่ได้ถูกแก้ไข”

“ปัจจุบันนี้เด็กอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ในการกระทำความผิด แต่กฎหมายก็ยัง Set อายุเด็กไว้เท่าเดิมในการรับผิดความผิดทางอาญา ถ้าคุณอยากจะลอกเลียนแบบของต่างประเทศจริง ๆ นะ คุณต้องลอกออกมาทั้งหมด ไม่ใช่ลอกแค่บางอย่าง เช่น อันนี้ต้องคุ้มครองเด็กนะ ถ้าคุณจะลอกแค่บางข้ออย่างนั้นมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร ที่ต่างประเทศ ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปรับโทษทางอาญาเท่าผู้ใหญ่ทุกประการ ของเราไม่ใช่แบบนั้น ของเรายัง 15-18 ยังเป็นเยาวชน แล้วดูเยาวชนสิครับที่ฆ่าคนตายเริ่มตั้งแต่อายุ 11 มีตั้งหลายคดีที่เราทำกันมา ผมก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เด็กทำผิดผู้ใหญ่จะต้องรับโทษด้วย ต่างประเทศจำคุกพ่อแม่นะครับ ลูกไปกราดยิง จำคุกพ่อแม่ แต่ของเราปรับพ่อแม่ 5,000 บาท มันต่างกันเยอะครับ 

ฉะนั้นบ้านเมตตาก็คือคุกเด็ก แล้วเด็กที่เข้าออกคุกเด็กเกินกว่า 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง คุณควรจะมีมาตรการใหม่ไหม เพราะคุณรู้แล้วว่าเข้าครั้งที่ 1 มันก็ไม่ได้ผล มันถึงเข้าครั้งที่ 2 พอเข้าครั้งที่ 2 เด็กเดินเข้าออกเป็น 10 ครั้ง แล้วเด็กกลุ่มนั้นก็จะเปลี่ยนจากบ้านเมตตามาเดินเข้าออกเรือนจำเช่นกัน ผมทำวิจัยมาแล้วเป็นแบบนั้น ก็ยังไม่เห็นจะเปลี่ยนแปลงอะไร

การที่เด็กทำความผิดซ้ำซาก ปัจจัยมีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือสภาพสภาวะความคิดของเขาปกติไหม เพราะเด็กที่ทำผิดมาตั้งแต่เด็กจะต้องมีความผิดปกติมาตั้งแต่เด็ก ความผิดปกติเกิดจากอะไรบ้าง เช่นร่างกาย จิตใจ สังคม พ่อแม่เป็นอย่างไร ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็จะไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยง ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง เด็กก็เริ่มใช้ยาเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย มันเป็น Pattern เลย พอยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มีอะไรบ้างล่ะ กระท่อม กัญชา เสร็จปุ๊บก็เกเรียน พอไม่เรียนก็มีเรื่องชกต่อย เรื่องชกต่อยเสร็จปุ๊บก็มีพัวพันยาเสพติดหรือฆ่าคนตาย เสร็จปุ๊บพออายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องรับโทษแบบผู้ใหญ่ ก็เข้าบ้านเมตตา เข้าบ้านเมตตาเสร็จก็ไปได้กลุ่มแก๊งในนั้น ออกมาทำความผิดใหญ่กว่าเดิม มีแก๊งใหญ่กว่าเดิม เครือข่ายกว้างกว่าเดิม เพื่อกระทำผิดมากขึ้นไปอีก มันก็วนเวียนอยู่แบบนี้”

“การที่จะทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดลง 
เราต้องยอมรับก่อนว่า
การแก้ไขปัญหาแบบจับเด็กเข้าไปบำบัด มันไม่ได้ผล”

“การบำบัดแต่ละรูปแบบเหมาะกับเด็กแต่ละแบบที่ไม่เหมือนกัน สมมติผมฆ่าคนตายด้วยการบีบคอ ผมฆ่าคนตายด้วยการวางยาพิษ ผมฆ่าคนตายด้วยการแทง ผมขายยาเสพติด ผมใช้ยาเสพติดจนคลุ้มคลั่ง เด็กกลุ่มนี้ถูกจับเข้าสถานบำบัดเหมือนกัน โดนบำบัดด้วยวิธีเดียวกัน จะหายได้อย่างไรในเมื่อต้นเหตุของการทำผิดไม่เหมือนกัน???

เราไม่ได้มีงบมากพอที่จะเจาะเข้าไปในตัวชีวิตของเด็กแต่ละคน ว่าสาเหตุเริ่มแรกขาดความอบอุ่นหรือเปล่า ถ้าขาดความอบอุ่นสิ่งที่เขาต้องการก็คือความอบอุ่นจากครอบครัว ไม่ใช่การถูกขังหรือการจับไปเลิกยาที่วัด มันแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด 

เด็กโตขึ้น โตไวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่ากินอาหารแปรรูป เพราะเทคโนโลยีด้วย เริ่มมีหน้าอก มีประจำเดือน พอมีประจำเดือนสามารถตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย บางคน 9 ขวบ 10 ขวบมีลูกได้แล้ว น่าตกใจมาก ซึ่งแต่ก่อนมันไม่ได้

ทีนี้พอถ้าสรีรวิทยาของมนุษย์มีความเปลี่ยนไป แต่กฎหมายอยู่ที่เดิม เกณฑ์อายุอยู่เท่าเดิม ฉะนั้นกลายเป็นว่ากฎหมายไม่ทันสมัย และกว่าจะเข้ากระบวนการร่างกฎหมายแก้ไข ก็ช้าไปอีก นานไปอีก ปรับปรุงไม่ได้ ไม่ได้ใช้สักที 

พอเด็กอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เวลาก่อเหตุเขาก็ยังมีคำว่าเยาวชนป้องกันเขาอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่มันก่อเหตุเหมือนผู้ใหญ่เลย ฆ่าคนตายอย่างคดีป้าบัวผันที่เด็กอายุ 11 ฆ่าคนครั้งแรก เสร็จก็ฆ่าป้าเขาด้วยการกดน้ำ เอาเหล็กตี บีบคอ นั่นคือเด็กอายุ 11 กับ 12 ในการก่อเหตุ คืออายุน้อยมาก

อีกอย่างหนึ่ง คือการมัดรวมเด็กที่ความผิดแตกต่างกัน มัดรวมไว้แล้วฝึกการแก้ไขแบบเดียวกัน ซ้ายหันขวาหันก็ให้ไปเข้าค่ายธรรมะ เสร็จปุ๊บมาบริการสังคม จะมีคนกี่ที่หายครับ??? ลองทำตัวเลขดูก็ได้ว่าตัวเลขที่หายมีกี่เปอร์เซ็นต์ ทำซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วคุณต้องกล้าทำตัวเลขแล้วโชว์ตัวเลขนั้น คุณจะได้รู้ว่ามันได้ผลหรือไม่ได้ผล 

ตัวเลขแต่ละหน่วยงานก็เป็นตัวเลขปลอมอีก เวลาเราทำงานวิจัย สมมติว่าผมไปขอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตัวเลขอาชญากรรมที่แท้จริง ผู้ก่อเหตุหรือเหยื่อ ไม่เคยตรงกับความเป็นจริง ขนาดโควิดของประเทศไทยยังไม่ใช่เลขจริงเลย เพราะการเผยแพร่เลขผู้ตายหรือผู้เสียชีวิตจริงออกไป จะเกิดความโกลาหลในสังคม 

ฉะนั้นการแจ้งเลขจริงก็ต้องลดปริมาณลงไม่ให้ชาวบ้านรู้ว่าคนตายเยอะขนาดไหน ในเมื่อเราได้ตัวเลขปลอม เวลาเราทำบัญชีหรือรายงานปลอม ๆ ว่าโรงพักนี้มีสถิติอาชญากรรมต่ำ มีสถิติการจับกุมสูงมาก 90% จริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า??? รถประจำทางไม่มีควันดำเลยสักคัน แล้วที่เราเห็นมันคืออะไร พัทยา ชลบุรี ไม่มีหญิงขายบริการเลย สีลม ข้าวสารไม่มียาเสพติด ตรวจไม่พบ คือการแห่ตะโกนประกาศว่ากำลังจะไปตรวจ ผมทำผิดผมก็ไม่อยู่เหมือนกัน ฉะนั้นวิธีการที่เราจะรับมือกับอาชญากรรมจริง ๆ คือเราต้องเลิกดัดจริตก่อน”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

การกระทำความผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของมนุษย์

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้นสายปลายเหตุของอาชญากรรมคืออะไร จัดการยาเสพติดได้หรือยัง พอมีเรื่องยาเสพติดก็จะมีเรื่องปืนเถื่อน ตอนนี้ปืนเถื่อนที่ไหลเวียนอยู่ในระบบสังคมเรามีประมาณ 4 ล้านกระบอกจากการขึ้นทะเบียนปืน 6 ล้านกระบอก เท่ากับว่าคนที่เดินผ่านเราจำนวน 7 คน มีจำนวน 1 คนมีปืนเถื่อน แก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือยัง เพราะปืนกับยาเสพติดและการพนันมาคู่กัน มัดรวมกัน พอแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ ก็จะมีปัญหาการปล่อยกู้ เพราะว่ามีลูกหนี้เยอะ เรื่องพนันหนี้พนัน ล่าสุดคดีเงินหายกระทบกระเทือนเป็นโดมิโน ถ้าระบบเราแข็งจริง คนจะกลัวการกระทำความผิด 

ผมยกตัวอย่างสมมติว่าถ้ารถที่ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ต้องถูกจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา คนจะกล้าฝ่าไฟแดงไหมครับ การขโมยของลักทรัพย์ ถ้าไม่ใช่แค่ต้องเสียค่าปรับไม่กี่พันแต่คุณโดนตัดมือ 1 ข้างเหมือนประเทศอียิปต์ คนจะขโมยของไหม โทษเราไม่น่ากลัวหรือเปล่า มียาเสพติด ใช้ยาเสพติดโดนจับตอนเช้าถูกปล่อยออกมาตอนเที่ยง คนข้างบ้านก็เห็นแล้วว่าใช้ยาเสพติดถูกจับจริง แล้วก็ถูกปล่อยจริง มันก็ไม่น่ากลัวครับ

การลงโทษเมื่อ 200 ปีที่แล้ว มีเพื่อป้องปรามให้คนกลัวและไม่กล้าทำ ปัจจุบันนี้โทษเราน่ากลัวแค่ไหน การที่เด็กเยาวชนเดินยาซื้อขายยาเสพติด เพราะเด็กรู้ว่าการที่ยังเป็นเยาวชนโทษน้อย แล้วผู้ใหญ่มันก็รู้ พ่อค้ายาเสพติดก็รู้ ก็เลยใช้เด็กเป็นคนเดินยา 

ถ้าคุณต้องการที่จะลดปัญหาอาชญากรลงจริง ๆ ควรกำหนดโทษให้น่าเกรงขาม เช่นถ้าทำผิดซ้ำต้องได้รับโทษหนักกว่าเดิม ผมว่าโทษในบ้านเราเบาไป สมมติว่าเราทำเรื่องร้ายแรงมากเลยโดนโทษประหารชีวิต คุณไม่ได้โดนประหารจริง คุณถูกจำคุกตลอดชีวิต มันมีเหตุผลเบื้องหลังเรื่องเหล่านั้น แต่ว่ามันทำให้ผู้กระทำผิดอื่น ๆ ได้เห็นแล้วว่า เห็นไหมว่าจำคุกตลอดชีวิตไม่มีอยู่จริง สุดท้ายแล้วทำตัวดีโดนลดโทษเหลือ 7 ปี

ผมยังเห็นว่าโทษประหารชีวิตยังควรจะมีอยู่ และควรทำเป็นสาธารณะด้วย ให้ได้เห็นว่ามีการประหารจริง เกิดขึ้นวันนี้ นายนี่ ไปทำนู่นทำนี่ ที่ต่างประเทศสถิติการเกิดอาชญากรรมต่ำ เพราะว่าเขาทำแบบนี้

ทีนี้เราต้องมาดูกฎหมายที่ไม่ทันสมัย ค่าปรับก็ไม่ทันสมัย แต่ก่อนค่าปรับ 2,000 แต่ก่อนค่ามูลค่าทองบาทละ 400 ปัจจุบันขึ้นมาบาทละ 55,000 แล้ว ขึ้นมามากกว่า 100 เท่า แต่ค่าปรับเราเปลี่ยนจาก 2,000 เป็น 20,000 เท่าเอง เห็นไหมว่ามูลค่าทองกับค่าปรับมันไม่ Balance กัน 

ทำไมคนไทยไปต่างประเทศจึงกลัวการทำผิดที่เมืองนอก เพราะคนไทยรู้ว่าเขาเอาจริง งั้นแสดงว่าคุณก็รู้สิว่าประเทศไทยไม่เอาจริง อย่างเรื่องการสูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ ผมก็ไม่เห็นว่าใครจะโดนปรับ เอาง่าย ๆ แบบนี้ครับ ว่าการบังคับใช้มันศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ถ้าเป็นที่ต่างประเทศจอดรถในที่ห้ามจอดโดนปรับ 50,000 บาท ของเรา 500 บาท 2,000 บาท คนมีเงินก็ทำได้สิครับ ถ้าสมมติว่าผมมีเงินพันล้าน ผมจะโดนจับทุกวันก็ยังได้ ดังนั้นค่าปรับควรจะเปลี่ยนเป็นการขังคุกโดยไม่รอลงอาญาสำหรับพวกที่เขากระทำผิดซ้ำซาก…หรือเปล่าครับ???”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

สิ่งที่ประเทศไทยต้องมีเกี่ยวกับอาชญาวิทยา

“ผมอยากให้มีหน่วยงานที่รวบรวมนักอาชญาวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญต่าง ๆ มารวมกัน แล้วก็อาจจะเปิดโรงเรียนฝึกสอนเป็นของตัวเอง ไม่ก็เป็นโรงเรียนฝึกสอนการสอบสวน การเก็บพยานหลักฐานที่ดูเป็นสากลมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ มีการนำอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเอาองค์ความรู้ของเขามาใช้มาฝึกสอนพวกเราด้วย แล้วก็เพิ่มจำนวนนักอาชญาวิทยาที่มีอำนาจในการอำนวยความยุติธรรมด้วย ไม่ใช่ทำได้แค่วิเคราะห์ วิเคราะห์แล้วไงต่อ ไม่มีคนเอาสิ่งที่เราวิเคราะห์ไปทำงานต่อมันก็เท่านั้น 

เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีต้องมีความรู้ด้านอาชญาวิทยา คุณอาจจะไม่ใช่นักอาชญาวิทยาก็ได้ แต่คุณควรเรียนรู้เรื่องนักอาชญาวิทยา ตำรวจก็ต้องรู้ ราชทัณฑ์ อัยการ ศาลก็ควรรู้ เพราะวิธีการคิดแบบผู้กระทำผิดหรืออาชญากรไม่เหมือนคนทั่วไป เหมือนหมอมองคนใช้ยาเสพติดเป็นคนไข้ แต่นักอาชญาวิทยามองว่าเป็นอาชญากรมันต่างกัน 

ฉะนั้นมิติหรือเลนส์ที่คุณจะมองสังคม ควรจะมีเลนส์ที่ชื่อว่า Criminology (อาชญาวิทยา) สวม 1 เลนส์ คุณจะได้มองอะไรอย่างเป็นมิติอย่างอาชญาวิทยาให้มากขึ้น คุณจะได้มีการสกรีนหรือคัดกรองเหตุการณ์แบบนักอาชญาวิทยาได้ อย่างน้อยถ้าคุณมีองค์ความรู้ คุณจะตกเป็นเหยื่อได้ยาก เพราะคุณมีวิธีคิดแบบป้องกันตัวป้องกันตน”

คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แบบนักอาชญาวิทยา

“ผมต้องดูก่อนว่าคดีนั้นคือคดีอะไร สมมติว่าเป็นคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ชีวิต ถ้าผู้ก่อเหตุมีปัญหาทางจิตและขณะก่อเหตุไม่รู้ตัวอาการกำเริบเขาถือเป็นผู้ป่วย แต่อีกนัยหนึ่งเขาได้ฆ่าคนตายสำเร็จไปแล้ว เขาคืออาชญากรด้วย แต่เราต้องมาดูทีนี้เราต้องมาดูหมุนมาดูอีก Step หนึ่งก็คือการลงโทษ ควรจะลงโทษยังไง ในเมื่อหากพิสูจน์ได้ว่าตอนก่อเหตุอาการเขากำเริบ อันนี้มีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ 

มีคดีหนึ่งผมจะเล่าให้ฟังเกิดขึ้นที่อเมริกา ผู้ชายคนหนึ่งละเมอขับรถไป 15 ไมล์เพื่อฆ่าพ่อตากับแม่ยายของตัวเอง ฆ่าสำเร็จเลือดเต็มตัว ขับรถต่อไปที่สถานีตำรวจ และเขาก็รู้สึกตัวตอนถึงสถานีตำรวจแล้ว 

‘เขาเดินละเมอ’ เรื่องนี้มีการถกเถียงกันว่าจะเป็นไปได้อย่างไร??? 

สรุปว่าศาลพิพากษาให้มีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะว่าพิสูจน์ได้ว่าสมองของผู้ชายคนนี้มีความผิดปกติช่วงหลับจริง ๆ เขาไม่รู้ตัวจริง ๆ พิสูจน์ทราบด้วยหลักวิทยาศาสตร์

สมองของมนุษย์ตอนเราตื่นกับตอนเรานอนหลับมีความถี่ไม่เหมือนกัน ถ้าเราหลับลึกคลื่นสมองเราจะช้ามาก เราเรียกว่า Delta Wave แต่ตอนที่เราตื่นจะเป็นสมองหลับตื้น ก็จะเป็น บีตา (Beta) แอลฟา (Alpha) เดลตา (Delta) มันมีหลาย Stage ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าผู้ชายคนนี้ เขามีภาวะนอนไม่หลับ ในขณะที่เทียบกับผู้ป่วยที่นอนไม่หลับเหมือนกัน คลื่นสมองของเขายังสูงผิดปกติ แสดงว่าเขาผิดปกติจริง ๆ ในด้านของกายภาพสมอง นี่คือวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นคุณจะมาเอาแค่การฆ่าคนตายว่าถ้าฆ่าคนตายต้องได้รับโทษอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันมีความเปราะบางในด้านความต่างของบุคคลด้วย ซึ่งคนนี้ป่วยและเขาไม่รู้ตัว เขาหลับสนิทจริง ๆ 

คดีนี้มีการตรวจทางการแพทย์ละเอียดมาก ข้อต่อสู้คือผู้ชายคนนี้เดินละเมอ และตั้งแต่เกิดคดีนี้ ผู้ชายคนนี้ไม่เดินละเมออีกเลยเท่าที่ผมตามคดีมา 

มนุษย์เราแต่ละคน ความซับซ้อนของความคิดอยู่ที่เนื้อสมอง อยู่ที่ตัวสมอง สมองแต่ละคนไม่เหมือนกัน วันดีคืนดีถ้าผมลุกขึ้นมาเป็นบ้าก็อาจจะเป็นเพราะผมมีเนื้องอก ผมหยุดหายใจตอนหลับเพราะขาดออกซิเจน มันมีหลายเหตุผล ซึ่งตอนนี้วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเกิดเหตุนี้เพราะอะไร นี่ก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ผมให้ความสนใจไม่น้อยไปกว่าอาชญาวิทยา ผมเลยเลือกความเชี่ยวชาญเป็นด้านพฤติกรรมมนุษย์ 

อาชญาวิทยาสามารถมีหลายสาขาได้ ซึ่งในต่างประเทศมีสาขาให้เลือกมากกว่าที่ประเทศไทย ที่ไทยไม่มีสาขาให้เลือก ที่ไทยมีแค่การบริหารงานยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม มีแค่นี้ คุณจะไปสายกฎหมาย สายสังคม หรือว่าไปสายกระบวนการยุติธรรม แต่ที่ต่างประเทศจะมีสายประสาทวิทยา จิตวิทยา กฎหมาย สังคม มีให้เลือกเยอะมาก 

ฉะนั้นอยู่ที่เรามีข้อจำกัดในการเรียน เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญเราน้อย อย่างวิชาเรื่องการอ่านภาษากายในเชิงการสอบสวนสืบสวน ผมก็ต้องไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญที่อังกฤษ ผมถึงได้ใบรับรองมา ผมสอนเรื่องนี้ให้กับลูกศิษย์ที่ประเทศไทยแต่การวางหลักสูตรเป็นการร่วมทำกับประเทศอังกฤษครับ”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือว่าเขาเป็นมิจฉาชีพ

“ผู้วิเศษในประเทศไทยมีเยอะมาก 
เราควรจะมีกระทรวงเวทมนตร์”

หัวข้อนี้เราชวนอาจารย์ตฤณห์คุยกันถึงเรื่องมีกลุ่มคนที่เชื่อว่าตนเองมีความเหนือธรรมชาติในเคสต่าง ๆ มากมายที่เราเห็นผ่านตากันในโหนกระแสบ้าง ในสื่อโซเชียลต่าง ๆ บ้าง ‘เขาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือว่าเขาเป็นมิจฉาชีพ’ เท่าที่ทราบกันดีจากตาเนื้อ เราจะเห็นความอิหยังวะที่ฉีกทุกกฎ ทุบทุกโครงสร้าง มาทุกสำนัก ทุกเทพ ทุกผู้วิเศษ ทุกเคล็ดวิชา อาจารย์ตฤณห์จึงบอกกับพวกเราตามประโยคด้านบน พร้อมกับเหตุผลในการจัดตั้งกระทรวงเวทมนตร์ ว่า…

“1. คุณจะตั้งสำนักอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย ต้องมีการตรวจสถานที่ เพราะนอกจากคุณจะปลุกเสกเครื่องรางของขลังแล้ว คุณยังสักยันต์ด้วย ทำไมคลินิกความงามหรือร้านสักจะต้องไปจดทะเบียนอย่างถูกต้อง ทำไมคุณไม่ต้องทำ ผมสงสัยมาก??? อีกอย่างหนึ่งเส้นแบ่งระหว่างผู้วิเศษเหล่านี้ หนึ่งก็คือเขาได้ผลประโยชน์จากการแสดงแบบนั้นไหม ถ้าคุณแสดงการเข้าถึงอิทธิฤทธิ์ การเป็นผู้วิเศษแล้วคุณได้เงิน นั่นคือมิจฉาชีพ คุณใช้การหลอกลวงคนอื่นในการได้มาซึ่งทรัพย์ซึ่งไม่ควรได้ 

ส่วนข้อที่ 2. ถ้าคุณเชื่อจริง ๆ ว่าคุณเป็นผู้วิเศษ แล้วคุณก็ไม่ได้เงินจากสิ่งนั้น แต่เราต้องดูก่อนนะว่าคุณได้อะไรแทน เช่นชื่อเสียงเพื่อนำไปขายของต่อหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ได้อะไรเลยแต่คุณเชื่อว่าคุณมีพลังวิเศษ แต่อาศัยอยู่ในป่าอยู่คนเดียว คุณเสียสติ มีสองอย่างให้เลือก คุณจะเป็นบ้าหรือจะเป็นมิจฉาชีพ

ผมไม่เชื่อว่ามีคนปกติที่ไหนที่เชื่อว่าตัวเองเหาะเหินเดินอากาศได้ มันคือหนึ่งในไครทีเรีย (Criteria) ในการบอกว่าตัวเองป่วยโรคที่ชื่อว่า Schizophrenia หรือจิตเภท แบบนี้เราเรียกว่าการหลงผิดแบบ Grandiose คือหลงผิดคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น มีพลังวิเศษ ซึ่งเราเห็นตามหน้าข่าวเยอะแยะว่าสื่อสารกับพระอินทร์ได้ สื่อสารกับพระเยซูได้ สื่อสารกับเจ้าแม่กวนอิมได้ แล้วเจ้าแม่กวนอิม พระเยซู พระอินทร์สั่งให้ฉันไปบูชายัญโน่นนี่นั่น เราก็เห็นมาแล้ว สุดท้ายป่วย แล้วก็ฆ่าคน

ผมอยากให้ผู้วิเศษเหล่านั้นไปพบจิตแพทย์ ไปสแกนสมองครับ เราจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณป่วยจริง หรือคุณแกล้ง คลื่นสมองจะบอกเลย สมองส่วนหน้าของคุณมีการใช้ไหม สมองส่วนภาพส่วนเสียงผิดปกติหรือเปล่า คือมันตรวจได้ครับ กล้าให้ตรวจไหมล่ะ ผู้วิเศษเหล่านั้นมาลองเอาเครื่อง EEG (Electroencephalography) กับ PET scan (Positron Emission Tomography) มาสแกนหน่อย อาการของโรคทำให้เขาเป็นแบบนั้น คือถ้าหายอาการก็จะหายไปด้วย 

ส่วนใหญ่คนป่วยไม่เท่าไหร่ แต่คนที่ไปบูชาคนป่วยผมว่าหนักกว่าอีก ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศที่เรื่องความเชื่อมีอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ฉะนั้นมันฝังแน่นอยู่กับวัฒนธรรมไทย อย่างพระบิดาที่ที่ให้ลูกศิษย์กินปัสสาวะ กินอุจจาระ แล้วเก็บศพลูกศิษย์มาเพื่อคั้นน้ำเหลืองมาทาตัว โอ้โห!!! เขาบ้าคนเดียวไม่เท่าไหร่มีคนไปฟังคนบ้า แล้วทำตามนี่อันตราย สังคมเรามาถึงจุดนี้แล้ว ในจุดที่วิทยาศาสตร์ตอบคุณได้ แต่คุณเลือกที่ไม่ฟัง”

แล้วสำหรับอาจารย์ตฤณห์ คนกลุ่มไหนที่ถอดพฤติกรรมยากที่สุด ? 

“คนบ้าครับ เพราะคนบ้าจะเชื่อว่าตัวเองพูดเรื่องจริงอยู่ เขาเชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเองเป็นเรื่องจริง ดังนั้นหากเราจับคนบ้าเข้าเครื่องจับเท็จ เครื่องจับเท็จก็จะจับไม่ได้ เพราะคนบ้าเขาเชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งที่เขาเห็น หรือสิ่งที่เขาได้ยินมีอยู่จริง คนบ้าไม่สามารถอ่านภาษากายได้”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

กว่าจะเป็น…อาชญากร

“พฤติกรรมอาชญากรรมของอาชญากร จะมีสัญญาณเตือนก่อน” 

“ในฆาตกรต่อเนื่อง เขาจะเริ่มจากการทรมานสัตว์ หรือเก็บซากสัตว์สะสม มีการลักขโมยชิ้นส่วน เพราะมันสร้างความตื่นเต้นให้กับเขา แล้วพอสัตว์ได้ทำการชำแหละซากหรือทรมานลูกหมา ลูกแมวแล้วไม่ได้ดั่งใจ เริ่มไม่สนุกแล้ว ก็จะเริ่มมาทำคน…นี่คือสัญญาเริ่มต้น 

อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของการควบคุมอารมณ์ หากคุณมีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรงตั้งแต่เด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป ก้าวร้าวในแบบที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจจะเป็นโรคสมาธิสั้น ไบโพลาร์ ซึมเศร้า IED (โรคอารมณ์ฉุนเฉียวฉับพลัน) Borderline (ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง หรือ Borderline Personality Disorder) มีหลายโรคเลยครับให้เลือกเป็น แล้วก็ทุกอาการจะมีอาการเบื้องต้นก่อนเกือบ เช่น มีอารมณ์ มีความก้าวร้าว มีความโกรธ สมมติมีรถขับปาดหน้าเรา เราโกรธ เราด่าในรถ โอ๊ย!!! ทำไมขับรถอย่างงี้ ด่า ๆ ๆ บีบแตรปี๊น ๆ ๆ นี่คือระดับที่ 1 ระดับที่ 2 อาจจะบีบแตรยาว ๆ แล้วก็เปิดกระจกไปด่า ระดับ 3 ขับตามไป ไปปาดหน้าคืน ระดับที่ 4 ขับตามไปเอาปืนยิงเขา มันมีระดับของความโกรธ ซึ่งหากระดับความโกรธของคุณมากกว่าชาวบ้านเขา ให้พึงพิจารณาว่ามีอาการไม่ปกติทางอารมณ์ 

ส่วนใหญ่เวลาฆ่ากันตายในเรื่องหึงหวงชู้สาว ผู้ชายหรือผู้หญิงก็แล้วแต่ที่มีอารมณ์แบบนั้น ก็จะมีสัญญาณบอกมา เช่นควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้จึงทำลายข้าวของ พูดจาหยาบคาย ดูหมิ่นไม่ให้เกียรติคู่รัก แล้วก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ถ้าเหยื่อปล่อยให้เขาทำแบบนั้นโดยที่ไม่สู้กลับ ไม่แจ้งความ คุณเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์ ซึ่งเหยื่อก็มีสาเหตุของการเป็นเหยื่ออีก เราจึงต้องศึกษาทั้งเหยื่อและตัวผู้กระทำผิด

ผมเคยไปสัมภาษณ์คดีหนึ่ง ถูกจับยาไอซ์ 20 กิโลกรัม จำคุกตลอดชีวิต ตอนกระทำความผิด ผู้กระทำความผิดอายุแค่ 18 เอง แต่เขาฉลาดมากจริง ๆ เรียกได้ว่าฉลาดที่สุดตั้งแต่ผมสัมภาษณ์ผู้กระทำผิดมา เขาเป็นผู้หญิง ถ้าได้เรียนก็คงจะต้องเรียนวิศวะไฟฟ้า แต่เขาไม่เคยเรียนหนังสือ เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เขาสามารถทำเครื่องบินบังคับได้ และทำเพื่อไปส่งยาบ้าในไทย โปรเจกต์ใหญ่เขาคือกำลังทำพารามอเตอร์ไร้คนขับ เพราะบรรจุยาบ้าได้เยอะกว่าเครื่องบิน ดูเข่าคิด เขาเก่งมากจริง ๆ !!! 

ผมถามเขาว่า “ถ้าย้อนกลับไปได้จะทำไหม” เขาตอบว่า “ทำ หนูรู้แล้วว่าหนูจะโดนจับยังไง วิธีไหน หนูจะทำให้มันแนบเนียนขึ้น จะได้ไม่โดนจับ” ผมก็ปรบมือให้เลย มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการกระทำความผิดมาก แต่เหตุผลที่เขาพูดน่าสนใจครับ เขาพูดว่าพี่ลองบอกมาสิว่าอาชีพไหนบ้างหาเงินได้เท่ากับที่หนูหา ก็จริง จริงอย่างเขาว่า โอกาสในการต่อสู้กันในระบบเศรษฐกิจไม่เท่าเทียมกัน น้องเขาพูดอย่างภูมิใจที่สุดเลยนะว่า เขาถูกจับยาเสพติดล็อตใหญ่ที่สุดในอายุแค่นี้ ไอ้ยาเสพติดปริมาณขนาดนี้ มันต้องเจ้าแม่เจ้าพ่อใหญ่จริง ๆ นะถึงจะได้จับ พูดไปยิ้มไป 

อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องความซื่อสัตย์ ให้ตายยังไงเขาก็จะไม่สาวไปถึงตัวนายทุนเขา เพราะเขารักมาก บูชามาก เรียกว่าพ่อให้เขาไปเรียนรู้เรื่องการทำพารามอเตอร์ เขาบอกว่าถ้าไม่มีคนที่เป็นนายทุนคนนี้ เขาก็จะไม่มีชีวิตสุขสบายเหมือนที่ผ่านมา มีทั้งบ้าน มีทั้งรถ ในขณะที่คนอื่นขับมอเตอร์ไซค์ เขาขับแจ๊ส เขาหาเงินได้ คนพวกนี้ซื่อสัตย์มาก
น้องคนนี้เป็นเด็กที่หัวดีมาก เติบโตและอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าพ่อแม่แยกทาง แล้วพ่อก็ขายยาเสพติดด้วย ฉะนั้นเขาอยู่ในสังคมที่ไม่ดี ถ้าเขาถูกผู้มีอุปการะรับไปเลี้ยงให้การศึกษาดี ๆ ให้ความรัก ผมว่าเด็กคนนี้อาจจะเป็นนักคณิตศาสตร์โอลิมปิก ดังนั้น ชีวิตเขา เขาจึงเลือกทางที่ง่ายที่สุด แล้วก็เสี่ยงในอายุน้อย พร้อมที่จะ Take risk  หรือว่ายอมเสี่ยง เพราะช่วงทำความผิดเขาเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางด้านอารมณ์ เด็กอายุเท่านี้ 13 – 20 ต้น ๆ ไม่ค่อยมีความกลัว สามารถจะเป็นเด็กแว้นยกล้อ ขับสวนทางบนทางด่วน ที่เราเห็นเด็กปาหินส่วนใหญ่ก็กลุ่มอายุเท่านี้”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา
ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

เรื่องของ “ยีนฆาตกร”

“เราเรียกยีนนี้ว่า Warrior Gene (ยีนส์นักรบ) หรือ DNA ที่เรียกว่า MAOA (Monoamine Oxidase A Gene หรือ ยีนโมโนเอมีนออกซิเดสเอ)”

“นี่คือชื่อจริง ๆ DNA นี้จะอยู่ในนักรบ อัศวินหรือกษัตริย์สมัยก่อนร้อยปีพันปีที่แล้ว คือคนโหดเหี้ยมเท่านั้นที่จะอยู่รอด เขาต้องมีความเด็ดขาด กล้าหาญ โหดเหี้ยม เด็ดเดี่ยว ทุกอย่างรวมอยู่ในยีนนี้ ซึ่งบรรพบุรุษของเราทุกคนก็ต้องมียีนนี้ ไม่งั้นเราไม่อยู่รอดมาจนทุกวันนี้ 

นักประสาทวิทยาคนหนึ่งชื่อ จิม ฟอลลอน (James H. Fallon ) จิม ฟอลลอนเป็นนักประสาทวิทยาที่ศึกษาสมองของฆาตกรต่อเนื่องมาเนิ่นนาน เขารู้รูปแบบของมันว่ามันเป็นอย่างไร เขาก็เลยไปถามแม่เขาว่า เขาศึกษาสมองของคนอื่นมาแล้ว ไม่มีสมองใครน่าสนใจให้เขาศึกษาอีกแล้วแม่เขาก็เลยบอกว่า “เธอศึกษาสมองของตัวเองสิเพราะว่าญาติเธอ Generation ข้างบนก็เป็นฆาตกรเหมือนกัน” เขาก็เลยสนใจ ญาติของเขามี 3 คนที่เป็นฆาตกรฆ่าคน 

จิม ฟอลลอน เอาสมองของเขาไปสแกน ก็ได้พบว่ารูปแบบสมองของเขาเหมือนฆาตกรต่อเนื่องคนอื่น ๆ ทุกประการ ทุกส่วน เขาจึงสงสัยว่า แล้วอะไรที่ทำให้เขาไม่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง สิ่งที่ต่างที่เขาค้นพบมีอยู่ข้อเดียว คือ ตอนเด็ก ๆ เขาไม่เคยถูกอนาจารทางเพศหรือ Sex Abuse ในขณะที่ญาติของเขาอีก 3 คนที่ฆ่าคนเคยโดนล่วงละเมิดทางเพศ นี่ก็จะตอบคำถามได้ว่าการมียีนฆาตกรมาตั้งแต่กำเนิดจะทำให้คุณฆ่าคนไหม คำตอบคือไม่ เพราะ 50% มาจากพันธุกรรม อีก 50% เกิดจากการเลี้ยงดู ถ้าคุณมียีนชั่วร้าย แต่คุณถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักคุณก็จะไม่ก่อเหตุ”

ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องของสังคม

“เรามักชอบพูดกันว่า 
อย่าไปยุ่งเรื่องผัวเมียเลย
 สุดท้าย เขาฆ่ากัน”

“ประเทศเราไม่มีกฎหมาย Domestic Violence หรือความรุนแรงในครอบครัว ดังนั้นคำว่า ‘ผัวเมียตีกัน’ ตำรวจบางที่ยังไม่รับแจ้งความเลย นี่คือเรื่องเล็กน้อยที่เราเจอทุกวัน และกลายเป็นเรื่องชินชา ทั้ง ๆ ที่การด่าทอหรือการตบหน้าผัวหรือเมียในที่สาธารณะ คุณต้องโดนตำรวจรวบตัวแล้วนะ ไม่ใช่ยังขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยกันได้

เราควรจะปรับมุมมองได้แล้วว่า การที่แฟนกันทะเลาะกัน ควรจะแจ้งตำรวจทุกเคส การทะเลาะกันว่าด้วยวาจาจะเป็นระดับของความรุนแรง พอด้วยวาจาเสร็จปุ๊บ ก็เริ่มมีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย มีการฉุดกระชาก ถ้ามีการฉุดกระชาก คือแปลว่าเกิดความไม่ยินยอมขึ้น และในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควรจะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้ามาห้าม หรือต้องดำเนินคดี เพราะมันไม่ใช่เรื่องผัวเมีย มันคือเรื่องของมนุษย์ 2 คน ซึ่งเป็นสมาชิกในสังคมกำลังทำร้ายร่างกายกันอยู่ และไม่ว่าเขาจะดีกันหรือไม่ดี การทำร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือความผิด เขาจะดีกันหรือไม่ดีกัน ก็คือเรื่องของเขา มีหลายเคสที่แม่ปกป้องพ่อเลี้ยงทั้ง ๆ ที่พ่อเลี้ยงข่มขืนลูก เคสแบบนี้เยอะมากและควรดำเนินคดีแม่ด้วย”

ปัญหาสังคมต้องแก้ด้วยคนในสังคม

เราควรจะต้องแก้และปลูกจิตสำนึกก่อน 
ถ้าอยากได้ประเทศที่พัฒนาและประชากรที่มีคุณภาพ
สองอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน 

“ผมก็จะเอาเรื่องทั้งหมดที่ผมเคยพูดไปบอกเขาว่าเราควรจะปรับแก้ตรงไหน เพราะผมไม่ใช่แค่ด่าอย่างเดียวนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าตรงนี้ไม่ดีอย่างนั้นหรือไม่ดีอย่างนี้ ผมบอกทางแก้ให้ด้วย ซึ่งถ้าคุณแก้ หรืออย่างน้อยดูวิธีของต่างประเทศเขาทำยังไง ทำแบบนั้นสิ มันก็ลดปัญหาได้อยู่แล้ว ก่อนที่จะนำกฎหมายหรืออะไรใหม่ ๆ มาปรับใช้ในสังคมต้องศึกษาสังคมตัวเองก่อน 

คนไทยอยากได้ชีวิตเหมือนคนญี่ปุ่น บ้านเมืองสะอาด ทุกอย่างเป็นระเบียบ คนไทยนิสัยเหมือนคนญี่ปุ่นหรือยัง ประเทศไทยเป็นประเทศที่จะต้องติดป้ายให้คนมีน้ำใจ เช่น หยุดรถสักนิด มีน้ำใจสักหน่อยให้คนข้ามถนน ขนาดน้ำใจยังต้องติดป้ายให้มี จิตสำนึกก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วครับ เราควรจะต้องแก้และปลูกจิตสำนึกก่อน ถ้าอยากได้ประเทศที่พัฒนาและประชากรที่มีคุณภาพมันต้องไปด้วยกัน 

ผมเหนื่อยใจนะ แต่ทุกวันเวลาที่ผมเห็นแววตานิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ ๆ ที่เขายังมีไฟ ผมก็พยายามจะเป็นตัวอย่างให้เขา ผมพูดกับนักศึกษาเสมอว่า “แม้จะต้องยืนคนเดียว แต่ยืนในฝั่งที่ถูกต้องก็จงภูมิใจที่จะยืน” ผมพูดตลอด ฉะนั้นผมอยากให้อย่างน้อยเราต้องเป็นตัวอย่างให้นักศึกษา เพราะสุดท้ายนักศึกษากลุ่มนี้ก็จะโตไปเป็นใหญ่เป็นโตในทางของเขา”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

เปิดโหมดความรักกับ อ.ตฤณห์

“ยังไม่มีใครในโลกนี้นิยามความรักได้อย่างสมบูรณ์แบบ” 

“ความรักเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม คุณพอใจจะอธิบายความรักยังไง มันก็เป็นไปอย่างนั้น แต่สำหรับผมความรักคือ ความจริง ความจริงใจ และข้อเท็จจริง”

“เวลาที่เราเห็นอ.ตฤณห์ตามสื่อต่าง ๆ เรามักเห็นเขาในโหมดจริงจัง พูดเรื่องพฤติกรรมอาชญากร วิเคราะห์คดีใหญ่ ๆ ด้วยความเฉียบขาด แต่บรรทัดต่อไปนี้ อยากชวนให้ทุกคนมารู้จักอีกมุมหนึ่ง มุมที่อ่อนโยนกว่าที่เราเคยเห็นอย่างมุมของ “ความรัก” ดูบ้าง กับบทสนทนาที่พาเราไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ความรักในมุมของนักอาชญาวิทยา…ไปจนถึงความรักในแบบที่เป็นตัวของอ.ตฤณห์เอง

เริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ ที่เหมือนนั่งคุยกันเล่น ๆ ว่า “สำหรับอาจารย์แล้ว ความรักคืออะไรคะ?”

“ความรักสำหรับผมคือ Open Book หรือหนังสือที่เปิดให้อีกคนหนึ่งได้อ่านว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างช่วงไหนเป็นยังไงบ้าง ชีวิตของคนเรามีทั้งดีและไม่ดี เราจะไปสรรหาคนที่ไม่เคยมีประวัติ ไม่เคยมีอดีตมาเลย เราต้องไปคบกับเด็กทารกอย่างนั้นน่ะ!!!

ทีนี้พอเราต้องเข้าใจ คุณต้องเป็น Open Book ให้กันและกัน ไม่ใช่เรา Open อยู่คนเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งอ่านเราจนทะลุปรุโปร่ง แต่กับเราเขาไม่ให้อ่าน เขาดึงบางบทออก เขาฉีกบางหน้าทิ้ง นั่นคือความไม่จริงสำหรับผม ซึ่งพอเราเจอคนมาเยอะ ๆ อยู่กับการโกหกหลอกลวงมาเยอะ ผมจึงแสวงหาความจริง ความจริงใจ… ความจริงที่เป็นความจริงแท้ครับ ซึ่งหายากมาก!!!

มนุษย์เรากับการโกหกเป็นของคู่กัน ผมก็เลยมองว่าความรักคือความจริงที่ไม่ต้องพยายาม ถ้าคุณพยายามมาก ๆ นั่นคือการแสดง ไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ มันก็ไม่ได้อีก กว่าเราจะรู้ว่าใครแสดงหรือไม่แสดงก็ต้องใช้เวลา ดังนั้นความรักกว่าจะรู้ว่ารักมั้ยต้องใช้เวลาครับ แล้วก็เสียเวลาด้วย พอเรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ทุก ๆ การเรียนรู้ต้องเสียเวลาก็เลยต้องทำใจตรงนี้”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

Love at First Sight อาจารย์คิดว่ายังไง?

“คำว่า ‘รักแรกพบ’ สำหรับผมคือชอบ Love at First Sight คือความชอบไม่ใช่ความรัก รักของผมมีมิติและมีความหมายมากกว่านั้น คือรักตั้งแต่มองหน้าแสดงว่าคุณรูปลักษณ์อย่างนั้น เพราะคุณไม่รู้จักอะไรเขาเลย คุณไม่ได้ยินเสียงเขาเลย คุณไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าคุณพูดว่าคุณรักแสดงว่าคุณรักที่เปลือกแสดงว่า Love at First Sight ของคุณคือคุณชอบที่หน้าตา หรืออาจจะอธิบายในแง่ของวิทยาศาสตร์ด้วยคำว่า “เคมี” เห็นคนนี้ทำไมรู้สึกชอบจังเลย น่าจะเป็นเรื่องฟีโรโมนมากกว่า 

ผมไม่เคยเจอใครแล้วรู้สึกรัก มีแต่รู้สึกชอบ ชอบในเสียง ชอบในรอยยิ้ม ชอบในรูปร่างหน้าตา อันนี้คุณสามารถพูดว่าชอบได้ แต่ถ้าว่ารักเลยเนี่ย รักของผมคืออยากมีครอบครัวกับคุณ อยากอยู่กับคุณไปจนแก่นั่นน่ะคือรัก ผมไม่สามารถเจอใคร 5 นาทีแรกแล้วบอกว่าฉันอยากอยู่บ้านเดียวกับคนนี้ไปจนแก่ ไม่มีทาง เวอร์!!! สำหรับผมนะ สำหรับคนอื่นอาจจะมี ผมเป็นคนเชื่อยาก 

ผมอยู่กับความหลอกลวงมาตลอด มีแต่คนหลอก มีแต่คนทำนู่นไม่จริง ทำนี่ไม่จริง ฉะนั้นชีวิตผมต้องการความเรียบง่ายมาก ๆ และผมต้องการความจริง ซึ่งยากมาที่คุณจะเป็นคนจริง ๆ เป็นคนที่แท้จริงแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมา อย่างน้อยก็ต้องเจอกันครั้งที่ 3 4 5 ไม่ใช่ครั้งแรก 

แต่อาจารย์คะ “ผู้ชายบางคนเชื่อว่าความจริงใจคือการเปิดเผยทุกอย่าง แต่ผู้หญิงอาจจะรู้สึกว่า ความจริงอาจจะทำให้เธอไม่รักเรา” นะคะ

“ผมชอบประโยคนี้มาก…ความจริงมันอาจทำให้เธอไม่รักเรา นั่นก็แสดงว่าเธออยากให้เรารักเธอบนความไม่จริง ทำไมคุณไม่ให้โอกาสผมได้ตัดสินใจเองว่าเรื่องนี้ที่ผมได้ฟังผมจะรู้สึกยังไง คุณถือวิสาสะคิดเองเออเองว่าควรจะไม่บอกเรื่องนี้แล้วผมจะสบายใจจริง ๆ ผมอาจจะไม่ได้อยากสบายใจก็ได้ครับ ผมอยากทราบเรื่องจริง

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่าผู้หญิงสีฟ้า ผมชอบสีฟ้า ผู้หญิงคนนี้สีฟ้าทั้งตัว แต่ผู้หญิงไม่บอกผมว่าเขาย้อมมา จริง ๆ เป็นสีแดง ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้นะ เพราะถ้าผมไม่รู้แล้วยังเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาเป็นสีฟ้า ผมโดนหลอกอยู่ แล้วคุณจะหลอกผมไปอีกนานแค่ไหน แล้วถ้าวันหนึ่งสีถูกกะเทาะออกมา แล้วผมเห็นว่าคุณมีสีแดง ผมเสียทั้งเวลา คุณก็เสียเวลาเช่นกัน ผมว่า Open Book มันเป็นนิยามที่ง่ายที่สุดแล้วที่ผมจะอธิบายว่าการจะรู้จักตัวตนของใคร เราต้อง Open เราต้องเปิดใจจริงใจต่อกัน

เวลาแฟนโกหกเนี่ย ผมก็จับได้เกือบทุกครั้ง แล้วพอผมจับได้ เราไม่ชอบคนโกหกอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าเรื่องมันสาหัสแค่ไหน เราเสียใจเวลาเรามองตาคนที่เรารักแล้วเขาโกหกแล้วโกหกต่อ แล้วก็โกหกต่อไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เรารู้ตั้งแต่ประโยคแรกเพราะว่ามันไม่จริง มันเสียใจนะ เสียใจมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเรารู้ว่ามันไม่จริง คนอื่นเขาอาจจะรู้ทีหลัง แต่พอเรารู้ตั้งแต่แรกแล้ว เราให้โอกาสเขา ดูเขาไปเรื่อย ๆ ยังโกหกซ้ำ ๆ นี่เป็นเรื่องเจ็บปวดที่ผมจะต้องเจอ

เวลาอยู่กับแฟนหรืออยู่กับครอบครัว ผมไม่ได้เปิดโหมดการทำงาน ดังนั้นผมไม่ได้ต้องจับผิดใคร การจับผิดใช้สมาธิและพลังงานมาก ไม่ใช่มองไปเห็นแล้วก็รู้เลยว่าโกหก ยกเว้นแต่มันประเจิดประเจ้อมากจริง ๆ กระแทกตาเราเลยอย่างนี้ 

ในการนั่งวิเคราะห์พฤติกรรมต้องใช้พลังงานและสมาธิมาก ๆ สมมติไปรายการสด 45 นาที – 1 ชั่วโมง หน้าผมร้อนหมดแล้วเพราะต้องใช้สมองเยอะ เราคุยกับที่บ้าน เราคุยกับเพื่อน เราไม่ได้ทำแบบนั้น คุยกับแฟนนี่ไม่ต้องทำแบบนั้นเลย ผมอยากใช้สมองให้น้อยที่สุดด้วยซ้ำนอกเหนือจากการทำงาน”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

พฤติกรรมของคนที่กำลังมีความรัก มีอะไรที่น่าสนใจในมุมมองของนักอาชญาวิทยาบ้างคะ?

“ความน่าสนใจ คือ เขาจะมีอคติครับ อคติในแง่ของเห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่คนที่เราชอบทำ เพื่อนมาเตือนเขาจะไม่ฟัง สิ่งนี้น่ากลัวมาก ส่วนใหญ่คนกลุ่มที่เป็นเหยื่อมิจฉาชีพสแกมเมอร์ก็เพราะเรื่องแบบนี้แหละ คือการได้รับความสนใจมาก ๆ ได้ความรักเยอะ ๆ ในครั้งเดียวก็จะรู้สึกเป็นที่ต้องการ รู้สึกถูกรัก 

ส่วนใหญ่เหยื่อของมิจฉาชีพสแกมเมอร์คือผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่คู่สมรสเสียชีวิต ไม่ได้อยู่กับลูกหลาน อยู่ตัวคนเดียวแถมมีเงินเก็บเกษียณอายุ เข้าองค์ประกอบการเป็นเหยื่อที่เหมาะสมทุกประการ ผมถึงบอกว่าความรักบางทีเป็นเรื่องที่น่ากลัว ถ้ามันไม่ใช่รักจริง ๆ”

แล้วทำไมบางคนถึงตกหลุมรักคนที่ทำร้ายร่างกายเรา หรือคนที่ทำให้เราเจ็บปวดบ่อย ๆ แฟนเราไปมีคนอื่นบ่อย ๆ เราก็ยังให้อภัยอยู่ได้ 

“อันนี้ก็ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีเหยื่อวิทยา คนเป็นเหยื่อเขามีสาเหตุของการเป็นแบบนั้น เช่นขาดความรัก ต้องการความรักมาก หรือต้องการเอาชนะ บางทีเห็นพ่อแม่ล้มเหลวในการสร้างครอบครัว เขาก็ไม่อยากจะเสียเรื่องตรงนี้ไป ก็จะยอมทุกอย่างให้ได้มาซึ่งคำว่าครอบครัว แต่ครอบครัวของเขานิยามนี้มันปลอม เพราะท่ามกลางรูปถ่าย โดนสามีซ้อมทุกวัน นั่นก็คือเขาอยากให้สังคมได้ยอมรับการมีครอบครัวที่อบอุ่นของเขา แต่จริง ๆ มันไม่จริง 

ถ้าคนที่เติบโตมาได้รับความรักที่แท้จริง ความรักที่ถูกต้อง เมื่อเขาเจอความรักที่ไม่จริงเขาจะสังเกตเห็นได้ว่ามันไม่จริงตั้งแต่แรก และเขาจะเดินออกมาได้ง่ายดายไม่เสียใจ คือมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ความรักที่พ่อแม่ให้ฉันมาไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า ก็จะเดินออกมา Move on ได้ง่าย แต่คนที่เขาเคยชินกับการตบตี การด่าทอ เขาอาจจะคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของความรัก การอดทนโดนซ้อมเป็นส่วนหนึ่งของความรัก เพราะพ่อแม่ฉันยังทำเลย ความเข้าใจเรื่องความรักไม่เหมือนกัน ฉะนั้นมันก็อยู่ที่พื้นฐานครอบครัวด้วย

ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน นิยามของบางคน ความรักอาจจะแปลว่าต้องอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะข้ออ้างที่บอกว่าต้องอยู่เพื่อลูก คุณเคยถามลูกไหม ว่าลูกอยากให้คุณโดนซ้อมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แม่ชอบคิดแทนลูก ถ้าให้แม่ทุกคนที่โดนซ้อมไปถามลูกว่า “แม่อยู่ทุกวันนี้เพื่อลูกนะ” คุณเคยถามลูกจริง ๆ เหรอ คุณคิดลูกจะตอบว่าอะไร ไม่มีลูกคนไหนอยากให้แม่โดนซ้อม ตัวแม่เองที่ไม่กล้าเลิกเองหรือเปล่า แล้วใช้ลูกเป็นข้ออ้าง 

คำว่า “ครอบครัวไม่จำเป็นจะต้องมีพ่อแม่และลูก” ครอบครัวจะเป็นพ่อแม่ หรือแม่แม่ แม่แม่ลูก พ่อพ่อลูก หรือแม่ลูก Single dad Single mom เป็นครอบครัวได้หมดเลย คุณต้องเข้าใจคำว่าครอบครัวให้ถูกต้องก่อน”

‘รอยสัก’ กับการถูกตัดสิน
ราเห็น ‘รอยสัก’ เราเห็นอะไร?

เวลาเราเห็นคนมีรอยสัก เราคิดถึงอะไร? บางคนอาจนึกถึงความเจ็บ บางคนอาจนึกถึงความเท่ บางคนอาจนึกถึงเรื่องเลวร้าย แต่ที่แน่ ๆ คือหลายคนมักด่วนสรุปมากกว่าฟังเรื่องราว 

“ผมชอบศิลปะครับ 
ผมแค่รู้สึกว่าการนำศิลปะที่เราชอบและมอง 
มันไม่มีวันเบื่อ 
เลยเอามาไว้กับตัวเราน่าจะดี คิดแค่นั้นเลยง่าย ๆ”

“เวลาขับรถไปตอนกลางคืนแล้วเจอด่าน ผมโดนเรียกให้จอดและเป่าทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่มันคือการสุ่ม ผมเป็นคนที่โดนสุ่มตรวจทุกครั้ง เพราะว่ารูปลักษณ์ของเรา ทำให้เจ้าหน้าที่อาจจะคิดได้ว่ามีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือเรื่องที่ไม่ดี ก็เข้าใจความเป็นคนไทย วัฒนธรรมไทย ซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรผิด ตรวจมาก็ไม่เจออะไรอยู่ดี นี่คือในแง่ลบของการถูกตัดสินว่ามีรอยสักแล้วจะเป็นยังไง

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา
ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

“ส่วนแง่บวกผมมักจะสร้างความประหลาดใจให้นักศึกษาหรือผู้ต้องขังในเรือนจำ ผมบรรยายเสร็จผมจะถอดให้เขาดูว่า บางทีผมอาจจะมีอะไรเหมือนกับคุณมากกว่าที่คุณคิดก็ได้ เขาก็จะประทับใจว่าผมไม่เหมือนอาจารย์คนอื่น ไม่เหมือนวิทยากรคนอื่น เขาก็มีรอยสัก เราก็มีเหมือนกัน เรายังเป็นอาจารย์ได้เลย เหมือนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กที่เกเรหรือคนที่มีรอยสักตั้งแต่เด็ก

“ทุกร่องรอยมักมีเรื่องราว แล้วเรื่องราวของอ.ตฤณห์มีอะไรบ้างคะ” หลังจากคำถามนี้ อ.ตฤณห์ก็เริ่มเล่าเรื่องจากรอยสักของอาจารย์ให้พวกเราฟัง

“เทพีอธีน่า (Athena) เป็นเทพีกรีกที่เป็นเทพีที่เกี่ยวกับสติปัญญาและการรบ การทำสงคราม เปรียบเทียบกับเราเป็นอาจารย์ใช้สติปัญญาในการสอนหนังสือแล้วก็ต้องรบกับนักศึกษาด้วย อันนี้ก็เป็นนิยามของผมเอง

Fallen angel เทวดาตกสวรรค์ก็คือ ลูซิเฟอร์ (Lucifer) จะมีเทวดาตกสวรรค์หลายองค์ แต่องค์นี้ก็จะให้เป็นลูซิเฟอร์ มีเขาเป็นซาตานด้วย ปีกข้างหนึ่งเป็นค้างคาว ปีกข้างหนึ่งเป็นนางฟ้า ความหมายก็คือ ขนาดเทวดายังตกสวรรค์เลยแล้วเราเป็นใครกัน แค่นั้น!!!”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

“มีอีก 3 ประโยคที่ผมสัก เป็นประโยคภาษาอารบิกว่า ‘อย่าเป็นเพื่อนกับคนโกหก แต่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็แค่อย่าเชื่อพวกเขา’ คือประโยคที่เป็นภาษาอารบิก แต่ประโยคที่เป็นภาษาละตินคือ ‘Mala in se (มาลาอินเซ) กับ Mala prohibita (มาลาโพรฮิบิต้า)’ แปลว่า ‘ความผิดมี 2 แบบ ความผิดที่กฎหมายบอกว่าผิดกับความผิดที่มันผิดศีลธรรม’ เพราะผมสอนหนังสือเรื่องนี้ ผมก็เลยสัก เป็นเหมือนนักอาชญาวิทยาทุกคนต้องเรียน ส่วนอีกประโยคหนึ่งก็คือ ‘Nullum crimen sine lege (นุลลุม ครีเมน ซิเน เลเก)’ แปลว่า ‘No Crime Without Law จะไม่มีอาชญากรรมบนโลกใบนี้ หากไม่มีกฎหมายกำหนดว่าสิ่งใดคืออาชญากรรม’ ยกตัวอย่างเช่น การพนัน ถ้าที่ประเทศไทยไม่กำหนดว่าการพนันผิดกฎหมายก็คือไม่ผิด ถ้าเราข้ามไปมาเก๊าหรือฮ่องกง การพนันไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผิดกฎหมายจะต้องมีกฎหมายกำหนด อาชญากรรมต้องมีกฎหมายกำหนดว่า สิ่งนี้คืออาชญากรรมนะ นี่ก็คือความหมายของมัน”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

“สำหรับรอยสักเป็นสิ่งที่มีพลังมากกว่าแค่การแสดงศิลปะที่เราชอบผ่านทางลวดลาย ผมว่ามันเป็นการบ่งบอกตัวตนรสนิยมของคุณด้วย อย่างสักยันต์เยอะ ๆ กับสัตว์ที่เป็น Old school ก็จะมีความชอบและบุคลิกที่ต่างกัน ถ้าเราเชื่อเรื่องมูเตลู เราก็จะสักยันต์ คนสักยันต์ก็จะเชื่อในเครื่องรางของขลัง เขาจะห้อยพระอะไรอย่างนี้ด้วย ต่างจากฝรั่งที่เขาสั่ง Old school ทั้งลายก็จะเป็นเรื่องราว เป็นการพนันต่าง ๆ นานา คือการแสดงถึงตัวตนที่ต่างกัน เหมือนผู้หญิงสักมินิมอลสักหมา สักแมวเล็ก ๆ ก็มันเป็นเครื่อง Remind (ย้ำเตือน) เขาว่ามีสัตว์เลี้ยงรออยู่ที่บ้าน หรือสัตว์เลี้ยงที่จากไปจะได้อยู่กับเขาได้ตลอด เป็นเรื่องราวของแต่ละคน นี่คือรูปแบบรอยสักสำหรับตัวคนที่ไม่เหมือนกัน ของผมก็คือผมอยากได้แนวมาเฟีย ก็คือทำให้มันเต็มไปก่อน ลายอะไรช่างมันจริง ๆ มาดูใกล้ ๆ อาจจะเป็นมิกกี้เมาส์ คิตตี้อะไรก็ได้”

เราจบการสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่ว่า “ความสุขในวันนี้ของอาจารย์คืออะไร” 

“ความสุขของผม คือการที่เราสามารถยิ้มและหัวเราะได้กับเรื่องง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องบินไปต่างประเทศเพื่อมีความสุขกับครอบครัว แค่มาอยู่ด้วยกัน อาจจะดูหนังด้วยกันในบ้าน กินนู่นกินนี่ที่อร่อย ผมว่าความสุขคือสิ่งเรียบง่าย ถ้ามันไม่เรียบง่ายมันจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย ยิ่งทำให้มันเรียบง่ายมากเท่าไร เรายิ่งเจอกับมันได้บ่อยมากเท่านั้นครับ”

ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา

AUTHOR

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน

ความสำเร็จอยู่ที่ไหน
ความสำเร็จอยู่ที่ไหน