“Dead Inside but still funny” คือความรู้สึกตลกภายใต้ความขมขื่นในเรื่องราวของ ‘เต๋อ – ก่อการ บุปผาวัฏฏ์’ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงของการพูดคุยกัน เขาเล่าเรื่องของความทรงจำอันหอมหวานระหว่างตัวเองกับ ‘ชัชชาญ บุปผาวัลย์’ หรือ ‘สหายภูชนะ’ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่เดินทางไปพำนักอยู่ที่ประเทศลาวนับตั้งแต่การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 ภายหลังจากที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และดีเจผู้จัดรายการวิทยุใต้ดินร่วมกับ ‘สุรชัย แซ่ด่าน’
ก่อนที่ในเวลาต่อมา ร่างไร้วิญญาณที่อัดแน่นไปด้วยเสาปูนกลางลำตัวของชัชชาญจะลอยกลางแม่น้ำโขงมาหยุดที่ฝั่งของประเทศไทย ทิ้งไว้เพียงความทรงจำให้กับผู้ใกล้ชิด รวมถึง ‘ก่อการ’ ในฐานะลูกชายคนกลางของบ้าน
ซึ่งแม้เรื่องราวจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่น้ำเสียงและท่าทางของเขาที่แสดงออกมากลับตรงกันข้าม เพราะเขารู้สึกว่าการเศร้าโศกเสียใจอาจจะไม่ช่วยให้เขา ‘ลืม’ สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ และครอบครัวของเขาได้มากเท่าไหร่


“ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ตัวเองตอนพ่อเพิ่งเสียใหม่ ๆ มีคนที่รู้จักกันมาพูดคุยด้วย ตอนนั้นก็คุยกันแบบชิล ๆ มาก แต่พอเขาเอาไปถอดเทปเป็นตัวอักษร เพื่อนผมอ่านแล้วเขาถึงกับโทรศัพท์มาถามเลยว่า เฮ้ย มึงโอเคมั้ย พอผมได้อ่าน ผมคิดเลยว่าไอ้นี่มันต้องเป็นคนเศร้ามากแน่ ๆ (หัวเราะ) แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย วันนั้นเราคุยกันเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เราต้องรับมือกันอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องนิสัยเสียเหมือนกันนะ เวลาที่เราพูดอะไรขำ ๆ กับเรื่องที่มันต้องซีเรียส”
ก่อการบอกกับเราว่า ‘ชัชชาญ’ พ่อของเขาแม้จะดูเป็นคนจริงจังกับที่บ้าน แต่เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงก็จะชอบพูดจาตลกขบขัน ชอบแซะ ชอบแซวอยู่แล้ว รวมถึงยังชอบจำมุกตับแบบตลกคาเฟ่มาเล่น ซึ่งเรามองนี่อาจจะเป็น Sense บางอย่างของคนเป็นพ่อ ที่ถูกถ่ายทอดมายังลูก ๆ ที่บ้าน ทำให้แม้แต่ในวินาทีใจสลายจากการสูญเสียครั้งนี้ ก็ยังมีวิธีคิดบางส่วนที่ช่วยให้พวกเขาเยียวยาความรู้สึกเศร้าได้ไม่มากก็น้อย
“ตั้งแต่เด็กผมเป็นคนชอบอยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร เราจะชอบรับมือกับชีวิตอยู่คนเดียว มันมาจากตอนที่เขา Treat เราตอนเด็กด้วย ผมมีพี่น้อง 3 คน พี่ชายคนโตเป็นคนละแม่ แล้วก็มีน้องชายแท้ ๆ อีกคนหนึ่ง เราไม่ได้รับรู้เรื่องพี่ชายคนโตเลยตอนอยู่กรุงเทพฯ แต่พอหลังจากพ่อกับแม่แยกทางกัน เราก็ไปอยู่กับเขาที่มุกดาหาร แล้วก็เริ่มรู้เรื่องราวของพี่ชายมากขึ้น
เคยสงสัยมาตอนเด็กตลอดว่าทำไมพ่อแสดงความอ่อนโยนกับน้องชายมากกว่า พอเราย้ายไปมุกดาหาร เขาไม่แสดงความอ่อนโยนกับเราเลย เหมือน Treat เราคนละแบบกับตอนอยู่กรุงเทพฯ ยิ่งอยู่ต่อหน้าญาติจะยิ่งเป็นอีกแบบ จนโตมาถึงเข้าใจด้วยหลักจิตวิเคราะห์ว่ามันน่าจะเป็นบาดแผลในใจที่เขาไม่ได้ดูแลลูกอีกคน เขากลัวว่าการแสดงความรักกับเราจะทำให้ญาติเอาไปเปรียบเทียบว่าทำไมกับพี่ชายต่างแม่ถึงปฏิบัติไม่เหมือนกัน แต่จริง ๆ เราก็ขอบคุณเขานะ เพราะเขาทำให้เรารับมือกับอะไรแบบนี้ได้มากขึ้น”
จนโตมาก่อการก็ได้พูดคุยกับพ่อของเขามากกว่าเดิม ผ่านรูปแบบการพูดคุยเชิงวิเคราะห์ และถกกันในประเด็นต่าง ๆ ของสังคม และทำให้ชีวิตของก่อการมีผู้เป็นพ่อกลายเป็นส่วนประกอบชีวิตเพิ่มขึ้นตามลำดับ และส่งผลให้ชีวิตการเป็นพ่อคนของเขาในตอนนี้
เมื่อเราถามเขาว่าหากชัชชาญเดินเข้ามายังห้องสัมภาษณ์ในตอนนี้เลย เขาจะพูดกับพ่อว่าอะไร ชัชชาญตอบอย่างติดตลกเหมือนอย่างที่พูดคุยกันมาว่า “เป็นไงล่ะ” เพราะแชตท้าย ๆ ที่เขาพูดคุยกับพ่อในไลน์ คือการเตือนด้วยประโยคที่ว่า “ระวังเป็นแค่หมากนะ” เพราะเวลามีใครสักกลุ่มดีลกัน เขาก็จะยอมเสียผู้เป็นหมากในกระดานนี้ไปกี่ตัวก็ได้ โดยไม่ได้สนใจว่าเรามีคุณค่ามากแค่ไหนก็ตาม เพราะหมากตัวนั้นก็แค่ทำตามเจตจำนงที่ตัวเองมี
ก่อนที่ชัชชาญจะปลีกตัวไปกบดาน ก่อการพิมพ์แชตบอกกับเขาว่า “ระวังตัวดี ๆ นะ เดี๋ยวจะถูกอุ้มไปอีกคน” “มันไม่มีใครมาอุ้มจริงหรอก” พ่อตอบ ก่อนที่แชตสุดท้ายของก่อการที่ส่งไปแล้วแต่พ่อยังไม่ได้อ่านคือข้อความที่ว่า “เวลาอุ้มไป พูดไม่ออกเลยนะ” และแชตทั้งหมดก็ถูกลบไป
“เป็นไงล่ะ บอกแล้วไม่เชื่อ (หัวเราะ)” ก่อการยังปิดท้ายเรื่องนี้ด้วยอาราม Bad Joke กับเราเช่นเคย


เมื่อเราให้เขาเล่าถึงความทรงจำที่ยังคงอยู่ในชีวิตปัจจุบัน สิ่งที่ก่อการเอ่ยถึงเป็นอันดับแรกคือร้านขายอุปกรณ์เดินป่า ทุกครั้งที่เขาเห็นมีดพับ และกางเกงคาร์โก้ลุย ๆ ภาพของพ่อจะผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรก เพราะเขามักจะซื้อเก็บไว้ตลอด ก่อนจะรวมส่งให้พ่อช่วงปลายปี ทุกวันนี้เวลาขับรถผ่าน ก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความคิดถึงผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว จนบางครั้งก็เผลอเดินเข้าไปซื้อ ก่อนที่จะฉุกคิดได้ว่า “เออ เขาตายไปแล้วนี่หว่า”
ที่แขนซ้ายของก่อการเต็มไปด้วยรอยสัก แต่มีรอยหนึ่งที่เหมือนกับรูปวาดที่เราเดินผ่านและมองเห็นตรงบันไดทางขึ้น เลยถามเขาถึงที่มาของรอยสักนี้ ก่อการบอกกับเราว่าเป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายที่ได้ถ่ายกับพ่อ แม่ น้องชาย และลูกสาวคนโตของเขา เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2561 เป็นช่วงที่ครอบครัวข้ามไปลาวเพื่อเยี่ยมเยือนผู้เป็นพ่อ
ในวันสุดท้ายก่อนกลับไทย พ่อมาส่งเขาที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว น้องชายที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้เท่าไหร่ ก็วิ่งไปกอดพ่อ ในขณะเดียวกันชัชชาญก็เรียกเขาเข้าไปกอด แต่ก่อการกลับปฏิเสธด้วยความรู้สึกที่ว่าลูกชายกับพ่อแสดงความรักต่อกันเป็นเรื่องที่ดูประดักประเดิก แล้วไปนั่งรออยู่ที่ท่ารถแทน
“ช่วงที่เขาตายใหม่ ๆ เราคิดทุกเช้าเลยว่า โห มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราทิ้งไป เพราะเราคิดว่าเดี๋ยววันเกิดก็ได้เจออีกแล้วอีกไม่กี่เดือน แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็ไม่รู้ว่าจะกอดหรือเปล่า เพราะถ้าเราคิดว่านั่นคือการกอดครั้งสุดท้าย มันยิ่งรู้สึกแย่กับเรา” ก่อการบอกกับเราอย่างเปิดอก



ถัดมายังกล่องไปรษณีย์สีขาวล้วนด้านหน้าของก่อการ ด้านในคือสิ่งของในความทรงจำของพ่อที่เขาหยิบมาให้เราดู เริ่มจาก ‘กล้องฟิล์ม’ สิ่งของคู่ใจพ่อที่เขายังคงเก็บไว้อย่างดี เคียงคู่กับเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยความทรงจำของช่วงเวลา ทั้งแจ็คเก็ตพรรคเพื่อไทย เสื้อแขนกุดรายการ ‘ความจริงวันนี้’ ที่ชัชชาญน่าจะได้จากญาติของเพื่อนผู้เสียชีวิตถูกยิงตายจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 รวมถึงกางเกงขาก๊วยขาสามส่วนสีน้ำเงินเข้มเปื้อนทรายที่ติดมากับร่างไร้วิญญาณนั้น ซึ่งตรงหน้าเรามันกลายเป็นเศษผ้าที่ขาดวิ่น แต่สำหรับก่อการมันเต็มไปด้วยความหมาย
ตลอดการสัมภาษณ์ ก่อการเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟังด้วยความลื่นไหล ไร้หยดน้ำตาเปื้อนร่องแก้มนั้น แต่เราเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาถ่ายทอดให้เราฟังถึง ‘ความทรงจำ’ เหล่านั้นที่ยังหลงเหลือในชีวิตของคนที่ต้องอยู่ต่อจะยังคงติดตรึงบนเนื้อตัว และความคิดในแต่ละห้วงคำนึงของเขาตลอดไป


