8 ทีมคู่ชิงศึกฟุตบอลยูโร 2024

หลังจากผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาแล้ว ตอนนี้เหลืออีก 8 ทีมชาติที่เข้ารอบเพื่อหาคู่ชิงของศึกฟุตบอล “ยูโร 2024” โดยมีคู่ใหญ่ที่น่าสนใจ และเป็นส่วนหนึ่งของทีมเต็งที่ได้มาประจบพบเจอกันอีกครั้ง

ในรอบนี้มี 2 คู่ที่น่าสนใจและเป็นอดีตคู่ชิงที่เคยพบกันมาแล้วของการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ นั่นคือ

  • “ทัพกระทิงดุ” ทีมชาติสเปน 🇪🇸 พบกับ “ทัพอินทรีย์เหล็ก” ทีมชาติเยอรมัน 🇩🇪 (เจ้าภาพ)
  • “ทัพฝอยทอง” ทีมชาติโปรตุเกส 🇵🇹 พบกับ “ทัพตราไก่” ทีมชาติฝรั่งเศส 🇫🇷

โดยทั้ง 2 คู่นี้มากกว่าเป็นการพบกันของทีมชาติชั้นนำ เพราะพวกเขาเคยชิงชัยกันมาในรอบชิงของฟุตบอลยูโรกันมาแล้วทั้งคู่ และในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ต้องมาโคจรพบเจอกัน อาจเป็นความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นในศึกยูโรปีนี้ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นความมันส์ก่อนจะคัดกันจนถึงรอบชิง

วันนี้มาย้อนความทรงจำก่อนรับชมมหรสพลูกหนังบนสนามหญ้าที่เดิมพันศักดิ์ศรีจากอดีต และอาจเป็นส่วนหนึ่งของการล้างตาของทีมที่เคยพลาด และนี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้ชำระมันในรอบนี้

🇪🇦 Vs 🇩🇪 : รอบชิงที่เวียนนา 2008 จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของฝูงกระทิงดุ 🇪🇦

ย้อนกลับไปในฟุตบอลยูโร 2008 ในศึกครั้งที่ 13 ที่มีเจ้าภาพร่วมระหว่างประเทศออสเตรีย 🇦🇹 และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 🇨🇭 เป็นครั้งที่ 2 ของทัวร์นาเมนต์ที่มีเจ้าภาพร่วมในการจัดการแข่งขัน

โดยรอบชิงเป็นการเจอกันของทัพกระทิงดุและทัพอินทรีย์เหล็ก โดยเยอรมัน ณ เวลานั้นเพิ่งผ่านการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 และยังเป็นแชมป์สูงสุดของฟุตบอลยูโรที่ 3 สมัย

ในขณะที่สเปนเคยได้แชมป์รายการนี้มาก่อน 1 สมัย ในปี 1964 โดยเป็นแชมป์ทีมที่ 2 ของการจัดในช่วงแรกของรายการ และชุดผู้เล่นของสเปนในเวลานั้นอุดมไปด้วยนักเตะคุณภาพที่กำลังจะกลายเป็นสุดยอดนักเตะในอนาคตที่กำลังจะตามมา

11 ผู้เล่นของทั้ง 2 ทีมในรอบชิง

เยอรมัน 🇩🇪 มาในแผน 4-2-3-1 : [ผู้รักษาประตู] เยนส์ เลห์มันน์ ; [กองหลัง] อาร์เน ฟรีดริช, แพร์ แมร์เตซัคเกอร์, คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม ; [กองกลาง] ทอร์สเทิร ฟริงส์, โธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, มิชาเอล บัลลัค (กัปตันทีม), ลูคัส โพดอลสกี  ; [กองหน้า] มิโรสลาฟ โคลเซ่

สเปน 🇪🇸 มาในแผน 4-1-4-1 : [ผู้รักษาประตู] อิเกร์ กาซิยาส (กัปตันทีม) ; [กองหลัง] เซร์คิโอ รามอส, คาร์ลอส มาร์เชนา, การ์เลส ปูโยล, ฌูอัน กัดดาบิยา ; [กองกลาง] มาร์กอส เซนา, อันเดรส อิเนียสตา, ชาบี เออร์นันเดส, เชสก์ ฟาเบรกาส, ดาบิด ซิลบา  ; [กองหน้า] เฟอร์นันโด ตอร์เรส

รอบชิงจัดขึ้นที่สนาม “แอ็นสท์ ฮัพเพิล” เวียนนา ประเทศออสเตรีย เกมเริ่มโดยเป็นสเปนที่เปิดเกมบุกใส่เยอรมัน แม้จะเป็นอินทรีย์ที่แข็งแกร่ง แต่ในนาทีที่ 33′ เป็นสเปนขึ้นนำไปก่อน 0-1 จากจังหวะต่อบอลและแทงทะลุของชาบีให้กับตอร์เรสที่วิ่งทำทาง และหลบลาปป์หนึ่งจังหวะ

ก่อนที่ดาวยิงผมยาวสลวยจากทีมหงส์แดงจะยิงกระดกบอลผ่านตัว เลห์มันน์ที่ออกมาป้องกันจังหวะนี้ ทำให้สเปนได้ขึ้นนำไปก่อนในช่วงครึ่งแรก

ครึ่งหลังมีจังหวะแลกเกมรุกและยิงประตูใส่กัน แต่จบด้วยการป้องกันได้ของผู้รักษาประตูและเสาประตูที่ไม่ทำให้ลูกฟุตบอลเข้าไปซุกตุงตาข่าย จบเกมด้วยสกอร์จากครึ่งแรก 0-1 ทำให้สเปนดับฝันการเป็นแชมป์สูงสุดของเยอรมัน และนั่นเป็นรอบชิงล่าสุดที่เยอรมันสามารถเข้ามาถึงได้

การคว้าแชมป์ของสเปนในชุดนั้นสานต่อความยิ่งใหญ่ด้วยการก้าวไปคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2010 และกลับมาคว้าแชมป์ยุโรปอีกครั้ง 2 สมัยติดในปี 2012 ด้วยการชนะอิตาลีได้ 4-0 นั่นคือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของกระทิงดุชุดนี้ ที่ครองความสำเร็จเป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี 

ในขณะที่เยอรมันแม้จะไม่ผ่านมาถึงรอบนี้มาเนิ่นนาน แต่จากทีมชุดนี้ค่อยๆก่อร่างสร้างตัวและสามารถคว้าความสำเร็จมาได้จากฟุตบอลโลก 2014 และในปีนี้ที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพอีกครั้งโดยพบกับสเปนในรอบ 8 ทีม นี่อาจเป็นการสะสางเรื่องราวในอดีต และศักดิ์ศรีของเจ้าบ้านที่ต้องผ่านคู่แข่งเก่าไปให้ได้ เพื่อการเป็นแชมป์สูงสุดของรายการนี้ โดยที่มีสเปนเป็นอีกหนึ่งทีมที่ได้แชมป์สูงสุดร่วม 3 สมัย เรียกได้ว่าการพบกันของทั้งคู่มันส์ครบรสอย่างแน่นอน

🇵🇹 Vs 🇫🇷 : การปล้นแชมป์คาบ้านในรอบชิง จากประสบการณ์ที่ฝอยทองเคยเจอ 🇵🇹

ในปี 2016 ฝรั่งเศสได้สิทธิ์การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร โดยพวกเขาเตรียมการไว้ว่านี่อาจเป็นการคว้าชัยในบ้าน เป็นแผนการที่พวกเขาได้เตรียมไว้สำหรับการจะเป็นจ้าวของยุโรปให้ได้ในปีนั้น

โดยปีนั้นฝรั่งเศสมีผลงานที่ยอดเยี่ยม ตลอดการแข่งขันทั้งทัวร์นาเมนต์เรียกได้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะทำสำเร็จมันรอคอยอยู่ตรงหน้า ด้วยบ้านของตัวเองที่สร้างความได้เปรียบในเรื่องนี้ แต่ทว่านี่อาจเป็นเรื่องชะล่าใจที่เกิดขึ้น

เมื่อโปรตุเกสที่จบมาด้วยกติกา 3 ทีมที่ดีสุดนรอบแบ่งกลุ่ม และเป็นครั้งแรกที่มีกติกานี้ส่งผลให้ทัพฝอยทองได้รับโอกาสเข้ารอบมาถึงรอบชิง เมื่อดูเส้นทางตลอดที่ผ่านมาจนถึงรอบชิงนี้ มันสวนทางกับทัพตราไก่ที่มีผลงานดีกว่าเป็นเท่าตัว แต่ด้วยอดีตของพวกเขาที่เคยเป็นเจ้าภาพยูโรปี 2004 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ และพาตัวเองเข้าถึงรอบชิง แต่พลาดท่าให้ม้ามืดของรายการอย่างทีมชาติกรีซคว้าแชมป์ไปได้

ทำให้ก่อนเกมแฟนบอลทั่วโลกต่างมองว่าอะไรก็พร้อมเกิดขึ้นได้ในเกมนี้ โดย 11 ผู้เล่นของทั้ง 2 ทีมในรอบชิงที่สนาม “สตาดเดอฟร็องส์” แซง-เดอนีทางตอนเหนือปารีส ประเทศฝรั่งเศส

โปรตุเกส 🇵🇹 มาในแผน 4-1-3-2 : [ผู้รักษาประตู] รุย ปาทริซิโอ ; [กองหลัง] แซดริค ซูอาเรส, เปเป้, โชเฆ ฟอนเต้, ราฟาเอล เกร์เรโร ; [กองกลาง] วิลเลียม คาร์วัลโญ, เรนาโด ซานเชส, อังเดร ซิลวา, เจา มาริโอ ; [กองหน้า] หลุยส์ นานี, คริสเตียโน โรนัลโด (กัปตันทีม) 

ฝรั่งเศส 🇫🇷 มาในแผน 4-4-2 : [ผู้รักษาประตู] ฮูว์โก โยริส (กัปตันทีม) ; [กองหลัง] บาการี ซาญา, โลรอง กอสเซียนี, ซามูเอล อึมติติ, พาทริค เอฟรา ; [กองกลาง] มูซา ซิสโซโก, ปอล ปอกบา, แบรสซ์ มาตุยดี, ดิมิทรี ปาเยส ; [กองหน้า] อองตวน กรีสมันน์, โอลิวิเย ชิรูด์ 

เริ่มเกมมาในครึ่งแรก เจ้าภาพโหมใส่ทีมรองพับสนาม เรียกได้ว่าแทบโงหัวไม่ขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น ดาวยิงกัปตันทีมฝอยทองอย่างโรนัลโดโดนปาเยสยันเข้าที่เข่า ส่งผลให้เจ้าตัวต้องออกจากสนาม ยิ่งลดโอกาสของโปรตุเกสที่จะมีโอกาสชนะได้ในเกมนี้

แต่ผู้มีประสบการณ์จากอดีตสมัยที่พลาดให้กับกรีซ พวกเขาไม่สามารถเจาะทะลวงตาข่ายของเทพนิยายกรีซได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาที่ยิ่งเสียเปรียบต้องหันมาเล่นรัดกุมและไม่ประมาทเกมรุกของคู่แข่ง โดยเฉพาะกรีสมันน์ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงในเวลานั้น

เกมดูอึดอัดตลอด 90 นาที จนต้องต่อเวลาพิเศษก่อนไปดวลจุดโทษหากยังคงมีผลเสมอกันอยู่ และเป็นโปรตุเกสใช้กองหน้าสำรองของทีมอย่างเอแดร์ที่ต้องการประตูชัยเพื่อกันการไปวัดดวงในจุดโทษ ยิงเต็มข้อเสียบเสา ผ่านมือกัปตันทีมชาติอย่างโยริส และกลายเป็นประตูชัยให้พวกเขาเอาชนะได้ 1-0 และคว้าแชมป์ไปได้ปีนั้น

นั่นเป็นหนึ่งในการสร้างบาดแผลให้กับเจ้าบ้านอย่างฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ที่น่าจดจำของโปรตุเกส และเป็นประวัติศาสตร์ช็อกโลกลูกหนังที่เคยเกิดขึ้น กรีสมันน์เคยกล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นี้สร้างควาเจ็บปวดเป็นอย่างมากให้กับพวกเขา

แม้จะทำไม่สำเร็จ เป็นแผลสดนี้ผลักดันให้ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย พวกเขาปรับเสริมทัพจนสามารถประกาศศักดาคว้าแชมป์โลกมาได้ในปีนั้น และเป็นชุดที่กำลังเติบโตกระหายความสำเร็จด้วยผู้เล่นระดับคุณภาพที่อุดมในทีมสโมสรชั้นนำของโลก 

⚽ สถานการณ์ปัจจุบันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

จากเรื่องราวที่ได้นำเสนอนี้ ในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม เวลา 23.00 น. คู่แรก สเปน กับ เยอรมัน จะพบกันก่อน และข้ามคืนในอีกคู่ คือเวลา 02.00 น. (ตามเวลาบ้านเรา) โปรตุเกส กับ ฝรั่งเศส 

เรียกได้ว่าการพบกันรอบนี้ มากกว่าศักดิ์ศรีคือการเดิมพันการเข้ารอบ และเป็นการวัดฝีมือกันของคลื่นลูกใหม่ที่ได้ปรับทัพจากอดีต ที่หากชนะพวกเขาจะรอบโดยจะพบกันของทีมจาก 2 คู่นี้ เพื่อไปต่อสู่รอบชิง

และหากว่าจะแพ้ พวกเขาอาจจะสะสมประสบการณ์ความผิดหวังนี้เพื่อผลักดันให้ไปถึงความสำเร็จที่ต่อยอดไปได้ในอนาคต เหมือนที่พวกเขาเคยทำได้ การแข่งขันแม้จะเป็นการันตีความสำเร็จของผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว แต่มันไม่มีวันสิ้นสุด และพร้อมจะกลับมาครอบครองได้อีกครั้ง จากความคู่ควรที่ได้รับกลับไป 🏆

อ้างอิง