กระทบกระเทือนทางสมองในวัยเด็ก

ใครจะไปคิดกันว่า การลื่นล้มในวัยเด็กแค่เพียงครั้งเดียวก็มีโอกาสที่ทำจะให้ได้รับผลกระทบจากการกระทบกระเทือนทางสมองที่อาจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปได้ทั้งชีวิต เพราะการกระทบกระเทือนทางสมองในวัยเด็ก ไม่ใช่แค่ ‘อุบัติเหตุเล็กน้อย’ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป แต่สามารถทิ้งร่องรอยที่มองไม่เห็นไว้ในสมอง และรอยนั้นอาจส่งผลยาวนานจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้ โดยเฉพาะในด้านการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม

แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญขนาดนั้น? ในปี 2023 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ได้เผยแพร่งานวิจัยในวารสาร JAMA Neurology โดยมีใจความสำคัญว่า เด็กที่เคยมีประวัติการได้รับบาดเจ็บทางสมองเพียงเล็กน้อย มีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้น้อยลงถึง 15% เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บในลักษณะนี้เลย 

ต่อมาก็ได้มีงานวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัยแทมเปเร (University of Tampere) ประเทศฟินแลนด์ เผยว่า เด็กทารกจนถึงวัยรุ่นอายุ 17 ปีที่มีปัญหาทางด้านสมองหรือเคยได้รับการผ่าตัดมา มีโอกาสเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยน้อยกว่า 15% เมื่อเทียบกับกลุ่มของเด็กทั่วไปที่นำมาอ้างอิง และหากยิ่งได้รับบาดเจ็บหลายครั้งในช่วงอายุที่น้อยมาก เช่น ก่อนอายุ 7 ขวบ โอกาสที่จะได้รับการศึกษาระดับสูงก็จะยิ่งมีน้อยลง

โดยนักวิจัยได้ตั้งสมมติฐานว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสมองของเด็กนั้นยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ โครงข่ายของเซลล์ประสาทยังอยู่ในช่วง ‘เรียนรู้’ และยังเชื่อมโยงกันอยู่ ดังนั้นแม้จะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น การกระแทกหรือสั่นสะเทือนที่ไม่ทำให้หมดสติก็อาจจะกระทบต่อบริเวณที่สำคัญของสมองมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • กลีบสมองส่วนหน้า (Frontal lobe) : ควบคุมการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ การวางแผน
  • กลีบขมับ (Temporal lobe) : มีบทบาทในการฟัง ความเข้าใจ และความจำ
  • ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) : สำคัญต่อการเก็บและจัดการความจำระยะยาว

เมื่อเกิดการกระทบกระเทือนทางสมองในบริเวณดังกล่าว ก็อาจส่งผลทำให้ส่วนของสมองที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นส่งผลต่อการเรียนรู้เช่นกัน โดยตัวอย่างในวิจัยพบว่า เด็กที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองมีแนวโน้มมีปัญหาด้านสมาธิสั้น ความจำลดลง การควบคุมอารมณ์ผิดปกติ และปรับตัวในสังคมหรือห้องเรียนได้ยาก

แต่ทว่าผลกระทบดังกล่าวไม่ได้ปรากฏทันทีหลังจากบาดเจ็บ อาการจะค่อย ๆ สะสมและแสดงผลเมื่อระบบการเรียนรู้เริ่มซับซ้อนขึ้นในช่วงมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย

แม้ว่าตัวเลข 15% ที่กล่าวถึงจะเป็นข้อมูลที่น่าตกใจ แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีให้ผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กทุกคนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทบกระเทือนทางสมองในวัยเด็ก แม้เป็นการกระทบกระเทือนทางสมองในวัยเด็กเพียงเล็กน้อย ก็อาจเกิดผลที่เราไม่ควรมองข้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กควรถูกเลี้ยงให้ปลอดภัยแบบเกินเหตุ จนขาดโอกาสในการวิ่งเล่น สำรวจ หรือเรียนรู้จากโลกจริง
สิ่งสำคัญไม่ใช่การหลีกเลี่ยงทุกความเสี่ยง แต่คือ ‘การรู้เท่าทันความเสี่ยง’ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต ทั้งทางกาย ใจ และสมองเพราะสุดท้ายแล้ว เด็กไม่ได้ต้องการแค่ ‘ความปลอดภัย’ แต่ต้องการ ‘พื้นที่ให้เติบโต’ ไปพร้อมกับการได้รับการดูแลที่เข้าใจและทันโลกด้วยเช่นกัน

อ้างอิง

AUTHOR

ส่งเสริมสังคมสร้างสรรค์ ด้วยการสื่อสารวิทยาศาสตร์