หากช่วงนี้เราพบเห็นเสื้อผ้าราคาถูกที่ขายอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต พวกเราคงสงสัยกันว่าอะไรกันนะที่ทำให้เสื้อผ้าเหล่านี้ถูกขายในราคาถูกจนเหมือนแจกฟรี และมีอยู่ในท้องตลาดให้เราเห็นอย่างล้นหลาม คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ สินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้า ‘Fast Fashion’ นั่นเอง

สินค้า ‘Fast Fashion’ กับการละเมิดสิทธิแรงงาน

สินค้า ‘Fast Fashion’ อุตสาหกรรมสินค้าราคาถูกที่มีเทรนด์การหมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการผลิตสินค้าออกมาจำนวนที่มาก และมีราคาที่ถูก ซึ่งรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังสินค้าราคาถูกนั้น ๆ มาจากการการใช้แรงงานที่ราคาถูกโดยส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 75 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นแรงงานเพศหญิง จินตนาการตามง่าย ๆ ว่า ปกติแล้วพวกเราทำงานกันประมาณ 8 – 9 ชั่วโมงต่อวัน แต่แรงงานที่ผลิตสินค้า ‘Fast Fashion’ บางคนต้องทำงานหนักถึง 60 ชม./วัน และไม่ได้รายได้ที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้โรงงานส่วนใหญ่ยังอยู่ใกล้แหล่งน้ำ สิ่งที่ตามมาก็คือแรงงานต้องแบกรับภาระด้านสุขภาพที่ได้รับสารพิษตามแหล่งน้ำนั่นเอง ตัวอย่างแบรนด์ที่เป็นสินค้า ‘Fast Fashion’ เช่น  Zara, H&M, Shein เป็นต้น นอกเหนือจากเรื่องการใช้แรงงานในราคาที่ถูกแล้ว ‘Fast Fashion’ ยังส่งผลกระทบถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

‘Fast Fashion’ กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลจากทางสหประชาชาติและมูลนิธิ Ellen MacArthur ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงว่า ผลกระทบจากสินค้า ‘Fast Fashion’ นั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น อุตสาหกรรม Fast Fashion ต้องใช้น้ำกว่า 93 พันล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือในการผลิตกางเกงยีนส์ 1 ตัว จำเป็นต้องใช้น้ำสูงถึง 3,781 ลิตร นอกจากนี้เส้นใยไมโครพลาสติกที่ใช้ในเสื้อผ้าถูกปล่อยลงสู่มหาสมุทรประมาณ 500,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับขวดพลาสติก 50 พันล้านขวดเลยทีเดียว นอกจากนี้อุตสาหกรรมเสื้อผ้ายังปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่า 10% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วย 

นิสัยผู้บริโภค = ใส่ 1 – 2 ครั้งแล้วทิ้ง และปลายทางของ ‘Fast Fashion’

นอกจาก ‘Fast Fashion’ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยังส่งผลกับนิสัยผู้บริโภคอีกด้วย สามารถสังเกตพฤติกรรมการใช้เสื้อผ้าของคนใกล้ ๆ ตัวก็ได้เช่นกัน ที่มักจะเลือกซื้อเสื้อผ้าราคาถูกและสวมใส่เพียง 1 – 2 ครั้งเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอะไร? คำตอบของเรื่องนี้ก็คือการเพิ่มปริมาณของขยะที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลนั่นเอง

จากโครงการ ‘Dead White Man’s Clothes’ ได้ไปตามสืบวิธีการทิ้งขยะที่มาจากสินค้า ‘Fast Fashion’ และพบว่า ‘แถบแอฟริกาและทะเลทรายอะทากามา’ ได้กลายเป็นถังขยะของโลกที่รองรับสินค้าจากอุตสาหกรรม ‘Fast Fashion’ สินค้าเหล่านั้นถูกส่งไปที่บ่อขยะ หรือบางทีชาวประมงก็จะนำไปใช้ทำเป็นเชือก และก็จะส่งผลให้เกิดขยะขึ้นตามชายหาดและท้องทะเลต่อไป

นอกจากนี้ข้อมูลจากทางกรีนพีซระบุว่า ปลายทางของ ‘Fast Fashion’ ยังถูกส่งไปที่ประเทศเคนยาและทานเซเนียสูงถึง 185,000 ตัน/ปี และจะถูกบรรจุใส่ลงกระสอบขายรวบทีเดียว ซึ่งเรียกว่า ‘ไมทัมบา’ และขายเป็นสินค้ามือสอง แต่ข้อเท็จจริงที่น่าเศร้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ สินค้าเหล่านี้ไม่ได้มีคุณภาพสูงพอที่จะขายต่อเป็นสินค้ามือสองเท่าไหร่นัก ทำให้สิ่งที่ชาวเคนยาต้องเผชิญคือขยะจากสินค้า ‘Fast Fashion’ สูงถึง 150 – 200 ตัน/วัน และบางทีเสื้อผ้า ‘Fast Fashion’ ก็ถูกส่งไปเผาที่กานาอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลที่เล่ามาทำให้เราพอจะเห็นภาพได้ว่า สินค้า ‘Fast Fashion’ แม้ว่าเราจะเข้าถึงได้ในที่ราคาถูก คุณภาพแบบพอได้ และสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไม่จำกัดจำนวน แต่เมื่อรู้ต้นตอของที่มาของ ‘Fast Fashion’ แล้วก็ทำให้เราเห็นภาพรวม ๆ ว่าสินค้าเหล่านี้ทั้งเอาเปรียบชีวิตเพื่อนมนุษย์และทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เราอาจจะต้องหยุดบริโภคสินค้าเหล่านี้ และหันมาบริโภคสินค้าที่ยั่งยืน หรืออาจจะบริโภคสินค้ามือสองเพื่อลดการบริโภคสินค้า ‘Fast Fashion’ นั่นเอง

อ้างอิง :