ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก ไม่ใช่แค่กรุงเทพมหานครของเราแค่เพียงเมืองเดียว บางเมืองต้องเผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดยั้ง จนอาจจะจมเมืองทั้งเมืองได้ในชั่วข้ามคืน บางเมืองมันคือการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมและการท้าทายพระเจ้าด้วยสองมือของมนุษย์ การศึกษาวิธีการในการจัดการน้ำของแต่ละเมือง อาจเป็นคำตอบซึ่งจะช่วยต่อการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของกรุงเทพมหานครในอนาคต
วิหารเทพเจ้าใต้กรุงโตเกียว
มหานครโตเกียวเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ทำให้ญี่ปุ่นเผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนองตลอดปี ดังนั้นญี่ปุ่นจึงสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ใต้กรุงโตเกียว “Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel” หรือ G-Cans ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากมหาอุทกภัยมาได้ในทุกครา
G-Cans คืออุโมงค์ขนาดยักษ์ที่เชื่อมนครโตเกียวเข้ากับเมืองคาสุคาเบะ จังหวัดไซตามะ โดยตัวอุโมงค์เชื่อมต่อกับเครื่องสูบน้ำ 78 ตัว มีกำลังสูบรวม 14,000 ถังที่จุน้ำได้รวม 1,045,000 ลิตร ก่อนที่จะระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเอโดะด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพถึง 200,000 ลิตรต่อวินาที ผ่านอุโมงค์ยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10.6 เมตร ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 50 เมตร ความยาวกว่า 6.4 กิโลเมตร โดยอุโมงค์แห่งนี้ยังมีความใหญ่โตและอลังการจนถูกขนานนามว่าเป็นมหาวิหารใต้ดิน ทำให้ในยามปกติจะเปิดให้คณะทัวร์สามารถเข้าชมภายในอุโมงค์ได้
นอกจากอุโมงค์ยักษ์นี้แล้ว ญี่ปุ่นมีการเตรียมการณ์เพื่อรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมอยู่ตลอดเวลา และการจัดระเบียบผังเมืองที่มีการควบคุมสิ่งก่อสร้างไม่ให้กีดขวางเส้นทางระบายน้ำ
ถนนหนึ่งเส้นสองฟังก์ชั่น
มาเลเซียเป็นประเทศหนึ่งที่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดีเยี่ยม โดยในกรุงกัวลาลัมเปอร์สร้าง ‘Stormwater Management and Road Tunnel’ หรือ ‘SMART’ เป็นอุโมงค์ระบายน้ำและทางด่วนที่มีความยาวถึง 9.7 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.2 เมตร เริ่มการก่อสร้างเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003 แล้วเสร็จปี 2007
จุดมุ่งหมายของทางด่วนสายนี้คือ แก้ปัญฆาน้ำท่วมซ้ำซากของกรุงกัวลาลัมเปอร์ และปัญหาการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนบนถนน Sungai Besi กับทางยกระดับ Loke Yew ในเขตปูดู ความพิเศษของถนนเส้นนี้คือการแบ่งการใช้งานออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ 2 ชั้นแรก ใช้สำหรับเส้นทางจราจร และชั้นล่างสุดสำหรับระบายน้ำ ซึ่งในกรณีเกิดพายุมรสุมก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอุโมงค์ระบายน้ำได้พร้อมกันทั้ง 3 ชั้น สามารถรองรับการระบายน้ำได้ถึง 3 ล้านลูกบาศก์เมตร
ในปี ค.ศ. 2011 อุโมงค์ SMART ได้รับรางวัล ‘UN Habitat Scroll of Honour Award’ สำหรับการบริหารจัดการทั้งน้ำท่วมและการจราจรที่มีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเนเธอร์แลนด์
เนเธอร์แลนด์คือประเทศใต้บาดาลที่ได้เปลี่ยนชะตากรรมของเมืองไปตลอดกาลด้วยโครงการวิศวกรรมชลประทานขนาดยักษ์ หรือ Delta Work
สาเหตุการก่อสร้าง Delta work นี้เกิดจากในปี 1953 ได้มีพายุเข้าอย่างรุนแรงซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุโรปที่เรียกว่า North Sea flood ตอนนั้นพื้นที่กว่า 930,000 ไร่จมอยู่ใต้น้ำ พื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนเสียหายไปมาก มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 2,000 คน รัฐบาลในตอนนั้นจึงเล็งเห็นว่าเขื่อนกั้นทะเลของเนเธอร์แลนด์ไม่เพียงพอต่อการจัดการน้ำในแผ่นดินที่จมไปแล้วแห่งนี้ได้ จึงได้รวบรวมหัวกะทิเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำหรือ Delta Committee ขึ้นมา เพื่อวางแผนการจัดการน้ำระยะยาวไม่ให้เกิดน้ำท่วมอีก และหนึ่งในคนที่ถูกเชิญมาร่วมคณะกรรมการที่ว่านี้ก็คือคุณ David van Dantzig
David van Dantzig เป็นนักคณิตศาสตร์ ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น Royal Netherlands Academy of Arts and Sciences โดยผลงานเด่นของเขาคือ เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์และโทโพโลยี กับทฤษฎีความน่าจะเป็นและการทดสอบทางสถิติ ซึ่งคุณ David ได้เก็บข้อมูลทางสถิติมาสร้างแบบจำลองความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ของเนเธอร์แลนด์ แบ่งพื้นที่เป็นวงแหวน วิเคราะห์โอกาสที่จะเกิดความเสียหาย และคำนวณหาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ที่จะได้กับมูลค่าที่ต้องใช้ในการสร้างเขื่อนแต่ละเขื่อน เพื่อมากำหนดว่าเขื่อนแต่ละเขื่อนที่จะสร้างควรมีความสูงเท่าไร ที่สูงมากเพียงพอ แต่ไม่สูงมากเกินไปจนสิ้นเปลือง โดยแบบจำลองนี้เราเรียกว่า Economic cost-benefit decision model
จากโมเดลที่คุณ David ได้ทำขึ้นการก่อสร้างโครงการวิศวกรรมที่ท้าทายพระเจ้ามากที่สุดอย่าง Delta work จึงได้เกิดขึ้น ซึ่งโครงการนี้ใช้เวลาถึง 40 ปีในการก่อสร้าง โดยโครงการนี้ได้กลายเป็นปราการขนาดยักษ์ที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมเมืองที่จมทะเลนี้ไปแล้ว และทำให้มันกลายเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
แต่ด้วยภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงทำให้ Delta work อาจไม่เพียงพอ ดังนั้นรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จึงวางแผนและออกแบบการปรับปรุงระบบอยู่เรื่อย ๆ และศึกษาและพัฒนาต่อยอด เป็นแบบจำลองที่ดียิ่งๆ ขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2018 ศูนย์วิจัย CPB Netherlands Bureau for Economic Policy Analysis ก็ได้ออกรายงานเกี่ยวกับการวางแผนจัดการน้ำโดยใช้วิธีทางทฤษฎีกราฟ หรือ graph-based model
เมืองลอยน้ำอนาคตของโลกสีน้ำเงิน
เวลาเป็นสิ่งไม่อาจย้อนคืนได้ การกระทำของมนุษย์ในอดีต ส่งผลให้แก๊สเรือนกระจกจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เร่งให้อุณหภูมิของโลกพุ่งสูงขึ้นจนระดับของน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทำให้มหานครใหญ่ ๆ หลายแห่งอาจต้องประสบพบเจอกับปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง หรือในบางพื้นที่ก็ได้จมลงสู่ทะเลถาวรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศจึงเล็งเห็นว่าการสร้างเมืองลอยน้ำซึ่งทนทานต่อสภาพอากาศต่าง ๆ อาจเป็นทางรอดหนึ่งเพื่อป้องกันประชากรผลัดถิ่น โดยตัวอย่างหนึ่งของเมืองลอยน้ำที่กำลังถูกผลักดันคือเมือง Oceanix City แห่งนิวยอร์ก ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง ‘UN-Habitat’ ผู้ทำงานด้านการพัฒนาเมืองแบบยั่งยืน ‘บริษัทเอกชน Oceanix’ ‘สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์’ (Massachusetts Institute of Technology : MIT) และ ‘สมาคมวิชาชีพที่สนับสนุนการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก’ (The Explorers Club)
แนวคิดการสร้าง Oceanix City ไม่ใช่การนำก้อนหิน ดิน ทรายถมลงบนพื้นที่ที่ต้องการเพื่อเปลี่ยนให้เป็นแผ่นดินใหม่ แต่คือการนำวัสดุที่มีความยืดหยุ่นมาเป็นโครงสร้างหลัก โดยออกแบบให้เป็นรูปทรงหกเหลี่ยม ที่สามารถแยกส่วนและถอดประกอบจากบนบกได้ เมื่อถึงเวลาติดตั้งจะต้องทำการยึดเกาะหกเหลี่ยมนี้ไว้กับสมอใต้ท้องทะเล
ความสูงเฉลี่ยของเกาะที่สร้างนี้จะอยู่ที่ 7 ชั้นเพื่อความสมดุลของจุดศูนย์ถ่วงที่มั่นคงต่อการต้านลมและสภาวะรอบข้าง นอกจากนี้บริเวณเรือนยอดและหลังคาของจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยแท่นหกเหลี่ยมแต่ละแท่นจะรองรับประชากร 300 คน ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่เกษตรกรรม
นอกจาก Oceanix City ที่นิวยอร์กแล้วในหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน เกาหลี ออสเตรเลีย ฯลฯ ก็ได้เริ่มโครงการสร้างเมืองลอยน้ำเพื่อทดแทนเมืองที่อาจจะจมลงทะเลในอนาคต นอกจากนี้การพัฒนาเมือง Oceanix City ยังช่วยให้เราสามารถสร้างโรงพยาบาลเคลื่อนที่ในเหตุอุทกภัยที่จะช่วยผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที
การบริหารจัดการน้ำของในแต่ละเมืองทั่วโลกล้วนใช้หลักการพื้นฐานร่วมกันคือการอาศัยร่วมกับน้ำ โดยการหาพื้นที่ให้น้ำอยู่ ไม่ว่าเป็น อุโมงค์น้ำ ท่อส่งน้ำ หรือแก้มลิง โดยทั้งหมดล้วนเป็นการหาพื้นที่ให้น้ำอยู่ก่อนที่จะถูกระบายไปกับเส้นเลือดใหญ่ในการระบายน้ำ หรือการสร้างเมืองที่ลอยบนน้ำ ซึ่งจะเป็นวิธีการสุดท้ายเพื่อการอยู่ร่วมกับสายน้ำ
กรุงเทพมหานครในอนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เมืองหลวงที่มีอายุร่วมสองร้อยปีแห่งนี้จะจมลงสู่ธาราและจะกลายเป็นเพียงเรื่องราวที่จะถูกเล่าขานในความทรงจำหรือไม่ หรือจะยังคงอยู่ยั่งยืนยงก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของเหล่าผู้มีอำนาจและความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักไว้เสมอคือกาลเวลาไม่เคยคอยใคร ระหว่างที่เราไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง ความเสี่ยงที่กรุงเทพมหานครจะจมอยู่ใต้น้ำก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

อ้างอิง
- https://weather.com/science/environment/news/bangkok-sinking-subsidence-warming-15-years
- https://prospec.co.th/en/areas-in-bangkok-that-are-prone-to-repeated-floods/
- https://www.pbs.org/newshour/show/southeast-asian-cities-face-existential-crisis-as-they-sink-while-sea-levels-rise#transcript
- https://climate.nasa.gov/vital-signs/sea-level/
- https://urbancreature.co/bangkok-sewer-rainy/
- https://thaipublica.org/2023/03/thaipublica-survey-mission-to-solve-floods-in-bangkok/