เพราะการถูกทำให้หายไปไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย บ่อยครั้งที่ผู้มีอำนาจในสังคมเลือกใช้สิ่งที่ตนมีกระทำต่อผู้น้อยอย่างไม่ไยดี ซึ่งในกรณีนี้เรากำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ศาลสูงสุดของยุโรปเพิ่งมีคำตัดสินให้ ‘Google’ Search Engine เบอร์หนึ่งของโลกต้องชดเชยเงินเป็นจำนวนกว่า 2.4 พันล้านยูโร (ราว 8.7 หมื่นล้านบาท) ให้กับคู่สามีภรรยาเจ้าของธุรกิจ Start Up เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสุดล้ำสมัยในปี 2006 ที่ชื่อ ‘Foundem’ จากการที่ตัวกรองสแปมอัตโนมัติของเครื่องมือค้นหานี้ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นแพลตฟอร์มของพวกเขา
ย้อนกลับไปในปี 2006 ‘Shivaun Raff’ และ ‘Adam Raff’ คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งตัดสินใจลาออกจากงานที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างเหมาะสมมาทำธุรกิจ Start Up ร่วมกันในชื่อ ‘Foundem’ ที่มีแนวคิดหลักคือการเป็นแพลตฟอร์มเปรียบเทียบราคาแบบครบวงจรทุกหมดสินค้า ทั้งการค้นหาเที่ยวบิน ซื้อทีวี ซื้อแว่นกันแดด หรือแม้แต่บ้านหลังใหม่ ผ่านการหยิบเอาข้อมูลที่มีอยู่จากทุก Search Engine มาเปรียบเทียบราคาในตลาดกัน ซึ่งมีความแตกต่างจากเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาอื่น ๆ ที่จะเน้นการค้นหาแบบ Vertical Search Engines แต่เว็บนี้เลือกใช้แนวทางแบบ Horizontal Search Engines แทน
พวกเขาใช้เวลาเติบโตผ่านการมองเห็นจาก Search Engines ที่ผู้คนทั่วโลกใช้งาน อย่าง Google ตามปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน เขาบอกว่าเว็บไซต์ของตัวเองถูกลบออกจากผลการค้นหา จากการที่ระบบตัวกรองสแปมอัตโนมัติของเครื่องมือค้นหาทำให้เว็บไซต์นี้ถูกเลื่อนอันดับร่วงลงมาในเวลาอันรวดเร็ว จากการกล่าวหาของ Google ที่ระบุว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ของเว็บไซต์นี้ราว 87% เป็นเนื้อหาที่ถูกคัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่น จนส่งผลต่อการมองเห็นบน Search Engine แห่งนี้
ในขณะที่บนโลกความเป็นจริง เว็บไซต์ของพวกเขาได้รับการชื่นชมจากผู้คนหลายฝ่าย ทั้งการได้รับรางวัลจาก The Gatget Show ให้เป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุดในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนธันวาคม 2008 รวมถึงถูกจัดอันดับจากเว็บไซต์ Which? ให้เป็นเว็บไซต์สำหรับการค้นหาเที่ยวบินที่ดีอันดับที่ 3 เลยทีเดียว ซึ่งไม่ว่าในฐานะเว็บไซต์ ๆ หนึ่ง พวกเขาจะทำมันได้ดีสักแค่ไหน ผลการค้นหาบน Google Search ของพวกเขาก็ยังคงย่ำแย่เรื่อยมา ในขณะที่ผลการค้นหาเว็บไซต์ของพวกเขาใน Yahoo, Bing และ Microsoft กลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
นั่นจึงทำให้พวกเขาตัดสินใจส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้ที่สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และกรุงบรัสเซลล์ จนเกิดการยื่นฟ้องร้องโดยคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ให้เริ่มการสอบสวน Google ในเดือนพฤศจิกายน 2009 เพื่อให้เกิดการแก้ไข การค้นหาเพื่อประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ และรายการสินค้า จากการที่คู่สามีภรรยาเกิดความกังวลว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นจากการเข้าไปปรับแต่งข้อมูลการค้นหาโดยมนุษย์ แทนที่จะใช้ระบบอัลกอริทึมตรวจสอบเนื้อหาแทน และพวกเขามองว่า Google อาจจะกำลังใช้ประโยชน์จากการผูกขาดการค้นหาที่ทรงพลังในการทำให้พวกเขาถูกลบเลือนออกไปจากหน้าค้นหาของ Google
การฟ้องร้องครั้งนี้กินเวลานานกว่า 15 ปี โดยยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมการต่อสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างออกมาร้องเรียนในทำนองเดียวกันว่า Google ใช้อำนาจเหนือคู่แข่งของตนเองในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเอาชนะคู่แข่ง รวมไปถึงยังมีการร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจโฆษณาที่ไม่โปร่งใสของ Google ซึ่งทำให้ Search Engine แห่งนี้เต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมหลากหลายทิศทาง
จนกระทั่งคำตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรปในช่วงเดือนมิถุนายน 2017 ที่ระบุว่า Google ได้ส่งเสริมบริการเปรียบเทียบราคาสินค้าของตนเองในผลการค้นหาอย่างผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ลดระดับบริการของคู่แข่งลง และทาง Google ก็ใช้เวลาร่วม 7 ปีในการยื่นคำอุทธรณ์ ก่อนจะถูกปฏิเสธโดยศาลยุติธรรมของยุโรป เป็นผลให้ทาง Google ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 2.4 พันล้านยูโร (ราว 8.7 หมื่นล้านบาท)
และทางคู่สามีภรรยากำลังจะดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อ Google ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026 ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นที่หากทั้งคู่ในได้รับชัยชนะอีกครั้ง มันจะกลายเป็น ‘Pyrrhic victory’ หรือชัยชนะที่ได้ไม่คุ้มเสียเท่าไหร่นัก เพราะที่ผ่านมาพวกเขาก็เสียหายมากไม่แพ้กันกับ Google เพราะพวกเขาถูกบังคับให้ปิดแพลตฟอร์ม Foundem ลงในปี 2016 และ Adam Raff ก็ได้บอกกับทาง BBC ว่าการต่อสู้อันยาวนานของพวกเขาครั้งนี้เป็นความยากลำบากของชีวิตเหมือนกัน หากเขารู้ตั้งแต่ต้นว่าจะกินเวลาชีวิตของพวกเขายาวนานขนาดนี้ เขาอาจจะเลือกไม่ต่อสู้ตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้
อ้างอิง
- https://www.theguardian.com/technology/2010/nov/30/google-foundem-ec-competition-rules
- https://www.cnbc.com/2020/10/24/google-antitrust-suit-shows-its-lost-its-halo-rivals-say.html
- https://www.bbc.com/news/articles/cjr431lr72jo