พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว, ตั้ม พุฒิพงศ์, พนอ, ลองของ

จากลองของสู่พนอ: จักรวาลแห่งความสยอง

“เท้าความไปตั้งแต่ตอนทํา “ลองของ” ภาคแรก เราได้โจทย์จากทางไฟว์สตาร์ว่าอยากได้หนังไสยศาสตร์ ในยุคประมาณปี 2005 หนังไสยศาสตร์ที่มีอาจจะยังไม่โดนเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นไสยศาสตร์ที่เล่าด้วยภาพที่มีความสยองหรือน่ากลัว ณ เวลานั้นยังไม่มี พวกเราทีมโรนินมีทั้งหมด 7 คนก็เลยมีไอเดียกันว่าอยากทําไสยศาสตร์แบบนี้ตามสไตล์ แล้วก็สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นหนังลองของในภาค 1 หลังจากนั้นก็ถูกต่อยอดมาเป็นลองของ 2 ในปี 2011 และได้รับการพูดถึงจากคนดูจนทุกวันนี้ก็ยังมีคนติดตามและยังชื่นชอบกันอยู่

เวลาผ่านไป 20 ปีจึงเกิดมาเป็น “พนอ”  จริง ๆ แล้วเรามีความคิดที่อยากจะทำหนังแฟรนไชส์ของลองของกันมาหลายปีแล้ว อยากทําภาคต่อ แต่ทีนี้ด้วยว่าจังหวะ เรื่องของการตลาด เรื่องของกลุ่มคนดูหนังสยองขวัญในสไตล์ของลองของ เรารู้สึกว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลา สุดท้ายแล้วเมื่อเวลาเดินทางมาถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม ด้วยความที่ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา หนังไทยกลับมาคึกคักอีกรอบ โดยเฉพาะแนวผี แนวสยองขวัญ คนกลับมาดูเยอะมากขึ้น เข้าโรงหนังกันมากขึ้น เรารู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะทํา สานต่อความสยองจากลองของ 1 และ 2 ก็เลยเป็นไอเดียที่เราทำพนอเวอร์ชันนี้ขึ้นมา”

พุฒิพงศ์ สายศรีแก้ว, ตั้ม พุฒิพงศ์, พนอ, ลองของ

“ตอนแรกเรามีการโยนไอเดียกันในทีม ว่าจะเป็นลองของ 3 มั้ย แต่ด้วยเรื่องราวที่เราพยายามหากันว่ามีอะไรที่เราอยากจะนำมาเล่าต่อ เราเลยย้อนกลับไปดูหนังทั้งภาค 1 และ ภาค 2 ใหม่กันอีกครั้ง จนไปสะดุดกับบางฉากที่ภาค 2 มีทิ้งท้ายเอาไว้ ว่า เฮ้ย !!! จริง ๆ แล้วชีวิตตัวละครตัวนี้ที่คนยังชื่นชอบอยู่ก็คือ ‘ครูพนอ’ ยังอะไรที่น่าถ่ายทอด ยังมีเรื่องราวของเขา 

เรารู้จักพนอกันก็คือตอนที่เป็นครูพนอแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วตอนเขายังเป็นเด็กล่ะ ชีวิตของเขาน่าจะเป็นยังไง ตรงนี้กลายมาเป็นคำถามที่อยู่ในใจ แล้วเราก็อยากลองตีความกันดูว่า คุณครูคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร จึงเกิดเป็นไอเดียต่อว่า งั้นเราทำหนังในสไตล์แฟรนไชส์ลองของนี่แหละ แต่เราขอ spin off ตัวละครพนอมาเล่าแยก โดยที่เราจะไม่ใช้ชื่อหนังว่า “ลองของ” แต่เราจะใช้ชื่อว่า “พนอ” ไปเลย เรายังหยิบ mood and tone ของลองของทั้งสองภาคมาใช้และยังคงเป็นหนังที่เป็นสไตล์ของเรา เขย่าทุกอย่างออกมา พัฒนาโปรเจกต์ออกมาเป็นเรื่องราวที่มีจักรวาลเดียวกันในแบบที่ลงตัว

พอมาเป็นยุคนี้ ถึงแม้จะเป็นสมัยใหม่ที่เป็นโลกของดิจิทัล แต่โลกของไสยศาสตร์ยังคงอยู่ ตั้งแต่ลองของ 1-2 เราเล่นกับความเชื่อของคนดู จนคนดูเชื่อแล้วว่าโลกของด้านมือมันมีอยู่จริง เพราะฉะนั้นการทำภาคต่อมาเป็นพนอ เราเลยใส่เรื่องราวที่เพิ่มมากขึ้น เพิ่มเติมความแปลกใหม่เข้าไป ให้คนเข้าถึงได้ง่าย

ยุคนี้การทำหนังมันง่ายขึ้นกว่า 20 ปีที่แล้วเยอะมาก เพราะเทคโนโลยี เพราะการที่โลกเดินไปข้างหน้า ตอนลองของ 1 เราทำฉากสยองขวัญด้วย particle effect ก็คือยังทำ effect แบบทํามือ จะหั่น จะอะไร หรือเผา เราเลือกที่จะทําจริง ทําสดโดยใช้เทคนิคของทางเมกอัปเอฟเฟกต์มาช่วยเพราะว่าในยุคนั้นเรารู้สึกว่า CG ไม่ถึง เทคนิคที่มียังไม่สามารถรองรับความต้องการของเราได้ เลยเลือกที่จะทำสดดีกว่า”

“แต่พอมาเป็นยุคนี้ เทคโนโลยีที่มีเราต้องร้องโห!!! ทำ CG ก็ง่าย แต่ด้วยความที่พนอ เราอยากให้คงความเป็นสไตล์ของเราเอาไว้ เพราะยังไงมันก็ยังคงเป็นสไตล์ลองของ เราก็เลยเลือกที่จะทำสดเหมือนเดิม แต่ว่าไม่ทั้งหมด เรารู้สึกว่าการทําจริง ๆ ให้ความรู้สึกกับคนดูได้มากกว่า เนียนกว่า ในส่วนที่เราต้องใช้ CG จริง ๆ เราก็ใช้ 

ผมว่ามันอยู่ที่เราจะเลือกใช้ เพราะว่าทุกวันนี้มันทําอะไรได้หมดเลยในโลกภาพยนตร์ มันมีวิธีการที่ทําได้หมดทุกอย่างเลย อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะทําแบบไหนเพื่อให้คนดูรู้สึกแบบไหน ตรงนี้ก็เลยไม่ได้มีข้อกําหนดจริง ๆ ว่ามันควรจะต้องทํายังไงกับการถ่ายทําภาพยนตร์แนวนี้”

ความจริงที่ยังไม่มีคำอธิบาย

“ผมเป็นคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่แล้ว”

“สมัยก่อนไม่มีโซเชียล ไม่มีอินเทอร์เน็ตที่สามารถจะดูอะไรก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู จะมีก็แต่แม็กกาซีนหรือคลิปวิดีโอที่เราพอจะหาได้ หรือว่าดูหนังไสยศาสตร์ หนังสยองขวัญที่เป็นหมวดไสยศาสตร์ พอเรามีโอกาสได้มาทำหนังประเภทนี้จริง ๆ เราก็เลยได้มีการหาข้อมูลมาเติมมากขึ้นกว่าเดิม โดยศึกษาจากผู้ที่รู้จริง ให้ทีมงานไปรีเสิร์ชข้อมูลมาเพิ่ม เรายิ่งเจออะไรที่แปลกมากขึ้น จากที่เราเชื่ออยู่แล้วด้วยนะ ก็ยิ่งเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ มันสามารถทำของใส่กัน ทำร้ายกันด้วยไสยศาสตร์จริง ๆ เหรอ ปกติภาพจำที่เราเคยเจอมาก็จะเป็นพวกที่เสกตะปูเข้าท้อง อ้วกออกมาเป็นเส้นผม แต่พอเราเริ่มศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น มันมีอะไรที่มากกว่านั้นเยอะมาก ๆ 

เท่าที่รู้สึกว่าแรงจริง ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องของคนคนหนึ่งพอโดนของแล้วก็เปลี่ยนเป็นคนอีกคนไปเลย ก็คือคนคนเดิมแต่ถูกแทนที่ด้วยอะไรบางอย่าง เปลี่ยนบุคลิกเหมือนโดนแทนที่ด้วยบางสิ่งด้วยใครก็ไม่รู้ เราเองก็พยายามหาข้อพิสูจน์อยู่เหมือนกัน ตรงนี้ก็ใช้มาเป็นข้อมูล เป็นไอเดีย หรือเรื่องของการย้ายขวัญ เราก็นำมาใช้ในหนังด้วย เรื่องพวกนี้มันไม่สามารถอธิบายออกมาได้ และเพราะอธิบายไม่ได้นี่แหละเราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ 

เคยเจออยู่จะ ๆ สองครั้ง ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปรับน้องที่สวนผึ้ง สมัยนั้นมีแต่ป่าหญ้า ระหว่างที่พักอยู่ที่นั่นตอนกลางคืนเราก็จัดกิจกรรมกัน บริเวณนั้นเป็นทางสามแพร่ง มันเป็นจังหวะที่พี่เดินผ่านไปแล้วผมก็แว๊บ เห็นเป็นร่างคนยืนอยู่ตรงนั้น ระยะห่างกันประมาณ 2 เมตร เรามั่นใจเลยว่าไม่ใช่คนปกติเพราะมันรู้สึกแปลก ๆ”

“เขายืนเฉย ๆ นะ แต่สายตาจ้องมาที่เรา เราก็พยายามนิ่งเพราะไม่กล้าวิ่ง ตอนนั้นจำได้ว่าเราทำได้แค่ค่อย ๆ ก้มหน้าแล้วเดินไปเงียบ ๆ แต่เขาก็ยังตามเรามาตลอด ข้าง ๆ ทางจะเป็นหญ้าสูง ๆ เดินตามกันมาเรื่อย ๆ จนผมเดินไปถึงจุดจัดกิจกรรมแล้วเขาก็หายไป นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอกับตัวกับตาแบบนี้

ครั้งที่สอง เล่าไปก็นึกขำ แต่ตอนเจอไม่ได้รู้สึกขำนะ มันน่ากลัวมาก 10 กว่าปีที่แล้ว ผมขับรถไปกับน้องคนหนึ่ง ตาม GPS ไป แล้ว GPS เนี่ย มันก็ชอบแนะนำให้เราไปทางลัด เราก็ไปตามที่มันแนะนำ เพราะเราเชื่อมัน (หัวเราะ) ไปตามทางเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ เริ่มจากบนถนนใหญ่ไฟสว่าง ๆ มันเริ่มให้ลัดเลาะเข้าซอยมืด ๆ ผ่านทุ่งนาไปเรื่อย ๆ มองไปไกล ๆ มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ตรงหน้า 

ผมเห็นว่าที่หน้าบ้านมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่กำลังจับจักรยาน แล้วมีหมาอยู่เต็มหน้าบ้าน เลยหันไปบอกน้องที่เป็นคนขับว่า เดี๋ยวจอดแวะถามลุงคนนั้นซิว่าเราจะออกไปทางไหนได้บ้าง น้องที่ขับรถอยู่พอได้ยินผมพูดก็หน้านิ่ง ๆ จนพอใกล้ ๆ ลุงคนนั้น ผมก็ยังเห็นลุงยืนอยู่ เห็นอยู่ข้าง ๆ กระจกนี่เลยเพราะน้องมันขับผ่านไป ลุงเขาก็มองผ่านกระจกเข้ามาที่ผม ยังคงยืนจับจักรยานอยู่ หมาที่อยู่เต็มหน้าบ้านก็ยังอยู่ แต่น้องมันไม่ยอมจอด ผมก็เอ้า!!! ทำไมไม่จอด 

จนขับออกมาจากตรงนั้นได้สักพัก ผมถามน้องคนขับอีกครั้งว่าทำไมมึงไม่จอดถามทางลุง น้องหันมาบอกผมว่า “ลุงไหนเหรอ??? ไม่เห็นมีลุง เห็นมีแต่หมาเต็มไปหมด” ผมก็พอเข้าใจละ โอเค มึงขับต่อไป

เล่าตอนนี้ยังรู้สึกว่ามันขำ แต่ตอนนั้นคือหลอนกันมาก

ครั้งที่สาม คือ ตอนที่ยังไม่เปิดกล้องลองของ ตอนไปกันทั้งทีมโรนิน ไปดูโลเคชันด้วยกันทั้งหมด เราไปกันด้วยรถตู้ พี่คนหนึ่งในทีมชื่อว่าพี่อาร์ตเป็นคนขับ เราไปกันที่ต่างจังหวัด บริเวณนั้นเป็นทางรถไฟแต่ไม่มีไม้กั้น มีแต่หญ้าขึ้นสูง ๆ พี่อาร์ตก็ขับไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไร แล้วอยู่ ๆ เขาก็เบรกเลย ทุกคนก็งงว่าทำไมอยู่ ๆ เบรก ไม่ถึง 5 วิ รถไฟวิ่งผ่านหน้ารถพวกเราไป ตอนนั้นไม่เห็นหรือไม่มีสัญญาณอะไรเลยที่บอกว่ารถไฟกำลังมา 

พวกเราก็ถามพี่อาร์ตว่าทำไมเบรก เห็นรถไฟเหรอ พี่อาร์ตบอกว่าเปล่า แต่มันรู้สึกอะไรบางอย่างเลยต้องเบรก แบบไม่มีเหตุผลอะไรเลย คือถ้าตอนนั้นไม่เบรก ลองของคงไม่ได้เกิดขึ้น”

Magic Director ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์มืด

“ความตั้งใจของเรา คืออยากได้สิ่งที่มันจริงที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมหรือคาถาที่จะต้องท่องสําหรับคนที่จะต้องเล่นของในเรื่อง หรือแม้กระทั่งเรื่องการคิดฉากที่จะทําของใส่กัน ทุกอย่างจะถูกผ่านการ research ของจริงมาทั้งหมด”

“เราได้ ‘น้องขึก’ มาเป็น Magic Director เขาเป็นรุ่นน้องที่ทำงานกับผมมาตั้งแต่ลองของ 1 แล้วเขาก็ชอบเรื่องไสยศาสตร์ เราก็เลยให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ ค่อยหาข้อมูลตั้งแต่ลองของ 1 เป็นต้นมา เรามีหน้าที่กำกับและเขียนบท พอเราดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมา ใส่อะไร ๆ ลงไป เราก็จะส่งให้ขึกอ่าน เขาก็จะประเมินถึงความเป็นไปได้ ส่วนอะไรที่ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ เขาก็จะไปหาข้อมูลมาประกอบ จริงไม่จริงก็เอาข้อมูลมากางกัน พิธีกรรมบางอย่างหรือการควบคุม สมมติว่าแม้กระทั่งการใช้อะไรบางอย่างเพื่อควบคุมที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นในรูปแบบของสัตว์ต่าง ๆ มันก็มีจริง เราเลยรู้สึว่าจําเป็นที่จะต้องใช้ผู้รู้เพื่อมายืนยันมันว่ามันถูกต้อง

เราตั้งใจให้คนดูรู้สึกว่าทุกอย่างมันจริงหมด ดีเทลต่าง ๆ ลงรายละเอียดลึกแค่ไหน เรื่องพวกนี้เราพลาดไม่ได้เด็ดขาด เราจําเป็นที่จะต้องไปเอาข้อมูลที่จริงมาแล้ว แล้วพอเอามาแล้วก็ต้องรู้ว่าไม่ได้เอามาเล่น ๆ แบบพร่ำเพรื่อ ท่องกันเล่น ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นบทสวดหรือคาถา คำสวดต่าง ๆ คือคำที่เป็นของจริงทั้งหมด เราจะมีความระมัดระวังกันมาก”

“อย่างในพนอพอเราได้คาถาจริงมา ทางทีมก็ส่งให้นักแสดงที่ต้องท่องคาถานี้ไปท่อง แต่มันก็มีคำเตือนจากน้องที่ทำ research มาว่าอย่าให้เขาท่องหรืออ่านออกเสียงในเวลาที่อยู่คนเดียว หรืออย่าท่องในเวลากลางคืน ซึ่งคำเตือนนี้อาจจะเกิดอะไรขึ้นเราเองก็ไม่รู้ หรืออาจจะเกิดขึ้นรึเปล่าเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อมีคำเตือนเราก็ต้องเชื่อ เพราะมันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ คาถาอาคมมันเป็นของคนมีวิชาท่อง และบางทีมันเป็นเรื่องของจิต จังหวะเวลาที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผล ถ้าทุกอย่างมันลงล็อกพอดี มันก็อาจจะเกิดในสิ่งที่เราคิดไม่ถึง

นอกจากมันเกิดผลกับคนอื่น กับตัวเขาเอง คนท่องบางทีถ้าเป็นจังหวะจิตตกท่องไปมันอาจจะโดนกับตัวเอง หรือเห็นอะไรที่มันประหลาด ๆ แล้วพออยู่คนเดียวเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้ คำเตือนนี้ก็เลยถูกส่งให้นักแสดงที่ต้องเล่นบทนี้ คาถาถูกส่งไปก่อน แต่คำเตือนตามหลังไป ปรากฏว่าเขาท่องไปแล้ว เขาก็มีเจออะไรแปลก ๆ ที่เหลือเชื่อเหมือนกัน

เราพยายามเซฟนักแสดงในส่วนนี้มาก ๆ เพราะอย่างที่บอกถึงจะเป็นการแสดงแต่เป็นคาถาจริง เรามีการศึกษาหลายอย่างในเชิงลึก เรามีการทำพิธีกับนักแสดงทุกคนเพื่อให้มีบางสิ่งบางอย่างคุ้มครองเขา เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวลาที่ถ่ายทำในสถานที่จริง ต้องท่องคาถาจริง ๆ สถานที่นั้นเราไม่รู้ประวัติลึก ๆ ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่เราต้องทำคือการเคารพครูบาอาจารย์ เคารพสถานที่เพื่อให้ทำการแสดงนั้นราบรื่น มันมีผลต่อจิตใจด้วย”

“เฌอปราง” ที่เป็น “พนอ” ได้อย่างลงตัว

“ความยากแรกก็คือ…ใครจะมารับบทเป็นพนอในปฐมบทเรื่องนี้” 

“โจทย์แรกที่เราเลือกเล่าเรื่องของ “ครูพนอ” เรื่องของการแคสติ้งก็คือต้องเป็น “มะหมี่” การย้อนกลับไปปฐมบทก็ต้องกลายเป็นเด็กวัยรุ่น เด็กสาวมัธยมที่อายุ 16-17

เรามีการคุยกันเยอะกับทีมแคสติ้ง แม้กระทั่งกับคนเขียนบทเองก็จะมีการเสนอชื่อคนนั้นคนนี้ โยนไอเดียกันเข้ามาเยอะมาก มีทั้งนักแสดงหน้าใหม่ นักแสดงที่เห็นหน้าเห็นตากันอยู่แล้ว นักแสดงที่ดูคล้ายกับครูพนอมากที่สุด เราทำการบ้านกันเยอะมาก

หลังจากที่เราได้ที่คล้ายมาแล้ว ความยากขึ้นไปอีกเป็นเรื่องของการแสดง เรื่องของอินเนอร์ คือต้องทำให้คล้ายกับที่มะหมี่ได้เคยทำไว้แล้วในตอนนั้น 
“เฌอปราง” เป็นรายชื่อแรก ๆ ที่มีการนำเสนอเข้ามา แต่เราไม่มั่นใจในแง่ของการที่น้องจะสนใจรับบทอะไรแบบนี้เหรอ น้องจะสนใจหนังแนวนี้เหรอ แต่สุดท้าย เอาวะ ลองดู ผมเคยทำงานกับเฌอมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นเขาเล่นในมุมนี้ ก็เลยให้ทีมงานไปติดต่อดู ตกใจเราพอรู้ว่าเขาสนใจ เราก็โอเคละ เป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ”

“หลังจากนั้นก็มีการนัดมาคุย น้องก็กลับไปรีเสิร์ชข้อมูล กลับไปดูจักรวาลลองของ ตอนแรก ๆ เฌอบอกว่าไม่ค่อยกล้าดูอะไรแบบนี้ มันสั่นประสาท แต่พอดูไปดูมา เขาก็ตกลงที่จะมารับบทพนอให้เรา ขั้นตอนก็เหมือนกับทุกคน ทำเทส ทำแคสต์ ลองบท แล้วไม่ได้ให้เล่นบทธรรมดาด้วยนะ ลองแรกก็ให้ยากเลย ให้ลองดูว่าถ้าโดนของเข้าไปจะออกอาการเป็นยังไง หรือสีหน้าแววตาที่ตัวเองกำลังจะทำของใส่คนอื่น มันเป็นยังไง ลองให้เขาเป็นครูพนอที่เป็นมะหมี่ดูว่าเขาจะดีไซน์ออกมายังไง เพิ่มดีกรีความรุนแรงเข้าไป เพิ่มความโหดเข้าไป เฌอก็ทำเต็มที่มาก ใส่สุดเหมือนกันเราทำแคสต์กัน 2 ครั้ง จนมั่นใจว่า ‘เฌอ’ คือ ‘พนอ’ ที่สุด 

สิ่งที่ทําตามมาก็คือต้องเติม ต้อง make over ด้วยความบังเอิญโครงหน้าของเฌอมีความละม้ายมะหมี่อยู่แล้ว เราแค่มาเติมให้สมบูรณ์แบบขึ้น ทั้งเรื่องของสีผิว ทรงผม ให้เขาเป็นครูพนอในภาพจำของทุกคน แม้กระทั่งเขี้ยว บางคนอาจจะไม่ได้สังเกต เราเติมเขี้ยวให้เฌอให้เป็นแบบเดียวกับครูพนอต้นแบบ 

ถัดมาก็คือเรื่องของการเวิร์กช้อป ผมบอกได้เลยว่าพี่เฌอเต็มที่มาก และเมื่อผลงานออกมาสู่สาธารณะ ผลตอบรับค่อนข้างดีมาก ๆ 

สำหรับพนอในเวอร์ชันนี้ ถ้าวิเคราะห์ตัวละครจริง ๆ จะแตกต่างจากครูพนอในลองของด้วยสตอรี่ของเรื่อง อย่างตัวละครครูพนอในลองของเราเล่าในพาร์ทที่เขาถูกกระทํา แล้วก็กลายเป็นคนที่มีของ กลายเป็นคุณครูที่เหมือนจิตใจเขาเปลี่ยนไปแล้ว มีแต่ความแค้น รอวันที่จะแก้แค้นคนที่ทําร้ายเขาโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกอะไร 

แต่ว่าในพนอ ด้วยความปฐมบทก็จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่จะแตกต่างจากตัวครูพนอในลองของ จุดเริ่มต้นคือการที่โดนทำร้ายเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่โดนกระทำเหมือนกัน จนสุดท้ายไปครึ่งเรื่องเขาจึงค่อย ๆ กลายเป็นคนที่สามารถทําร้ายคนอื่นกลับได้ คือมันต้องสู้กลับ ก็เลยทําให้การแสดงของทั้งสองคนต่างกันในพาร์ทของตัวละคร ครูพนอในลองของที่เปิดมาคือขีดสุดเลย แต่ของพี่เฌอจะค่อย ๆ ไล่ระดับ เพราะฉะนั้นมิติของของตัวละครพนอในในเวอร์ชันพนอจะค่อนข้างเยอะ พอเราตีความว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น แล้วเราก็ตีความว่าสิ่งที่เขาเจอมันเยอะ เพราะพาร์ทนี้เล่าเรื่องของเขาโดยเฉพาะ เขาเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด”

เมื่อความเชื่อถูกสะท้อนด้วยยุคสมัย 
ไสยศาสตร์ ที่แปลว่า ‘มูเตลู’

“ความเชื่อ 20 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันผมว่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ๆ ความเชื่อคนไทยยังคงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ กับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเรื่องของความเชื่อในแต่ละยุคสมัย คนแต่ละรุ่นอาจจะถูกเอามาใช้หรือเอามาในบริบทที่ต่างไป อย่างสมัยก่อนตอน 20 ปีที่แล้ว พอเราพูดถึงไสยศาสตร์เราจะเห็นเป็นภาพดํา ๆ เป็นสิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง สิ่งที่เอามาทําร้ายกัน สิ่งชั่วร้าย สิ่งที่มันเป็นมนต์ดําด้านมืด แต่พอยุคนี้ เวลานี้ บริบทเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ไสยศาสตร์ยังคงอยู่กับสังคมไทย เพียงแต่ว่ามันเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนคำ มันทำให้รู้สึกว่าไสยศาสตร์ดูเป็นอะไรที่ซอฟต์ ๆ ลง คนกล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับมัน ไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สมัยนี้เรียกกันว่า “มูเตลู” 

จริง ๆ มันเหมือนเดิมเลยนะทําของใส่กัน ทําเสน่ห์ใส่ หรือทําอะไรบางอย่าง แต่พอมันซอฟต์ลงคนก็กล้าที่จะเข้าไปใช้มัน ในด้านดีก็มี มูสายขาวก็มี แต่ว่าข้างหลังที่คนยังไม่เห็นมูด้านมืดก็ยังมีอยู่ อาจจะเพราะว่าพอมีช่องทางในการเผยแพร่ หรือการรับรู้ที่มากขึ้น มันก็เลยรู้สึกได้ว่า อ้อ!!! แบบนี้ก็มีนะ ไปมูที่นี่แล้วได้ผลนะ บางทีกลายเป็นเทรนด์ไปแล้ว มีคนไปถ่ายคอนเทนต์มากมาย หรืออาจจะไม่ได้ตั้งใจไปถ่าย แต่ต้องไป เพราะใคร ๆ เขาก็ไปกัน ไม่งั้นจะรู้สึกว่าไม่ทันเทรนด์”

การกลับมาของหนังไทยและหนังผีไทย

ผมว่าความโดดเด่นของหนังสยองขวัญไทย 
คือเราอยู่กับความเชื่อนี้มานาน

“หนังผีไทยถูกปลูกฝังกับคนไทยมานาน เสน่ห์เอย เอกลักษณ์เอย ของเราไม่เหมือนที่อื่น อาจจะรวมถึงความต่างด้วย ทำให้ไม่ว่าจะผ่านยุคสมัยมาขนาดไหน ก็ยังมีคนที่อยากจะดูหนังผีอยู่ พอต่างชาติมาเห็นงานของเรา เขารู้สึกว่า เฮ้ย!!! มันโดดเด่น มันแตกต่างจากเขา

นี่คือแนวทางที่ชัดเจนของหนังผีไทย หนังสยองขวัญไทยที่สามารถไปสู่ตลาดโลกได้ง่าย คนทำงานในอุตสาหกรรมนี้มีประสบการณ์กันเยอะ มีการสะสมความรู้ต่าง ๆ มากมาย และถูกพัฒนาทางความคิดมาตลอดเวลาว่า เราจะต้องทำยังไงให้คงความเอกลักษณ์ที่น่ากลัว เราต้องทำยังไงที่จะเติมสไตล์ต่าง ๆ เข้าไปในเรื่องของเทคนิค เรื่องของวิธีการ หรือการพัฒนาหนังให้ไปกับกระแสคนดูที่มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ 

ในมุมของคนทํางานหนังไทย ผมว่าเรื่องเหล่านี้จะถูกพัฒนาไปเรื่อย ๆ แล้วก็มีคุณภาพที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยทําให้หนังบ้านเรายังคงดีอยู่ และดีขึ้น ยิ่งตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากคนดูหนังไทยมากขึ้น จะยิ่งบวก ๆ เข้าไป ยิ่งทําให้สามารถไปไกลได้กว่านี้อีก

ในช่วงที่ภาพยนตร์ไทยมันซบเซามา จริง ๆ ก่อนโควิดมาก็เริ่ม ๆ ให้เห็นแล้ว พอมาเจอโควิด…หนักเลย โควิดทําให้ทุกอย่างพังหมด พอหลังโควิดมาก็เริ่มกลับมาดีขึ้น สองปีที่ผ่านมา หนังไทยแนวสยองขวัญ หนังผีหนังสยองขวัญมันทํางาน สามารถดึงให้คนดูกลับเข้าไปดูหนังในโรงหนังได้มากขึ้น 

จุดสําคัญของการที่จะทําให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคัก คือ ทําให้คนดูหนังไทยกลับเข้าไปในโรงหนัง อย่างที่รู้กันว่ามันมีสตรีมมิ่งเยอะไปหมดเลย คนดูดูอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่ทําให้กลับมาคึกคัก เพราะว่าคนไทยกลับเข้าไปในโรงหนังเพื่อดูหนังในโรงหนังมากขึ้น ด้วยสิ่งที่ยืนยันก็คือจากรายได้ของหนังสยองขวัญ สองปีที่ผ่านมาหลายเรื่องที่มันถล่มทลาย ทะลุไปขนาดนั้น”

“อาจจะด้วยเรื่องคุณภาพของงานด้วยนะ ทั้งผู้กำกับใหม่ ๆ หรือผู้กำกับที่มีผลงานมาแล้วทำผลงานออกมาต่อเนื่องและพัฒนา คนก็กลับเข้าไปดูกันเยอะ แม้กระทั่งแนวผีหลอก หลอกผีก็ยังถูกพัฒนา ไม่ใช่แค่ออกมาหลอก ๆ แบบผีหลอก แต่มันผ่านการคิด ผ่านความตั้งใจในการที่จะถ่ายทอดผลงานออกมาให้มีคุณภาพที่ดี เลยทําให้ทุกอย่างมันเหมือนช่วยกันผลักดัน ทําให้หลัง ๆ มาหนังสยองขวัญของไทยกลับมาเป็นที่ชื่นชอบของคนดู 

สิ่งที่ยืนยันก็คือเสียงตอบรับจากคนดูที่ชื่นชอบกับหนังหลาย ๆ เรื่องที่ทําเงินได้เยอะ ทีนี้ทุกอย่างมันคึกคัก ปีนี้หนังสยองขวัญเต็มเลยที่ประกาศไลน์อัพ เปิดโปรเจกต์กันเต็มไปหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ดีผมว่านะ ทําให้บรรยากาศของอุตสาหกรรมของเรามันดูคึกคักขึ้น ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญเท่านั้น หนังแนวอื่นก็มา มันก็เลยมีพื้นที่ให้สตูดิโอ นายทุน หรือคนที่อยากทำหนังไทยกลับเข้ามาทำอะไรดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง 

บทสนทนาตรงนี้เรารู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเล็ก ๆ ของคนทำหนังที่นั่งอยู่ตรงหน้า จึงมีคำถามออกไปว่า “ชื่นใจมั้ยพี่กับการที่หนังไทยกลับมาคึกคักแบบนี้”

“…”          พี่ตั้มตอบด้วยการพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม 🙂

ผมอยู่ในอุตสาหกรรมหนังมา 20 ปี เริ่มทําหนังครั้งแรกในปีที่ตอนนั้นทั้งปีมีหนังไทยอยู่ 7 เรื่อง ตอนที่เริ่มทําหนังครั้งแรกเลยนะ เป็นช่วงที่กําลังขาลงของหนังไทย คนในวงการก็พยายามจะทํายังไงให้หนังไทยกลับมา ตอนนั้นมันแย่มาก ๆ แต่พอมายุคหนึ่งที่หนังอย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง หนังอย่างบางระจันทําให้กระแสการดูหนังไทยกลับมาคึกคัก จากที่ปีละ 7 เรื่องก็เพิ่มเป็น 20 เป็น 30 เรื่อง แล้วก็ถึงจุดหนึ่งมันก็ลงไปอีก คือตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่าหนังไทยมันผ่านวัฏจักรของขึ้นไปสุด ลงมาสุด แล้วขึ้นสุด ลงสุด ก็คือเรื่องของยุคสมัยที่มีปัจจัยหลายอย่างที่บางทีเราก็คาดเดายาก ยุคนี้ยุคหนึ่งหนังตลกมาเยอะ แล้วมายุคหนึ่งหนังผีมาเต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจะปรับตัวยังไงเพื่อที่จะทําให้กลุ่มคนดูหนังไทยยังเชื่อว่าหนังควรต้องเข้าไปดูในโรงหนัง”

เสน่ห์จริง ๆ ของการดูหนังคือ คุณต้องเข้าไปดูในโรงหนัง”

จากเด็ก ‘พร็อป’ ไปไปมามากลายเป็น ‘ผู้กำกับ’

“ผมเรียนวารสารฯ ที่ม.สยาม ผมอยากเป็นนักหนังสือพิมพ์ อยากเป็นนักข่าว”

“ผมคนชอบดูหนัง แต่ไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะเข้ามาทําหนัง แต่ด้วยจังหวะที่เข้าไปเรียนมหา’ลัยแล้วก็ไปเจอรุ่นพี่ที่เขาทําละครเวที เราก็ไปกับเพื่อน ไปช่วยทําฉากแล้วมันสนุก รู้สึกว่าเอ้ย!!! สนุกจังเลย

เราได้เปิดโลกใหม่ ๆ เพราะสมัยก่อนเราไม่เคยเรียนอะไรแบบนี้ พอเรียนจบรุ่นพี่คนนั้นก็มีโอกาสได้เข้าไปทําหนังกับพี่ปื๊ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) ไปเป็นผู้ช่วยผู้กํากับ พี่ปื๊ดก็เลยชวนผมมาทําพร็อพ เรื่อง ‘สวัสดีบ้านนอก’ ของไฟว์สตาร์นี่ล่ะ พี่ปื้๊ดเป็นคนกำกับ ทําอยู่ฝ่ายศิลป์ พอเข้ามาแล้วมันสนุก เรารู้สึกว่า เฮ้ย!!! มันเปิดโลกใบใหม่ให้กับเรามาก ในฐานะที่เราคนเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยรู้ว่าขั้นตอนในการทำหนังออกมาเรื่องหนึ่งมีอะไรบ้าง โห!!! มันยากมากเลย แต่มันก็สนุก เลยอยู่กับพี่ปื๊ดแล้วรู้สึกว่าตอบโจทย์กับชีวิต เราชอบสิ่งนี้

ทำงานแบบนี้ตื่นเช้าก็จริง เวลาออกกองทีโคตรเหนื่อยอ่ะ แต่เราก็ยังรู้สึกว่าเราสนุกจัง พอเราเห็นงานเราฉายบนจอ แล้วมีคนเข้าไปดู มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่าง มันคือความสุขที่เราได้เป็นคนทำพวกนั้นออกมา

สมัยที่เราไปดูหนังแล้วรู้สึกว่าเราชอบหนังเรื่องนี้จังเลย เรารักในการดูหนัง พอเห็นคนดูไปดูงานที่เราทําแล้วคนดูชอบด้วยมันก็ยิ่งทําให้รู้สึกว่ามันภูมิใจกับสิ่งที่เราทําก็เลยอยู่ทําตรงนี้มาเรื่อย ๆ จนมีความอยากที่จะเป็นผู้กํากับ อยากจะเล่าเรื่องในมุมของเราบ้าง เหมือนได้เรียนรู้ ได้ทํางานไปเรื่อย ๆ ก็เป็น step แต่จริง ๆ ยุคนั้น คือการที่จะทําหนังเรื่องหนึ่ง มันต้องไล่ step จริง ๆ นะ เป็นผู้ช่วย 3 ช่วย 2 ช่วย 1 ต้องผ่านการฝึกฝนประสบการณ์ กว่าที่จะได้กํากับ มันค่อนข้างจะใช้เวลาเยอะ”

“พอพี่ปื๊ดเปิดหนังเรื่องบางระจัน รุ่นพี่ที่เขาชวนเข้ามาก็บอก เฮ้ย!!! เขาอยากได้ผู้ช่วยผู้กํากับ 3 ทําไหม เราเห็นว่ามันเป็นโอกาสก็เลยทําโดยที่เราไม่รู้ว่าเราจะทําได้หรือเปล่านะ แต่ก็ทำ เราอยู่กับพี่ปื๊ดมานานกันหลายปี ได้เป็นผู้ช่วย 3 ขยับไปเป็นผู้ช่วย 2 ผู้ช่วย 1 ของหนังพี่ปื๊ด ทําแต่หนังใหญ่ ๆ บางระจัน ขุนแผน ขุนศึก แล้วก็โชคดีได้มีโอกาสไปทํางานกับท่านมุ้ย เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ผมไปช่วยตั้งแต่สุริโยทัย แต่ว่าถ้าเต็ม ๆ เลยคือตํานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งแต่ภาคหนึ่งอยู่กับท่านมุ้ยสิบปี ตัดขาดจากที่อื่นเลย ได้ความรู้จากท่านเยอะมาก”

“ผมต้องขอบคุณกำลังใจจากพี่ปื๊ดและความรู้ที่ท่านมุ้ยถ่ายทอดมาให้ผม จนทำให้ผมมีวันนี้”

แม่…จักรวาลของโลกใบนี้

“ไม่ไหวแล้วแม่ อยากกลับบ้าน ร้องไห้เลย จําได้เลย ร้องไห้กับแม่เลย”

“บางระจันแหละครับ ทําผู้ช่วยเรื่องแรกตอนนั้นยังเด็กด้วยนะ โอ้โห!!! บางระจันคิดดูสิว่ามันโหด มันดีเทลหนังฟอร์มมันใหญ่มาก แรก ๆ เราเหนื่อยแหละ เราเหนื่อย เราเหนื่อย เหนื่อยจริง ๆ แต่ว่ามันก็สนุก มีช่วงท้าย ๆ ที่เริ่มรู้สึกว่า โห!!! มันเหนื่อยว่ะ แล้วเราต้องเหนื่อยขนาดนี้ไหม ต้องโดนกดดันหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องของตัวงาน เรื่องของทีมงาน เรื่องของอะไรที่บางทีมันเกินจากที่เราจะควบคุมได้ มันม้อขนาดคิดว่าเราจะเลิกดีไหม พอแค่นี้ดีไหม

โทรหาแม่เลย ผมว่าหลาย ๆ คนเป็นนะ ใครที่ทํางานเจออะไรแบบนี้ เหมือนเราอึดอัด เราอยากเล่าให้ใครฟังสักคนหนึ่ง ก็เลยโทรหาแม่ 

พอแม่รับสายประโยคแรกบอกแม่เลย  “ไม่ไหวแล้วแม่ อยากกลับบ้าน”

น้ำตาไหลแล้วเลย แม่ก็ถามเป็นอะไร ก็เล่าให้เขาฟังว่า เจอตรงนู้นตรงนี้มา ประโยคแรกที่แม่พูด ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงเจอเหตุการณ์แบบนี้ แม่บอกก็ไม่ต้องทํา แล้วกลับมา เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง เขาพูดประโยคนี้ โอ้โห!!! ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้ จนเรารู้สึกว่าเราได้ระบายแล้ว 

พอเขาถามว่ากลับมาไหม เราก็ตอบไปว่าไม่กลับ แต่มีแรงฮึบใหม่แล้ว ก็รู้สึกว่า อย่างน้อยเราได้ระบายแล้ว ทำต่อได้แล้ว ลุยต่อให้มันจบ”

“แล้วสิ่งที่มันเห็นผลก็คือ พอหนังประสบความสําเร็จ พอหนังฉาย มันถล่มทลายมาก หายเหนื่อยเลย สิ่งที่เราเห็นทุกช็อต ทุกเฟรม เราอยู่เป็นส่วนร่วมในนั้น ในหนังเรื่องนั้น มันคืองานที่เราลงไปกับมันเต็ม ๆ มีส่วนร่วมเต็ม ๆ ทีนี้ก็ภูมิใจขึ้นมา แล้วก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง คิดกับตัวเองว่า เฮ้ย!!! เราผ่านงานหนักขนาดนี้มาได้แล้ว เพราะฉะนั้นหนังเรื่องต่อไปไม่กลัวแล้วมาเลย คราวนี้ไม่กลัวแล้ว โอ้โห!!! หนักกว่าเดิม เจอหนักขึ้น (หัวเราะ) ยังคิดเลยว่าทําไมชีวิตนี้เจอแต่หนังยาก ทําผู้ช่วยผู้กํากับ ทําเป็นทีมงานเจอแต่หนังพีเรียด หนังสงครามแอ็กชัน บางระจัน ขุนแผน ขุนศึกมีแว๊บ ๆ ไปทําคนเล่นของให้พี่ปื้ดบ้าง แล้วก็ไปช่วยสุริโยทัยตอนปลาย ๆ ไปทํานเรศวรอยู่ 10 ปี”

ทําไมชีวิตนี้มีทําแต่หนังแบบนี้ 
แต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่ทําให้เราแข็งแรง

“ผมว่าผมได้ความรู้ได้ประสบการณ์จากผู้กํากับทุกท่าน ทั้งพี่ปื๊ดแล้วก็ท่านมุ้ย เราได้ประสบการณ์ตรงนั้นมาเยอะ กลายเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีที่ทําให้เราข้ามความเหนื่อยไปหมด แล้วหลังจากนี้คงไม่มีอะไรยากกว่านั้นแล้ว เรารู้วิธีจัดการ ในกองถ่ายมันมีปัญหาตลอด เรารู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เวลาเจอปัญหาที่มันท้อ ๆ อ่ะถอยออกมาก่อนมั้ย ถอยมาพักนิดหนึ่งแล้วกลับไปใหม่มันเหมือนเราได้เรียนรู้วิธีการ”

ฝากถึง “พนอ”

“”พนอ” เวอร์ชันนี้ ผมตีความว่าจริง ๆ เขาก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ถามว่าเขามีอะไรในตัว สตอรี่เขามีสิ่งที่น่ากลัวที่ติดตัวเขามาตั้งแต่กําเนิด แต่ตัวเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีความเป็นมนุษย์มาก ๆ เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เพียงแต่ว่าทําไมมันมีอะไรอยู่รอบตัวที่ดูน่ากลัว มีอะไรบางอย่างที่อยู่กับตัวเขา เพราะฉะนั้นมันมีโอกาสที่เขาจะมีทั้งเรื่องความรัก มีเรื่องความโกรธ มีเรื่องของอะไรหลาย ๆ อย่าง

ซึ่งในพนอจริง ๆ มันก็จะมีตัวละครที่เข้ามาเขาเรียกว่ามาอยู่ในพาร์ทของความรักของเขาอะมันก็ไม่ใช่แค่แจ๊คกี้คนเดียว ยังมีแต้วที่เป็นเพื่อน ความรักของเพื่อน มีแม่ถึงแม่จะดูไม่ค่อยสนใจแต่ตัวเขารักแม่ เราพยายามให้รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้ถูกตีความว่าเขาเป็นคนที่ต้องการความรักจากคนรอบข้าง ไม่จําเป็นต้องทุกคนหรอก อย่างน้อยคนที่อยู่ใกล้ตัว จากแม่ จากเพื่อน หรือจากผู้ชายสักคนหนึ่งแต่ว่าต้องไปดูว่าอะไรที่ทําให้เขาจะสมหวังหรือเขาจะมีความสุขกับมันหรือไม่มีความสุขกับมัน ต้องติดตามในหนัง” 

อาจจะมีกลุ่มคนที่ไม่เคยดูลองของเพราะว่ากลัวกับหนังสยองขวัญ เรื่องนี้จริง ๆ แล้วสามารถเข้าไปดูได้ เพราะว่านอกจากความสยองก็จะมีความตื่นเต้น มีความลึกลับ มีความสนุกของเส้นเรื่องของพนอที่เพิ่มขึ้น คนที่ไม่เคยดูลองของ 1-2 ก็สามารถไปดูได้ ใน “พนอ” เราเล่าตั้งแต่ปฐมบท เริ่มตั้งแต่ศูนย์ คนดูสามารถเติบโตไปกับตัวละครพนอ พร้อมกันกับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องได้”

เรื่องราวของ “พนอ” จะจบลงแบบไหนในภาคนี้
เพื่อที่จะเชื่อมต่อเข้ากับจักรวาลลองของ
ต้องไปดูกัน!!!

CREATED BY

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน