พิธีเลี้ยงดง 2568 ปู่แสะย่าแสะ

เมื่อพูดถึง “ร่างทรง” ถ้าไม่นึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญของไทยที่มีชื่อเหมือนกัน หรือ “มิโกะ” ของญี่ปุ่นจากการ์ตูนดังเรื่อง Jujutsu Kaisen และ Inuyasha คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ย่อมนึกถึงชายหญิงสวมผ้าโพกหัว สวมชุดไทยโบราณนั่งอยู่หน้าแท่นพิธี อาจจะคอยทำนายทายทักเรื่องราวในอดีต หยั่งรู้เรื่องอนาคต สิ่งลี้ลับ หรือแม้แต่การ “ใบ้หวย” ที่เผลอ ๆ หลายคนอาจจะเคยใช้บริการร่างทรงเหล่านี้มาแล้ว !!!

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวของอาชีพผู้ให้วิญญาณเข้ามาสิงสถิตกลายเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ส่งสารคดีชุดมนตราล้านนา ตอน “ม้าขี่” ที่ตีแผ่เรื่องราวของม้าขี่ หรือร่างทรงในภาคเหนือของไทย ที่ดูเหมือนจะแตกต่างจากร่างทรงในที่อื่น ๆ เพราะผู้ที่จะเป็นร่างทรงในล้านนาได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็น “กะเทย” ภาพร่างทรงสวมชุดล้านนาโบราณ โพกหัว พูดภาษาคำเมืองหรือภาษาไทยถิ่นเหนือ ฟ้อนไปกับเสียงดนตรีพื้นเมือง ถือเป็นภาพจำของร่างทรงที่คนในภาคเหนือเห็นกันมาอย่างยาวนาน

ประกอบกับพิธีเลี้ยงดง ปู่แสะย่าแสะ ซึ่งจัดขึ้นที่เชิงดอยคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อร่างทรงคนใหม่ที่มาทำพิธีในปีนี้กลับแสดงพฤติกรรมแตกต่างไปจากร่างทรงคนก่อน ๆ ไม่ว่าจะถ่ายรูปเซลฟี่กับนักท่องเที่ยว พูดภาษาไทยสำเนียงภาคกลางในพิธีกรรมเก่าแก่ของคนท้องถิ่น ไม่เคารพไหว้พระบฏ (ผ้าที่วาดรูปพระพุทธเจ้าไว้) ซึ่งแขวนไว้ก่อนเริ่มพิธี รวมถึงการจัดงานพิธีที่ถูกมองว่ามีการนำวัฒนธรรมจากต่างถิ่นมาแสดงในงาน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายอย่างรุนแรง ร้อนถึงขั้นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดงานต้องออกมาชี้แจงกันเลยทีเดียว

“ม้าขี่” ร่างทรงในภาคเหนือ คือบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารระหว่างโลกคนเป็นกับโลกของวิญญาณตามความเชื่อดั้งเดิม โดยเฉพาะภูมิภาคล้านนาที่ความเชื่อเรื่อง “ผี” ทรงอิทธิพลในทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเจ้านาย ผีครู ผีบ้าน ผีเรือน โดยเฉพาะผีปู่ผีย่า ที่คนในสังคมภาคเหนือให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สะท้อนความสัมพันธ์ของความเชื่อและสายสัมพันธ์ของครอบครัว โดยผีปู่ย่านั้นจะสืบทอดมาทางสมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิง จากแนวคิดสังคมหญิงเป็นใหญ่ในอดีต ทำให้ในช่วงแรกนั้นผู้ที่ทำอาชีพร่างทรงมักจะเป็นผู้หญิง และการแต่งงานของคนล้านนา ฝ่ายชายมักจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงแม้จะเป็นในยุคปัจจุบันก็ตาม โดยหน้าที่ของร่างทรงนอกจากจะให้วิญญาณเข้าสิงเพื่อพูดคุยกับคนเป็นแล้ว ยังให้คำปรึกษาทั้งปัญหาชีวิต รักษาอาการเจ็บป่วย ทรัพย์สิน ตามหาญาติพี่น้องที่สูญหายไป ผ่านพิธี “ลงขอน” หรือพิธีที่ให้วิญญาณมาสิงร่างทรงนั่นเอง

ต่อมา จากความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่เชื่อว่า “ประจำเดือน” ของผู้หญิงนั้น นอกจากจะทำให้เครื่องแต่งกายของม้าขี่ไม่สะอาดแล้ว ยังกระทบต่อคุณไสย โดยเฉพาะผีเจ้านาย หรือวิญญาณของเจ้าเมือง กษัตริย์ ทำให้ “ม้าขี่ปู๊เมีย” หรือร่างทรงที่เป็นเกย์ กะเทย ทำหน้าที่เป็นร่างทรงแทน ส่งผลให้อาชีพม้าขี่ กลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้แสดงตัวตนตั้งแต่ยุคอดีตที่สังคมยังคงมีความอนุรักษนิยม และมีการกีดกันความหลากหลายทางเพศอยู่ โดยเฉพาะร่างทรงของวิญญาณเจ้าเมือง หรือม้าขี่ผีเจ้านาย ยิ่งทำให้ผู้ที่ได้เป็นร่างทรงดังกล่าว ยกสถานะตัวเองในสังคมมากขึ้น ทำให้งานประเพณีที่เกี่ยวกับร่างทรงกลายเป็นพื้นที่ที่เปิดให้ร่างทรง LGBT ได้เปิดเผยตัวตนของตัวเอง และถือเป็นอีกปัจจัยทางวัฒนธรรมที่ส่งผลให้สังคมไทยยอมรับความเท่าเทียมทางเพศและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาตั้งแต่อดีต

เพราะ “ศาสนาผี” คือความเชื่อแรก ๆ ของวัฒนธรรมมนุษย์ และยังเป็นรากฐานความเชื่อ วัฒนธรรมของคนไทยก่อนการมาของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาพุทธจากอินเดีย ไม่ว่าจะภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ รวมทั้งภาคเหนือเอง ศาสนาผีก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในสังคมและความเชื่อของคนท้องถิ่นอยู่ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ย่อมขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน

ที่มา

AUTHOR

นักออกแบบกราฟิกจากเชียงใหม่ สนใจในเสียงดนตรี ภาพยนตร์ และความเป็นไปของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไปพร้อมกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น