โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทิ้งประชุม G7

การประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ประเทศแคนาดา เป็นเวทีการหารือของชาติมหาอำนาจของโลก 7 ประเทศ ซึ่งเดิมทีถูกคาดหวังว่าจะเป็นเวทีสำคัญในการหารือประเด็นระดับโลก เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน, ความตึงเครียดจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ตาม การประชุม G7 ครั้งนี้ถูกกลบกระแสความสำคัญลงโดยเหตุการณ์ตอบโต้กันอย่างรุนแรงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในตะวันออกกลาง

และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความปั่นป่วนของการประชุม G7 คือการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจเดินทางกลับก่อนกำหนด หลังเข้าร่วมประชุมเพียงแค่วันเดียว ท่ามกลางความคาดหวังจากชาติสมาชิกที่จะหารือเรื่องนโยบายการค้ากับสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นมาตรการภาษีนำเข้า

แม้ก่อนหน้าการประชุมจะมีการลงนามในข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “จะมีข้อตกลงการค้าอีกมากมายที่จะเกิดขึ้น” แต่ประเทศอื่น ๆ เช่น แคนาดา กลับไม่สามารถตกลงกันได้ และทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเจรจาอีกครั้งภายใน 30 วัน

“ผมต้องกลับให้เร็วที่สุด” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวขณะถ่ายรูปหมู่กับกลุ่มผู้นำชาติ G7 “ผมคิดว่าเราจัดการไปหลายเรื่องแล้ว” กล่าวเพิ่มเติมขณะชี้ไปยังนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์ เคียร์ สตาเมอร์ ที่เขาเพิ่งเซ็นข้อตกลงการค้าร่วมกันไป

อีกประเด็นสำคัญที่ต้องสะดุดลงคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งการหารือระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่ถูกยกเลิกตามกำหนดเดิมในวันที่ 2 ของการประชุม เซเลนสกีแสดงความต้องการให้ชาติ G7 เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ทรัมป์ปฏิเสธ โดยระบุว่า “การคว่ำบาตรประเทศใดโดยไม่จำเป็น ทำให้สหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก จำนวนมากจริงๆ” เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การขับรัสเซียออกจาก G8 ในปี 2014 ถือเป็นความผิดพลาด พร้อมเสริมว่า “เราใช้เวลามากมายพูดถึงรัสเซีย ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ในห้องด้วยซ้ำ”

ด้าน ดมีตรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนทรัมป์ โดยกล่าวว่า “เรายอมรับกับสิ่งที่ทรัมป์พูด มันเป็นความผิดพลาดที่ขับรัสเซียออกจาก G8 … G7 ในวันนี้ดูไร้พลังและค่อนข้างไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับเวทีโลกอย่าง G20” ในขณะที่ทรัมป์แสดงท่าทีลดบทบาทสหภาพยุโรปและพันธมิตร G7 อื่น ๆ แต่กลับเดินหน้าสนับสนุนยูเครน โดยแคนาดาประกาศงบประมาณช่วยเหลือทางการทหารเพิ่ม 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะดำเนินมาตรการกดดันรัสเซียต่อไป

อย่างไรก็ตามชาติสมาชิก G7 ที่ยังเหลือจะทยอยพบปะกับประธานาธิบดีเซเลนสกี เพื่อแสดงแรงสนับสนุนต่อยูเครน โดยนายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุว่าชาติ G7 เห็นถึงความสำคัญสูงสุดที่จะต้องดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียเพื่อสร้างแรงกดดัน อีกทั้งแคนาดายังลงนามข้อตกลงให้งบประมาณช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครนเป็นจำนวน 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย

ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ตึงเครียด และความหวังในการยุติสงครามในยุโรปตะวันออก ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ออกมาย้ำจุดยืนว่า ยูเครนพร้อมสำหรับการเจรจาสันติภาพ และยินดีต่อการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า “นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง”

สาเหตุหลักที่ทรัมป์เดินทางกลับก่อน คือความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งปะทุขึ้นระหว่างการประชุม G7 ผู้นำฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง กล่าวว่า ทรัมป์บอกกับเขาว่า “กำลังมีการเจรจา” และหากสหรัฐฯ สามารถนำไปสู่การหยุดยิงได้ “นั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก และฝรั่งเศสจะสนับสนุน” และแม้ผู้นำฝรั่งเศสจะพยายามผลักดันบทบาทของยุโรปให้มีน้ำหนักในเวที G7 โดยเฉพาะในการแก้ไขความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ตลอดจนผลักดันให้เกิดสันติภาพในยูเครน แต่ดูเหมือนว่าแนวทางของเขาจะสวนทางกับจุดยืนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง

ขณะที่มาครงกล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังมีความพยายามในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในตะวันออกกลาง และกล่าวว่าฝรั่งเศสนั้น “ยินดีให้การสนับสนุนเต็มที่” ต่อความพยายามดังกล่าวของอเมริกา กลับกลายเป็นว่าไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทรัมป์กลับปฏิเสธว่ายังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ ที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และยืนยันว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับตะวันออกกลางเป็นเรื่องที่ “สหรัฐฯ จะดำเนินการในแนวทางของตนเอง”

ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์จึงถูกมองว่าเป็นการ “ปฏิเสธมาครงทางอ้อม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากความพยายามของผู้นำฝรั่งเศสที่ต้องการให้ยุโรปมีบทบาทร่วมกับสหรัฐฯ ในการคลี่คลายสถานการณ์ โดยนักวิเคราะห์มองว่า จุดต่างสำคัญระหว่างทั้งสองผู้นำอยู่ที่ทัศนคติต่อ “ความร่วมมือพหุภาคี” ขณะที่มาครงย้ำเสมอว่าประเทศในกลุ่ม G7 ควรแสดงบทบาทร่วมกัน แต่ทรัมป์กลับเลือกแนวทาง “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ที่เน้นการตัดสินใจแบบเอกเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจของทรัมป์ในการเดินทางกลับประเทศก่อนกำหนด ยังทำให้ความพยายามของมาครงที่จะสร้างฉันทามติในหมู่สมาชิก G7 ต้องสะดุดลงไปอย่างน่าเสียดาย

อ้างอิง