หลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้วในไทย ความก้าวหน้าและความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศดูเหมือนจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมไทย แต่มีอีกหนึ่งประเด็นที่อยากจะชวนคุยก็คือ ‘ความหลากหลายทางเพศในแวดวงการเมืองไทย’
จุดเริ่มต้นของการสนใจประเด็นนี้ เกิดจากเราได้มีโอกาสไปนั่งอ่านบทสัมภาษณ์การเปิดตัวคู่รัก LGBTQ+ ของ ‘คุณจักรภพ เพ็ญแข’ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของคุณ สมัคร สุนทรเวช และโฆษกประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลของคุณทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าข่าวดีของเรื่องนี้ก็คือ พวกเขาเตรียมตัวที่จะจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าในบทสัมภาษณ์ก็คือ พวกเขาเป็นคู่รัก LGBTQ+ ที่ต้องปิดบังตัวตนอยู่นานถึง 23 ปี เพราะด้วยสถานะทางสังคมที่คุณจักรภพเป็น ‘นักการเมือง’
ในโลกของการเมืองไทยไม่ต้องบอกทุกคนก็น่าจะเห็นภาพว่าในวงการนี้เต็มไปด้วยผู้ชายไม่ต่างไปจากวงการพระเครื่อง หรือหากจะให้เห็นภาพชัด ๆ แบบไม่มีอคติก็คือ เพศของคนที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในไทยส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย เหมือนจะมีนายกหญิงเพียงแค่คนแรกและคนเดียวก็คือ อดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนี้หากกางข้อมูลมานั่งดูกันดี ๆ อีกสักนิดก็จะเห็นว่าเพศชายก็ยังคงครองโลกการเมืองอยู่ดี โดยอิงข้อมูลจากการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในปี 2566 จะเห็นว่า แคนดิเดตนายกเป็นเพศชาย 85.5 เปอร์เซนต์และเป็นเพศหญิงเพียง 14.5 เปอร์เซนต์เท่านั้น นอกจากนี้ ส.ส.เพศหญิงในไทยยังมีสัดส่วนที่น้อยอยู่ในอันดับที่ 137 จาก 168 ประเทศทั่วโลกเท่าที่สะท้อนออกมาก็พอจะทำให้เห็นว่าแค่พื้นที่สำหรับผู้หญิงยังน้อยเพราะฉะนั้นพื้นที่ของ LGBTQ+ ในการเมืองก็น่าจะน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
วกกลับมาที่ประเด็นของคุณจักรภพ ในบทสัมภาษณ์คุณจักรภพและคู่รักเล่าว่า การเป็น LGBTQ+ ในสมัยก่อนก็ยากมากอยู่พอสมควรแล้วและบวกกับการทำงานการเมืองไปด้วยยิ่งยากเพราะถูกโจมตีทางการเมืองด้วยการเอาเรื่องเพศมาด้อยค่า ว่าการเป็นเกย์มันเป็นเรื่องที่ผิด นอกจากนี้มีหนึ่งประเด็นที่คุณจักรภพก็คือ ในโลกการเมืองผู้ชายชอบโชว์แมน โชว์ผู้หญิง แต่ตนไม่มี คนรอบข้างอาจจะมองว่าผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไรออกมา ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นลักษณะของแวดวงการเมืองไทยที่สะท้อนผ่านแว่นของคนในแวดวงเดียวกัน
นอกจากนี้ ‘ชานันท์ ยอดหงษ์’ นักประวัติศาสตร์และนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลายทางเพศ เคยสะท้อนประเด็นการเมืองกับเพศเอาไว้อย่างน่าสนใจว่าคำว่า ‘ชายแท้’ ได้กลายเป็นศัพท์ทางการเมืองไปแล้ว พื้นที่ทางการเมืองรวมไปถึงการบริหารสถาบันใด ๆ ก็ตาม ผูกขาดอยู่กับเพศชาย โดยผู้ชายมีพื้นที่ความเป็นชายด้วยตัวมันเองมาอย่างยาวนานแล้ว หรือที่เรียกว่า ‘รัฐผู้ชาย’ หรือ ‘รัฐ Male State’ ซึ่งรัฐในลักษณะนี้ด้วยโครงสร้างของมันเป็นโครงสร้างอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ส่งผลให้ผู้หญิงและเพศอื่น ๆ กลายเป็นคนกลุ่มน้อยและเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่า
ทางชานันท์อธิบายต่อว่า เพศหญิงในโลกการเมืองมักถูกมองว่าเป็นน้องใหม่ที่ประสบการณ์ไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย และเมื่อพูดถึงสภามันไม่ควรจะเป็นสภาชายแท้ ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเพราะภายในสภาล้วนเต็มไปด้วยความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายด้านอัตลักษณ์, เพศ, ชาติพันธ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นโลกการเมืองที่มีความหลากหลายมากขึ้นและไม่ได้ถูกตีกรอบว่าโลกการเมืองหรือนักการเมืองต้องเป็นเพศชายเท่านั้น และเปิดพื้นที่ให้กับทุกเพศที่มีความสามารถมากพอที่จะทำงานการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลนั่นเอง
อ้างอิง
- https://data.ipu.org/women-ranking/?date_month=2&date_year=2023
- https://theactive.net/read/woman-propotion-politician/
- https://www.pptvhd36.com/news/ข่าวบันเทิง/227886
- https://www.youtube.com/watch?v=qjKDt7Pp2Js
- https://themodernist.in.th/councilpresident-chanan-yodhong/