Good Cop, Bad Cop

ไม่มีอาชีพใดในโลกสามารถผดุงความยุติธรรมได้จริง หรือแม้กระทั่ง ‘ความยุติธรรม’ เองก็อาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ เพราะความยุติธรรมในแง่มุมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สารบบชีวิตมนุษย์สลับซับซ้อนมากกว่าสมการง่าย ๆ อย่างเช่น การตัดแบ่งชิ้นเค้กให้เท่ากัน หรือการหารเลขให้ลงตัว ความต้องการของมนุษย์ไม่เคยพอดี และไม่มีวันพอดีตราบเท่าที่เรากอดรัดความเห็นแก่ตัวเอาไว้

ทว่าสิ่งที่ดูไร้แก่นสารแต่สามารถวัดค่าได้มากกว่าความยุติธรรมอาจจะเป็น ‘ศีลธรรม’ ที่มนุษย์ทุกคนถือครองกันมาตั้งแต่เกิด การฆ่า การแย่งชิง การทำร้าย การละเมิดหรือดูหมิ่น เราสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ‘ผิด’ โดยไม่ต้องอาศัยการศึกษาจากกฎบัญญัติข้อใด

เมื่อความยุติธรรมเป็นกฎที่มนุษย์เขียนขึ้นมาในภายหลัง และดูเหมือนจะเป็นสสารที่ไม่เข้าใครออกใคร การแปะป้ายว่าคนจากสาขาอาชีพใดทำหน้าที่ ‘ผดุงความยุติธรรม’ ก็คล้ายจะเป็นสิ่งที่เกินความเป็นจริงไปเสียหน่อย

อย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ ‘ป้าบัวผัน’ หญิงชราสติไม่ดีที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วป้ายสีให้สามีของป้าเป็นแพะรับบาปจากการทำงานของกลุ่มตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ทำให้เราเห็นความเน่าเฟะและสกปรกที่อยู่เบื้องหลังอาชีพที่ดูสง่างาม ถึงแม้ในความเป็นจริงไม่มีความยุติธรรมไหลเวียนอยู่ในกระบวนการการทำงานนั้นเลย

แม้กระทั่งการสอบปากคำหรือเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบหรือข้อยุติความขัดแย้งนั้นก็มีกลยุทธ์ที่ไม่ตรงไปตรงมาอยู่แล้ว เช่น กลยุทธ์ที่เรามักพบได้เห็นได้บ่อยในภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนของต่างประเทศอย่าง Good Cop, Bad Cop (ตำรวจดี – ตำรวจเลว) กับการจับผู้ต้องสงสัยเข้าห้องมืดที่มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ และแสงไฟริบหรี่จากหลอดไฟ LED สีนวลที่ขับเน้นให้ผู้ต้องสงสัยรู้สึกกดดัน จากนั้นตำรวจเลวจะเริ่มทำการข่มขู่หรือใช้กำลังกับผู้ต้องสงสัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตนเองต้องการ แต่หากบีบเค้นแล้วยังไม่ยอมรับสารภาพหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีเข้ามาทำท่าทีว่าเห็นใจผู้ต้องสงสัย และเริ่มเกลี้ยกล่อมให้พวกเขารู้สึกไว้วางใจเพื่อให้เผยข้อมูลที่ปกปิดไว้ ซึ่งบทบาทตำรวจดีตำรวจเลวไม่จำเป็นต้องใช้ผู้รับบทบาทสองคน อาจจะเป็นคนเดียวที่มีสองคาแรคเตอร์ก็ได้ จากรูปแบบการเจรจานี้จะเห็นได้ว่า ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนมีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยจริง ๆ ซึ่งขณะนั้นพวกเขาอาจเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ และแน่นอนว่าความรุนแรงในกระบวนการยุติธรรมนั้นไร้ความยุติธรรม สิ่งเหล่านี้อาจสร้างบาดแผลทางกายและจิตใจให้กับผู้คน

แน่นอนว่ายังมีอีกสารพัดวิธีที่ตำรวจใช้รีดเค้นข้อมูลออกมาจากผู้ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็น กลยุทธ์ปีศาจ (Boogey) กับการใช้เทคนิคล่อลวงหรือข่มขู่เพื่อให้ผู้ต้องหายอมรับข้อกล่าวหา จากนั้นจึงเชื่อมโยงคำสารภาพเข้ากับข้อกล่าวหาที่ตนเองต้องการ หรือกลยุทธ์เท้าขวางประตู (Foot in the door technique) หรือการยื่นข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำให้อีกฝ่ายคล้อยตามและยอมรับข้อเสนอที่อาจไม่เป็นที่พอใจในช่วงแรก แต่จะได้สิทธิพิเศษในภายหลัง ซึ่งวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีสกปรกที่ทำให้ตำรวจได้มาซึ่งข้อมูลและหลักฐานที่ตนเอง

อย่างไรก็ตามทุกคนลองวิเคราะห์กันว่า ในกรณีคดีของป้าบัวผันตำรวจใช้วิธีการใดในทำให้สามีของป้าบัวผันทำการรับสารภาพแบบนั้น และยังมีอีกกี่คดีที่ตำรวจอาจใช้วิธีแบบนี้แต่ไม่ได้รับการเปิดเผย แล้วเรายังสามารถเรียกอาชีพเหล่านี้ว่าผู้ผดุงความยุติธรรมได้หรือไม่ หากพวกเขายังคงเอาเปรียบคนอื่นเรื่อยไปในการประกอบอาชีพ

ที่มา