ตอนเด็ก ๆ หาเราเชื่อฟังพ่อแม่ ขยันขันแข็ง พูดเพราะ อยู่ในกฎระเบียบ ไม่สร้างปัญหา เราก็จะถูกชื่นชมและถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘เด็กดี’ มองเผิน ๆ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า พฤติกรรมหรือการกระทำเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่ดีและสมเหตุสมผลแล้ว แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราติดกับดักคำชื่นชมเหล่านั้น เราจะเก็บมันมาเป็นสาระสำคัญในชีวิต และมันย่อมส่งผลกระทบกับนิสัยและตัวตนของเราในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘Good Girl Syndrome’
Good Girl Syndrome ไม่ใช่แนวคิดหรือศัพท์ในวงการแพทย์แต่มันเป็นผลผลิตที่เกิดจากวัฒนธรรมป๊อป และเรามักจะได้ยินมันอยู่บ่อย ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต ‘ดร.ซูซาน อัลเบอรส์’ นักจิตวิทยาคลินิก ได้อธิบายความหมายของมันเอาไว้ว่า มันเป็นการแสดงออกของลักษณะนิสัยที่ตอบสนองไปตามสิ่งที่ผู้คนรอบตัว รวมถึงสังคมชื่นชมหรือให้คุณค่าเกี่ยวกับเด็กผู้หญิง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น เมื่อพูดถึงเด็กดี ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกคนน่าจะตรงกันก็คือ เป็นเด็กเรียบร้อยที่ว่านอนสอนง่ายและไม่สร้างปัญหา ซึ่งวิธีคิดอะไรแบบนี้เป็นชุดความคิดที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมเกี่ยวกับความคาดหวังว่าผู้หญิงควรจะเป็นอย่างไร ควรจะมีบทบาทอย่างไร และเมื่อไหร่ก็ตามที่คนที่มีอาการ Good Girl Syndrome มีนิสัยหรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากภาพเดิม พวกเขาจะรู้สึกผิด รู้สึกกลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือกลัวว่าตัวเองจะถูกมองในแง่ลบ
ต้องย้ำอีกทีว่า Good Girl Syndrome หรือ ‘อาการเด็กดี’ ไม่ใช่ภาวะทางสุขภาพจิตที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่มันเป็นลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมบางอย่างที่อาจจะส่งผลกระทบต่อวิธีที่เรามองและให้คุณค่ากับตัวเราเอง และถ้าการเป็นเด็กดีทำให้ตัวเรารู้สึกไม่มีความสุขหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นการพบผู้เชี่ยวชาญ ส่วนสำหรับ 6 สัญญาณที่อาจจะพอทำให้เราประเมินได้ว่าเราเข้าข่ายอาการเด็กดี ได้แก่
การยึดติดอยู่กับความสมบูรณ์แบบ
ความสมบูรณ์แบบดูเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่ในขณะเดียวกันมันก็มาพร้อมกับ ‘ความกลัว’ กลัวความล้มเหลว, กลัวคำวิพากษ์วิจารณ์, กลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง, กลัวถูกคนอื่นตัดสิน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่เคยพึงพอใจกับชีวิตและมักจะมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองอยู่เสมอ ๆ ดร. อัลเบอรส์ อธิบายว่า คนที่มีอาการเด็กดีจะไวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์หรือความคิดเห็นของผู้อื่นมาก เพราะมันเป็นการเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกไว้กับสายตาของคนอื่น ซึ่งมันอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมาได้
การเอาอกเอาใจผู้อื่น
คนที่มีอาการเด็กดีมักจะรู้สึกปลอดภัยหรือรู้สึกมีคุณค่าเมื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่นได้ และพวกเขาก็มักจะคาดเดาความต้องการของผู้อื่นอยู่เสมอ ผลเสียที่ตามมาก็คือ ไอ้ท่าทีประนีประนอมเอาอกเอาใจคนอื่นมากจนเกินไป ทำให้พวกเขาไม่กล้าพูดความรู้สึกตรง ๆ เวลาถูกปฏิบัติไม่ดีใส่หรือสิ่งที่ต้องการจริง ๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าต้องทืำตัวให้เข้ากับผู้อื่นตลอดเวลา จริงอยู่ที่การทำตัวมีประโยชน์กับผู้อื่นและรู้สึกดีไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่คนที่มีอาการเด็กดีมักจะหมกมุ่นไปกับการเติมเต็มความต้องการของคนอื่นแบบถวายหัว อาทิ การเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบ, การเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ หรือการเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และแน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการมีทั้งข้อดีและข้อเสียคือส่วนหนึ่งของการเกิดมาเป็นมนุษย์
การให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อนเป็นอันดับแรก
ประเด็นนี้ไม่ได้ต่างกันจากประเด็นก่อนหน้า แก่นของมันก็คือ ‘การเสียสละเพื่อคนอื่นจนลืมตัวเอง’ เช่น การยอมลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเพราะคู่รักไม่ยอมยืดหยุ่น หรือการยอมไปกินข้าวร้านโปรดของเพื่อนร่วมงานทั้ง ๆ ที่คุณอยากจะกินข้าวร้านข้าง ๆ เป็นต้น คนที่มีอาการเด็กดีมักให้ความสำคัญต่อความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเอง และจะไม่ยอมให้ตัวเองสร้างความลำบากให้กับใครเด็ดขาด
มองรูปลักษณ์ตัวเองในแง่ลบ
ดร. อัลเบอรส์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เด็กผู้หญิงมักจะรู้สึกว่าต้องมีรูปลักษณ์ในแบบที่คนอื่นรู้สึกพอใจ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาการเด็กดีมักมาพร้อมกับโรคการกินผิดปกติ (Eating Disorders) นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการเด็กดีอาจจะพยายามทำหลายสิ่งเพื่อความสวยงาม เช่น การศัลยกรรม หรือการทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการซื้อเสื้อผ้า เป็นต้น
ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ปัญหาทางเพศเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนที่มีอาการเด็กดีต้องเผชิญ กล่าวคือ เด็กดีมักถูกมองว่าไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ ซึ่งที่สุดแล้วมันจะกลายมาเป็นความสับสนเมื่อพวกเขามีประสบการณ์ทางเพศ ยกตัวอย่างเช่น ความกลัวหรือความรู้สึกผิดที่มีเพศสัมพันธ์, ไม่เข้าใจความต้องการทางเพศของตนเองเพราะมุ่งตอบสนองความต้องการทางเพศของอีกฝ่าย หรือไม่สามารถปฏิเสธอีกฝ่ายได้เมื่อรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ เป็นต้น
บาดแผลทางจิตใจในอดีต
ดร. อัลเบอรส์ อธิบายเอาไว้อีกว่า คนที่มีอาการเด็กดีในระดับที่รุนแรงมักจะเคยมีบาดแผลทางจิตใจในวัยเด็ก และบางครั้งพฤติกรรมที่มาจากอาการเด็กดี อย่าง การพยายามเอาอกเอาใจผู้อื่นหรือการติดอยู่กับความสมบูรณ์แบบอาจเป็นรูปแบบหนึ่งของ Hypervigilance ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและรู้สึกเป็นอันตราย ซึ่งมีความข้องเกี่ยวกับภาวะของสุขภาพจิต เช่น PTSD (ภาวะเครียดหลังผ่านเหตุการณ์รุนแรง) หรือ ภาวะวิตกกังวล เป็นต้น และแม้ว่า Hypervigilance จะเป็นกลไกของระบบประสาทที่ตื่นตัวเพราะอยากจะปกป้องคุณจากอันตรายที่เคยได้รับมาในอดีต แต่มันก็สร้างความเครียดอย่างมหาศาลทั้งต่อร่างกายและสมองของคุณ
และถ้าหากถามต่อว่า ทำไม Hypervigilance มักจะเกิดกับกลุ่มคนที่มีอาการเด็กดี คำตอบก็คือ หากพวกเขาเติบโตมาในบ้านที่เต็มไปด้วยความรุนแรง พวกเขาอาจจะเรียนรู้ว่า การทำตัวเงียบ ๆ ยอมเชื่อฟัง หรือยอมเสียตัวตน เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย พวกเขาอาจจะยอมทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และมักจะซ่อนอารมณ์ตัวเองอยู่เป็นเนือง ๆ พฤติกรรมเหล่านี้ช่วยให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์ที่รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั่นเอง
เล่ามาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า อาการเด็กดีก็มีข้อเสียที่ส่งผลอย่างมหาศาลเกี่ยวกับวิธีที่เอาคุณค่าและการมองตัวเองไปแขวนอยู่ที่คนอื่น จนมันก่อตัวเป็นความทุกข์ และอาจจะทำให้เรารู้สึกไร้ค่าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมา สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็คือ ‘การทำลายวงจรเด็กดี’ ซึ่งวิธีมันก็ค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางในการบำบัดที่เหมาะสม หรือการเรียนรู้เท่าทันความรู้สึกของตนเองและยอมรับมันว่ามีอยู่จริง และต้องเข้าใจอีกชั้นว่า ความรู้สึกและความต้องการของเราไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หรือเรียนรู้ที่จะตั้งขอบเขตและไม่ต้องรู้สึกผิดหากต้องปฏิเสธ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป นอกจากนี้ควรจะฟังสัญชาตญาณตัวเองเยอะ ๆ และที่สำคัญที่สุดให้ตระหนักไว้เสมอว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์คุณค่ากับใคร”เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบจนไม่มีที่ติ’ เพราะบนโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมดหรือไม่มีมนุษย์คนไหนไม่เคยทำผิดพลาดเลย
อ้างอิง
- https://health.clevelandclinic.org/good-girl-syndrome
- https://www.psychologytoday.com/us/blog/self-made/202501/breaking-the-good-girl-cycle