The Devil Wears Prada

“เธออยากให้ฉันพูดว่าอะไรล่ะ โถ แอนดี้น่าสงสาร มิแรนด้าแกล้งเธอ ตื่นซะทีนะแม่ไซส์หก” – The Devil Wears Prada (2006)

ภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อย ๆ อย่าง The Devil Wears Prada นั้น เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกยกไว้ให้เป็นตำนาน ทั้งด้านความสนุกสนาน การเป็นจุดเริ่มต้นทางสายอาชีพของนักแสดงนำหลายคน หรือแม้แต่การเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมป๊อปแห่งยุคสมัย 2000 อีกด้วย และคีย์ความสำเร็จข้อสำคัญที่ทำให้ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นพิเศษ คือการพาสำรวจโลกแห่งความจริงของการทำงานนั่นเอง

หากเรามองผ่านการเดินทางของตัวละครหลักอย่าง Andrea Sachs ที่เป็นเสมือนตัวแทนของเด็กจบใหม่ ที่พร้อมไปด้วยศักยภาพและความมั่นใจ เธอมุ่งหน้าหางานใหม่ในเมืองใหญ่ และ “ส่งใบสมัครไว้หลายที่ จนอีเลียส คลาร์คติดต่อไป” เธอเองไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นสำนักพิมพ์หัวไหน แต่ขอเพียงให้ตัวเองได้กระโจนตัวเข้าไปในอุตสาหกรรมนี้ก่อน ยิ่งการที่บอกว่า “ทำที่นี่แค่ปีเดียว ก็ไปทำสำนักพิมพ์อื่นได้สบาย” จึงไม่มีเหตุผลอื่นที่จะลองไปสัมภาษณ์งานดูก่อน แม้จะโดนมองหัวจรดเท้าว่าเธอไม่มีคุณสมบัติอะไรเกี่ยวกับวงการแฟชั่นหรือแม้แต่รู้จักนิตยสาร Runway ที่เป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ด้วยซ้ำ

โครงสร้างของเรื่อง มีลักษณะเป็น Alice in Wonderland คือการให้ตัวละครเข้าไปผจญภัยในโลกที่ไม่คุ้นเคย เพื่อให้ตัวละครได้เรียนรู้ชีวิต แต่ทว่าแดนมหัศจรรย์ของ Andrea คืออุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีมูลค่าหลายแสนล้าน โลกทุนนิยมที่พร้อมจะบดขยี้ศัยกภาพและความมั่นใจของเธอให้ขาดผึงทีเดียว

เมื่อโลกของแฟชั่น ไม่ได้ถูกวัดมาตรฐานได้แบบการทำงานทั่วไป Miranda Priestly ตัวแม่ของวงการแฟชั่น วางตัวเองในลักษณะของ Toxic Bossy ไม่ใช่เจ้านายที่มีลักษณะเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมการทำงานเลยแม้แต่น้อย Miranda เหมารวมเอาทั้งชีวิตของเธอ เรื่องงาน การจัดการชีวิต รวมเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเธอจะสามารถคิดงานสร้างสรรค์ที่มีมูลค่าหลายล้านได้ก็ต่อเมื่อมีคนมารองมือรองเท้าเธอได้อีกทีนั่นเอง

หรือหมายความว่าตัว Andrea ประเมินขอบเขตการทำงานเป็นผู้ช่วยไว้ต่ำเกินกว่าความเป็นจริง เธอกำลังจะต้องดูแล “ตัวแม่” ของวงการแฟชั่น ซึ่ง “ไม่สนรายละเอียดที่ผิดพลาดของเธอ” แต่เธอสนแค่ผลลัพธ์เท่านั้น และเผอิญว่าตัวแม่คนนี้ คือคนที่อยู่จุดสูงสุดของวงการเสียด้วย

“เราได้รับอีเมลลูกตอนตีสอง เงินเดือนก็น้อย ลูกไม่ได้เขียนข่าวด้วยซ้ำ”

เมื่อการศึกษาขอบเขตของงานของ Andrea ต่ำกว่าความเป็นจริง เธอจึงต้องเผชิญกับอุปสรรคและการตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้ง เมื่อเธอพยายามเอาตัวเองเข้าไปสู้กับระบบ ใช้เพียงความขยันและอดทนเข้าไปจัดการ แต่นั่นก็ยังกลับไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่เธอยังขาดไป คือความแวดไว และรู้ให้รอบทั้งอุตสาหกรรมนั่นเอง ปัญหาที่เธอจัดทำคิวพลาดไม่ตรงกับสภาพอากาศ จนทำให้ Miranda พลาดการกลับมาดูการแสดงของลูก ๆ ของเธอ กลายเป็นเรื่อเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับการโยกย้ายแย่งชิงตำแหน่งในอุตสาหกรรมที่เธอต้องถูกลากไปพัวพันในช่วงต่อมา

“ฉันหาคนมาแทนเธอได้ภายใน 5 นาที คนที่อยากทำงานนี้” ประโยคสุดเจ็บปวด และปลุกให้สาวน้อยจบใหม่ ที่คิดว่าโลกจะต้องหมุนรอบความอุตสาหะของเธอ ต้องมองให้เห็นว่า “โอกาส” ในโลกทุนนิยมนั้นมีจำกัด หากเธอไม่ยอมลด ปรับ เปลี่ยนตัวเอง หรือสู้เพื่อให้ได้ไปต่อในอุตสาหกรรมที่เธอกำลังทำงานด้วย เธออาจจะกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลังทันที

และความผันผวนนี้ ใช่ว่าจะโหดร้ายแต่กับตัวเธอเท่านั้น แม้แต่ตัวแม่ของเรื่องอย่างตัว Miranda เอง ก็หนีไม่พ้นการต่อสู้นี้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่ Andrea คนเดียวที่ต้องยอมเก็บความเจ็บปวด และชีวิตส่วนตัวที่พังพินาศเอาไว้เบื้องหลัง ต้องสวมแว่นปั้นรอยยิ้มเพื่อสู้ให้อยู่บนจุดสูงสุดต่อไป ตัวแม่เองก็ต้องทำในสิ่งเดียวกันเพื่อให้ได้ไปต่อ แม้จะต้องเหยียบใครก็ตาม คำถามจึงกลับมาที่ตัว Andrea เอง ว่าเธอจะเลือกอย่างไรต่อไป

หากส่องดูในแง่มุมที่ลึกยิ่งขึ้น นักแสดงผู้รับบท Andrea Sachs คือ Anne Hathaway ซึ่งก่อนหน้าที่เธอจะรับบทนี้ เธอเป็นสาวน้อยที่ค่าย Disney ใช้เธอเป็นภาพแทนของเจ้าหญิงมาอยู่หลายเรื่อง และประสบความสำเร็จอย่างมากจาก The Princess Diaries ถึงสองภาค เรื่องราวของโลกยังคงสดใสให้กับเจ้าหญิงอยู่เสมอในตอนจบ แต่เมื่อเธอมารับบทนี้ในภาพยนตร์ The Devil Wears Prada มันก็เป็นเหมือนการพาผู้คนที่คุ้นชินกับความสดใสในแบบฉบับเจ้าหญิง ให้ต้องกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม การมีความประพฤติในลักษณะของ Toxic Bossy หรือเจ้านายโรคจิตจู้จี้ของ Miranda Priestly ก็เป็นที่ถูกตั้งคำถามในยุคสมัยใหม่มากเช่นกัน การว่าจ้างให้ทำงานเกินขอบเขตที่ตกลงกัน การทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม และมีสภาวะแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้อีกแล้ว

แต่นั่นก็อาจจะไม่ได้ทำให้ความโหดร้ายของอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูงนั้นลดลง เพราะในยุคปัจจุบัน นิตยสารแฟชั่น ก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบตีพิมพ์แบบในช่วงปี 2007 อีกแล้ว หาก Andrea Sachs จะต้องเดินเข้าไปในสำนักพิมพ์อีเลียสคลาร์ค ในช่วงปัจจุบัน ตำแหน่งของเธอ อาจจะต้องเติบโตในลักษณะที่ต่างออกไป

พวกเขาอาจจะหาคนมาแทนเธอได้ไวกว่า 5 นาที

CREATED BY

นักคิด นักเขียน นักสร้างคอนเทนต์ ตัวปัญหาของกระแส ชาวเกย์ผู้แปลกแยก และนักเล่าเรื่องในรูปแบบที่แตกต่าง หลงใหลวัฒนธรรม Pop ทั้งหนังสือ ภาพยนตร์ ซีรีส์และดนตรี และยังเป็นผู้กำกับอิสระ นักดนตรีและนักแต่งเพลง รวมถึงแอดมินเพจที่ประสบความสำเร็จในโซเชียลอีกด้วย เก่งซะไม่มี