“กีตาร์อยู่กับผมมาตั้งแต่แรกและอยู่มาตลอด
คือรักแรกและรักเดียว
เหมือนกับว่าเราหลงรักเขาไปแล้ว ไม่รู้จะเลิกรักเขาได้ยังไง”

“เราเห็นกีตาร์ครั้งแรกน่าจะประมาณป.2 เป็นกีตาร์ของญาติ ก็ไปแอบหยิบมาดีด ๆ เล่น ๆ แล้วมันก็โป๊ะ สายขาด!!! เราเลยแอบเอาไปซ่อนแล้วก็ไม่กล้าหยิบออกมาเล่นอีกเลย เพราะทำของเขาพังไปแล้ว … กีตาร์เข้ามาในชีวิตอีกครั้งตอนป.6 ผมเป็นเด็กหลังห้องครับ คือตั้งใจเรียนนะ แต่นั่งอยู่หลังห้อง แล้วมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้างหน้าเรา พี่ชายเขาเล่นดนตรี เขาจะเอารูปถ่ายมาอวดว่าพี่ชายเขาไปประกวดที่นั่นมา ประกวดที่นี่มา แล้วก็เอานิตยสารฉบับหนึ่งชื่อว่า The Guitar Mag มาโชว์ ตอนนั้นเราก็เลยเปิดอ่านดู อ่านไปอ่านมาไปเจอกีตาร์ตัวหนึ่ง คือ กีตาร์ไฟฟ้าเป็นรูปกระต่ายสีขาว
ผมก็โอ้โห!!! กีตาร์อะไรทำไมสวยจังเลย ทำให้เราเริ่มหลงใหลใน shape ในคำว่ากีตาร์ จากการที่ได้มองผ่านรูปก่อน”
แล้วความสุขของมายกับกีตาร์ล่ะ!!!
แววตาของคู่สนทนาจะบอกความรู้สึกกับเรา ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร คำ ๆ นี้ไม่เกินจริง
“กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่พาให้ผมมาอยู่ในวงการบันเทิง พอเราชอบดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ เริ่มจากกีตาร์ เราก็เริ่มสนใจดนตรี สนใจแฟชั่นเกี่ยวกับดนตรี ทำให้เราอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเพลง ไปเป็น DJ เริ่มเข้ามาในลูปที่คนเห็นหน้าเราเยอะขึ้น เริ่มไปแคสงาน เคยมาอยู่ที่แกรมมี่ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นวงการบันเทิงในเวย์อื่น ๆ เยอะมากขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่พัฒนาเรามาจนถึงตอนนี้

กีตาร์อยู่กับผมมาตั้งแต่แรกและอยู่มาตลอด อย่าง AUTHENTIC MILE FIRST SOLO CONCERT แน่นอนว่าต้องมีกีตาร์ที่ represent ตัวเรากับซีนต่าง ๆ ในโชว์ที่แตกต่างกันออกไป ถ้าเป็นโรแมนติกจะเป็นกีตาร์โปร่ง หรือถ้าซีนเซ็กซี่ก็จะเป็นการโซโลกีตาร์ ผมมีความสุขกับการที่ได้เล่นในโชว์ การเอนเตอร์เทนเพื่อให้คนที่มาดูเรามีความสุข เป็นอีกหนึ่งความสุขที่เราชอบมาก
เราถามถึงเวที 28 ปี LOSO We Are The Rock And Roll Concert กับการเป็น Guest ของ LOSO ที่ผ่านมา
“พี่เสกเป็นศิลปินที่ผมพูดได้เต็มปากว่าเขาคือ King of Rock and Roll ของเมืองไทย แล้วยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีไทยเยอะมาก ในมุมของผลงาน ในมุมของการเขียนเพลง เพลงของพี่เสกมีความหมาย เข้าใจง่าย และซื่อตรง ผมว่าใครที่ได้ฟังจะได้รับความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมตรงนั้นเข้าไปเต็ม ๆ ดีใจมากครับที่ได้ไปขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ครบรอบ 28 ปีของโลโซ เป็นการทำงานที่สนุก ทีมโลโซน่ารักทุกคน” (ยิ้ม)


เราถามมายว่า มายชอบกีตาร์ตัวไหนมากที่สุด มายตอบว่าเป็นคำถามที่ตอบยากมาก โคตรยากเลย แปลได้ว่า ยากจริง ๆ 🙂
“แต่ถ้าต้องใหเลือก ก็จะเป็นตัวที่เล่นประจำตัวนี้” มายชี้ไปที่กีตาร์ไฟฟ้าสี Olive Green ที่ถือมาด้วย
“เขามีความ overall ทั้งในด้านความหมายและเป็นลุคที่เราชอบมาก ๆ เป็นตัวที่ผมรู้สึกว่าลุคมันใช่ โทนมันใช่ ไม่แรงไป มีความวินเทจและยังอยู่ในกลิ่นของซาวด์สมัยใหม่ที่เอาไปใช้งานได้”
ตลอดระยะเวลาในชีวิตที่เดินทางมา กีตาร์เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่สุด เราหลงใหลในกีตาร์ที่สุด เหมือนเราหลงรักเขาไปแล้ว เราก็ไม่รู้จะเลิกรักเขายังไง ส่วนเครื่องดนตรีอื่น เราอาจจะได้มีโอกาสทำความรู้จักเขา แต่อาจจะไม่ได้ Fall in Love ในเชิงของการเล่น แต่ถ้าในเชิงของการเสพ การฟัง แน่นอนว่าเราเป็นคนที่ชอบดนตรี ไม่ว่าจะเป็นซาวด์เปียโนหรือว่าซาวด์ดีไซน์จากเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บางอย่างก็เข้ามากินใจเราเหมือนกัน แต่ในมุมของการเล่นหรือการสะสมหรือการอะไรก็ตามในเชิง physical กีตาร์อยู่กับเรา เขาคือรักแรกและรักเดียวประมาณนั้น” (ยิ้ม)

That Cherished First Guitar of ‘MILE’
“ยังอยู่ครับ” เราถามถึงกีตาร์ตัวแรกในชีวิตของมาย
“ตั้งแต่ที่เราเห็นกีตาร์สีขาวรูปกระต่ายในหนังสือ The Guitar Mag กีตาร์สีขาวตัวนั้นก็เริ่มเข้ามาในหัวแล้ว จำได้ว่าพอโรงเรียนเลิกช่วง 3-4 โมง ตอนที่กำลังรอคนมารับอยู่ที่หน้าโรงเรียน เราก็จะบ่นกับตัวเอง พูดกับตัวเองว่า “อยากได้กีตาร์สีขาวจังเลย” แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่าหญิงใหญ่ เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูประมาณว่า “เล่นไม่เป็น ยังอยากจะได้อีก” เราก็เหวอเลย ตกใจ เครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด การเล่นกีตาร์มันจะยากเย็นอะไรขนาดนั้น ทำไมเพื่อนเราพูดขนาดว่าเล่นไม่เป็นยังอยากจะได้อีก พอกลับถึงบ้านเลยเข้าไปหาแม่ ไปขอซื้อ ตอนนั้นเรายังเด็ก แค่ป.6 เอง แล้วเรียนอยู่ที่กาฬสินธุ์ ไม่ได้หาซื้อง่าย ๆ … พอขอแม่ซื้อ แม่บอกว่าโอเค แม่จะซื้อให้ ถ้าสอบเข้าม.1 ได้ แลกกันนะ เราก็สบาย สอบเข้าที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) ได้ เลยได้กีตาร์ตัวแรกมา คือ กีตาร์คลาสสิกรุ่นยอดฮิตซึ่งส่วนใหญ่หลาย ๆ คนที่ชื่นชอบกีตาร์ก็น่าจะเริ่มต้นจากตัวนี้”


“ส่วนเพลงแรก ๆ ที่ผมเล่น เป็นเพลงที่ครูสอนกีตาร์สอน คือ เพลงค้างคาวกินกล้วย ตือตื่อดือ ตื่อดือ … (แล้วก็ฮัมเพลงให้เราฟัง ^_^) แต่ถ้าเป็นเพลงที่เล่นจบแบบหล่อ ๆ เลยนะ เป็นเพลงของวง Potato ไม่ให้เธอไป เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบ MV มาก MV สวย ความรู้สึกได้ แล้วก็อินมาก ตอนนั้นอยู่ป.6 รู้จักอินกับความเหงาแล้วนะ ผมรู้สึกว่าอยากเล่นเพลงนี้ พอดีว่าน้องชายของครูที่สอนกีตาร์เขาเป็นนักดนตรีกลางคืน มาบอกกับเราว่าจะสอนเราเล่นเพลงเพลงหนึ่ง ถามเราว่า เราอยากเล่นเพลงอะไร ก็เลยบอกไปว่าเพลง “ไม่ให้เธอไป” เขาเลยสอนให้ เราตั้งใจมากเพราะเราอยากเล่นได้จริง ๆ สอนประมาณ 2 วัน เราก็เล่นได้ หลังจากนั้นก็ซัดเพลงนี้ทั้งวันทั้งคืนเลย” (ยิ้ม)
The Guitar Masters Who Fueled ‘MILE’ Passion
“โห!!! เยอะมากเลย”
“ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา หรือลูปในการฟังเพลงของเรา เริ่มต้นมาเราเริ่มฟังเพลงไทยก่อน มือกีตาร์ช่วงแรก ๆ ในชีวิตก็คือ ‘พี่วิน โปเตโต้’ หลังจากนั้นวันเวลาก็พาเราไปรู้จักมือกีตาร์อีกมากมายทั้ง Grammy ทั้ง RS เราแกะเพลงเยอะมาก แกะไปเรื่อย ๆ จนทำให้เรียนรู้ว่ากลิ่นของเพลงไทยจะเป็นประมาณนี้
พอเริ่มเรียนชั้นม.2 ก็แอบไปเรียนดนตรี ทำให้รู้จัก Blues, Rock, Progressive Rock รู้จัก Dream Theater (วงดนตรีโพรเกรสซิฟเมทัลชาวอเมริกันระดับตำนาน) ความซับซ้อนในการฟังเริ่มเพิ่มมากขึ้น รู้จักว่า John Peter Petrucci คือคนนี้นะ (จอห์น ปีเตอร์ เปตรุชชี ผู้ก่อตั้งวงดนตรีโพรเกรสซิฟเมทัล ดรีมเทียเตอร์) เราเริ่มเข้าสู่ลูปของ Rock Metal ทั้งหลาย รุ่นพี่ฟังเพลงวง Trivium เราก็ฟังตาม รู้สึกว่ามันดี มันเจ๋ง” (ทริเวียมเป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลอเมริกัน)

“ช่วงที่เริ่มเปลี่ยนจริง ๆ คือช่วงม.4-5 เราย้ายมาเรียนเตรียมอุดมฯ ที่กรุงเทพฯ มีเพื่อนของเพื่อนเป็นเด็กสวนกุหลาบเอาเพลง Neon ของ John Mayer มาเปิดในห้องคาราโอเกะ พอเราได้ยินทำให้เราเปลี่ยนเทสในการฟังเพลงของเราไปเลย ฟีลเป็นกีตาร์โปร่ง ตึ่ง ตึ่ง แต่ก แต่ก คนละฟีลกับเพลงที่เราฟังมาทั้งหมดใน 4-5 ปีที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า John Mayer คือคนแรกที่เป็น inspiration จริง ๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นแนว Blues Rock อย่าง SRV (Stevie Ray Vaughan – สตีวี เรย์ วอห์น) อีกคนที่ผมชอบมาก ๆ ก็คือ Philip Sayce (ฟิลิป เซย์ซ นักกีตาร์ นักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง และโปรดิวเซอร์ชาวเวลส์)
ส่วนในเมืองไทยก็มีเยอะเหมือนกัน อาจารย์หนึ่งวินัย (วินัย ไตรนทีภักดี) กับ พี่แจ็ค (ธรรมรัตน์ ดวงศิริ) ถือเป็น inspiration ที่ผมเคยไปเรียนด้วย ถ้าเป็นรุ่น ๆ ผมว่า The Toys น้องเขามีฝีมือจัดจ้าน คาแรคเตอร์ชัดเจน แต่ถ้าพูดถึงมือกีตาร์ที่ผมชอบในปัจจุบันมี 2 คน คือ มีน ไททศมิตร กับ ก้อง H3F ลายเซ็นชัด สำเนียงชัด ทั้งซาวด์และวิธีการเล่น”
แล้วถ้ามีโอกาสได้ feat. กับใครสักคนบนเวทีล่ะ
“จอห์น เมเยอร์ครับ” คำตอบของมายพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“แต่ถ้าเป็นศิลปินไทย “ผมอยากเล่นกับวงคาราบาว” ผมชอบวิธีการนําเสนอความหมายผ่านเพลงคาราบาว ผมฟังเพลงคาราบาวมาเยอะมาก คอนเสิร์ตครั้งล่าสุดผมก็ไป ผมชอบเพลงเพื่อชีวิต ชอบเพลงที่ไม่ได้พูดถึงภาพเล็ก ๆ ของแค่ความรู้สึกเล็ก ๆ ผมชอบเพลงที่ทำให้คนรับสาร คนเสพสารรู้สึกว่าได้อะไรกับชีวิต เพลงของคาราบาวเป็นเพลงที่มีความหมาย ถ้ามีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งในการอยู่ในเพลงกับศิลปินสักคนคงเป็นคาราบาว”

‘MILE’ Dream and A Part of ‘MILE’ Life
เราทุกคนมีความฝันในวัยเด็ก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำตามสิ่งที่ฝันไว้ได้สำเร็จ เพราะความฝันที่ว่า “เราอยากโตมาแล้วเป็นอะไร” “อยากโตมาแล้วทำอะไร” อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการฟุ้ง ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเราเติบโตขึ้น “ความฝัน” มักจะถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ตามบริบทของสังคม ตามสิ่งที่พบเห็นระหว่างทาง ความฝันของมายก็เช่นกัน…
“ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นวิศวกรโยธาครับ”
ความฝันของเด็กชายภาคภูมิ ร่มไทรทอง
“จำได้ว่ามีญาติที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้างถนน เขาพาเรากับลูกของเขาไปเที่ยวฝาย เราเห็นพัฒนาการตั้งแต่พื้นที่ตรงนั้นเป็นดินลูกรัง แล้วเห็นไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสมบูรณ์ เราเลยคิดว่ามีอาชีพไหนที่สามารถทำให้บ้านเมืองเราที่กาฬสินธุ์เจริญเติบโต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก เราก็คิดอยากสนุกด้วยนะ เลยคิดอยากเป็นวิศวกรโยธา
พอเริ่มเรียนม.4 ที่กรุงเทพฯ เรารู้สึกว่า vibe มันเปลี่ยนไป ตอนที่ยังเรียนม.ต้น เราไปโรงเรียน เรียนห้องคิงส์ ได้คะแนนดี มีเพื่อนสนิทหลายคน เล่นดนตรีกัน มีกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ตลอด พอย้ายโรงเรียนเรายังปรับตัวไม่ได้เอง เราเรียนเยอะมากขึ้น วิชาที่เรียนเข้มข้นมากขึ้น เริ่มเกิดอาการ homesick พอเราเริ่มไม่เข้าเรียนมาก ๆ เริ่มตามไม่ทัน อะไร ๆ เริ่มรวน ทำให้เราเริ่มแยกออกไปอยู่กับตัวเอง เริ่มคุยกับตัวเองเยอะขึ้น เริ่มเห็นธรรมชาติของผู้คนมากขึ้น”

“สมัยก่อนผมชอบไปนั่งอยู่คนเดียวที่ป้ายรถเมล์บ้าง สวนสาธารณะบ้าง หรือตามที่ ๆ มีคนเดินผ่านไปผ่านมาทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ นั่งอย่างมีสติ นั่งดูพฤติกรรมของคน คุยกับคนแปลกหน้าบ้าง คนยุคก่อน ๆ มีความคาริสม่าสูงมาก มีหลายคนที่พูดคุยกับผมทั้งที่เราไม่รู้จักกัน บางคนเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เราฟัง ผมไม่มีเหตุผลในการทำอะไรแบบนี้ในตอนนั้น”
วันเวลาทำให้เราเติบโตขึ้นพร้อมกับการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ จากรั้วเตรียมอุดมฯ สู่รั้วเหลืองแดงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับเวที TU Sexy Boy ที่ทำให้ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องต่างพากันเปิดวาร์ปหากันใหญ่ว่า ‘มาย ภาคภูมิ’ เป็นใคร มาจากไหน
ผมว่าความฝันของคนเรามีหลายเลเยอร์
ความฝันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตก็เป็นแบบหนึ่ง
ความฝันเกี่ยวกับเรื่องดนตรีก็อย่างหนึ่ง
และผมยังคงมีความฝันอยู่

“ผมเคยคิดอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนนะ แต่ไม่ได้หมายถึงเราต้องยิ่งใหญ่หรืออะไร ผมแค่รู้สึกว่าการเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนที่เขากำลังสับสนหรือ lost หรือการที่ได้ทำให้ใครสักคนหนึ่งที่กำลังเป๋ไปทางไหนทางหนึ่ง ให้เขากลับมา center อยู่ตรงจุดที่ balance ได้ นี่คือสิ่งที่เราอยากทำ แล้วเราก็ทำได้แล้ว (ยิ้ม)
ในวันนี้ที่มีคนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น ทั้งอินเตอร์แฟน น้อง ๆ ที่ยังอายุน้อย ๆ หรือพี่ ๆ ที่อาจจะอายุ 40 ขึ้น ผมสังเกตจากการ์ดที่เขาเขียนมาหา หรือว่า feedback ในเวลาที่เขาส่ง DM มาถึง ผมอ่านเรื่อย ๆ นะ อาจจะตอบบ้างหรือไม่ตอบบ้าง สิ่งที่เราเห็นก็คือสิ่งที่พวกเขาสะท้อนมาว่าเราเป็น inspire ให้พวกเขาได้ นี่คือความฝันอย่างหนึ่งของผมที่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ผมทำมันได้และอยากจะทำต่อไปเรื่อย ๆ ครับ”

‘MILE’ Story of Pushing Through Bad Day
“เคยเจออะไรยาก ๆ มั้ย”
“โห เยอะเลยครับ”
“ยิ่งเป็นที่รู้จักเยอะ ยิ่งเป็นความคาดหวังของคนมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ยาก ต่อให้เรามี mindset ที่ว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบได้ หรือว่าไปเปลี่ยนความคิดใครได้ ที่เขาบอกว่ายิ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วชีวิตยิ่งยาก ผมว่ามันยากตรงความคาดหวังนี่แหละ”

“ง่าย ๆ ก็คือปล่อยวาง ช่างมันเนอะ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทำไม่ค่อยได้ พูดง่าย แต่ทำยากมาก เพราะเราเป็นคนแคร์คนอื่นแล้วเราก็คิดละเอียด วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ เราพยายามหยุดกับการ input อะไรต่างๆ หยุดเล่นมือถือแป๊บนึง หยุดการถามความเห็นจากคนอื่นเยอะ ๆ ในเวลาที่ปัญหานั้นกำลังเกิดแป๊บนึง พยายามหายใจเข้าลึก ๆ แล้วอยู่กับตรงนี้ ตรงปัจจุบัน กลับมาอยู่กับตัวเอง กลับมาคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น best case คืออะไร worst case คืออะไร ผมทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้น ถึงปัญหาหรือเรื่องที่กำลังเครียดจะไม่หายไป แต่สุดท้ายแล้วมันก็ดีขึ้น”

“ผมโชคดีที่ครอบครัวของผมเขาน่ารักแล้วอยู่ข้างหลังเราเสมอ ไม่ว่าเราล้มหรือเจออะไรหนักๆ แต่ถ้าเจอเรื่องที่ไม่หนักหนา ผมจะไม่ค่อยบอกเพราะกลัวเขาเป็นห่วง ก็จะใช้วิธีแบบงีบหน่อย จังหวะที่เรานอนเหมือนเป็นการ reset ตัวเราเอง ไม่ก็เปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนโฟกัส หรือที่เขาบอกกันว่าให้กำหนดลมหายใจ เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจหรอก แต่พอถึงเวลาที่เราลองทำ พอกำหนดให้ลมหายใจเข้าออกเป็นลมหายใจที่เข้าออกจริง ๆ สิ่งที่มันกำลังฟุ้ง สิ่งที่กำลังเครียด ทุกข์เว่อร์ ๆ มันจะดีขึ้น ธรรมชาติจิตของคนเราโฟกัสได้เพียงเสี้ยววินาที และโฟกัสได้ทีละอย่าง พอเราถูกบังคับให้มาโฟกัสกับลมหายใจ อะไรที่กำลังฟุ้งอยู่ มันก็จะหายไป
ผมเรียนรู้วิธีนี้มาจากตอนที่เคยได้คุยกับคนเยอะ ๆ มีอยู่คนหนึ่งเขาพูดเรื่องกำหนดลมหายใจ แล้วผมก็ทำตามตอนที่เขากำลังพูดเลย เรารู้สึกว่าเราดีขึ้น หลังจากกลับบ้านพอเจอปัญหาเราก็เลยใช้วิธีนี้ เออ!!! มันช่วยได้นี่หว่า
แต่สุดท้าย ผมว่าทุกคนน่าจะมีเทคนิคของตัวเอง สำหรับผมพออายุเริ่ม 30 บวก ผมว่าการที่เราจูนทุกอย่างมาอยู่บนความพอดี อยู่ตรงกลางทางสายกลาง ผมว่ามันทำให้เรามีความสุขง่าย แล้วก็เดินไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น”


The Art of Happiness in ‘MILE’ Moment
“กีตาร์ นาฬิกา แผ่นเสียง แก้วไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์”
“เรานิสัยเสีย เวลาเราทำอะไรชอบไปให้สุด เป็นเหมือนเป็ดไปให้มันสุด พอถึงจุดหนึ่งเราก็จะถอยกลับออกมา เราไม่ถึงขั้น expert แต่ว่าเราจะเข้าใจโครงสร้างแล้วถอยกลับมา นิสัยเราเป็นอย่างนี้
สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ถ้าเราวางมันไว้ มันจะสวยหมด กีตาร์สวย นาฬิกาสวย แก้วสวย ขวดแอลกอฮอล์สวย สตาร์ทจากความสวยก่อน พอไปสัมผัสเขา เราจะเจอสิ่งถัดมา คือสิ่งที่เขาให้รูป รส กลิ่น เสียง อะไรก็ว่าไป แล้วค่อยมาเป็นเรื่องราว”

“story หลอกเราได้ทีหลัง ทุกอย่างที่ผมพูดไปจะเป็นเหมือนจรวดค่อย ๆ ขึ้น story คือดอกสุดท้ายทำให้ passion ในเรื่องนั้นไปแรง เหมือน first impression ผมชอบอะไร สวย ๆ งาม ๆ ผมรู้สึกว่าถึงวางไว้เฉย ๆ อีกสิบยี่สิบปี เราหันมามองก็ยังดูเหมือนเดิม มันมีความ complex และผมว่าทุกอย่าง คือ งานศิลปะ
เราชอบเสพงานอาร์ต แต่งานอาร์ตเราดันไปอยู่ในเวย์พวกนี้ กีตาร์ก็เป็นงานอาร์ต เขาจะมีเรื่องราวของเขา มีรูปร่างของเขา ยกตัวอย่างเช่น กีตาร์จะมีการนำมา relic ให้เก่า หรือ ทำสีให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ซึ่งมีเยอะมาก หรือ อย่างตู้แอมป์กีตาร์พวกนี้มีเสน่ห์ทั้งหมดเลย ให้เสียงที่เป็น personal มาก ๆ ตู้แอมป์กีตาร์แบบวินเทจให้เสียงที่ตู้แอมป์ยุคใหม่ทำไม่ได้จริง ๆ มันมีเซ้นส์บางอย่าง มีโทนเสียง มีคาแรคเตอร์ของเสียง มีความเฉพาะตัวบางอย่างที่ถูกจริตกับเรา”

“ถ้าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ วิธีการทำให้ enjoy เหมือนเราเข้าใจว่ามันได้ top nose รึเปล่า หรือเราไม่ต้องมีหลักการอะไรเลย เราดื่มแล้วรู้สึกว่าเขาให้จินตนาการอะไรกับเรา รัมก็แบบหนึ่ง วิสกี้แบบหนึ่ง เบอร์เบิ้นก็แบบหนึ่ง จินก็แบบหนึ่ง แบบนี้เป็นต้น เราก็เลยเสียเวลากับพวกนี้เยอะหน่อย แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้สนับสนุนให้ดื่มตามนะครับ (ยิ้ม)”
Vintage is ‘MILE’
“วันนี้แต่งตัวมาก็จะติดวินเทจนี้หน่อย ผมว่าความวินเทจมีเซ้นส์ของความไร้กาลเวลาอยู่ครับ มีเซ้นส์ของความมีคาแรคเตอร์ในแบบของตัวเองอยู่ ไม่ได้ต้องวิ่งตามใคร ไม่ได้ต้องเทรนด์เปลี่ยนแล้วฉันต้องเปลี่ยน แต่ฉันจะเปลี่ยนเมื่อฉันต้องการเปลี่ยน ความวินเทจมันคือตรงนี้
ผมว่าคล้าย ๆ นิสัยของผม จริงๆ แล้วตัวตนเรา 100% ไม่ใช่เป็นคนที่ตามเทรนด์ แต่เราต้องศึกษาเทรนด์เพื่อทำงาน หรือว่าเปลี่ยนลุคเพื่อตามเทรนด์ในฐานะนักแสดง ในฐานะพรีเซนเตอร์แต่ลึก ๆ แล้วตัวตนจองเรา เรารู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร”


“ถ้าเป็นในเรื่องของเพลง ผมนึกถึงเพลงชื่อ Lenny ของ Stevie Ray Vaughan (SRV) จะพูดถึงกีตาร์ซาวด์เก่า ๆ หน่อย และ ชัด ๆ หน่อย มีความบลูส์ แต่ว่าโทนกีตาร์คือเสียงที่ผมกำลังอธิบายอยู่ เสียงกีตาร์วินเทจจะเป็นประมาณนี้”
Green → Rose → ‘MILE’ → Greeny Rose
ทำไมถึงชอบสีเขียว ???
“ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบสีอะไร แต่ก็คงชอบมากเพราะเขียวหมดทุกอย่าง ผมเคยถามตัวเองนะ แต่ก็หาคําตอบไม่เจอ ย้อนกลับไปรู้แค่ว่าตุ๊กตาเด็ก ๆ ที่เราไปขอเขามา หรือที่เราเลือกมาก็เป็นสีเขียว คือ ตุ๊กตาชินจังครับ เด็กๆ ชอบชินจังใส่เสื้อเขียว หรือแม้กระทั่งกีตาร์ตัวแรกที่เป็นไฟฟ้าที่เราแอบซื้อก็ไปยังเป็นสีเขียว ตู้แอมป์ตัวแรกดูเสียงไม่เป็นเลือกจากลุคก่อนก็ผ้าสักหลาดสีเขียว ทุกอย่างเขียวไปหมดเลย”


“ผมว่าสีเขียวเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสบายใจสบายตา ในขณะเดียวกันก็มีความเท่อยู่นั้นด้วย เหมือนหนุ่มวัยรุ่นตอนกลาง ๆ เริ่มมีอายุ มีความสุขุม มีความเท่ มีความชาร์ปอยู่แต่นิ่ง ไม่ลั่น ความเจ๋งของสีเขียวคือเฉดเยอะมาก เขียวที่ผมชอบที่สุดคือโอลีฟกรีน สีเขียวมะกอกกับบริติชกรีนก็คือสีเขียวอังกฤษ เหมือนพวกรถ MINI รถ BMW เป็นเฉดอย่างนั้น racing green คือ 2 เฉดที่เราชอบ นี่คือเสน่ห์ของสีเขียวสำหรับผม”
เล่าเรื่อง Greeny Rose ให้เราฟังหน่อย
“เจ้าดอกกุหลาบสีเขียว” แทนความสุขุม ความช้า ความใจเย็นในการตัดสินใจอะไรบางอย่าง เห็นเขาแล้วรู้สึกปลอดภัย รู้สึกสบายใจ ทำไมมันต้องเป็นดอกกุหลาบ เพราะดอกกุหลาบเป็นตัวแทนของความรู้สึกรักและหลงในเวลาเดียวกัน คือ Love and Passion ที่ส่งให้กัน พอเอา 2 อย่างมารวมกันก็คือ Greeny Rose แต่ต้องมีข้อแม้ว่าดอกกุหลาบที่ยื่นให้กันต้องเป็นดอกกุหลาบที่ยอมลดหนามซึ่งกันและกัน”


“ดอกกุหลาบที่ยอมลดหนาม คือ จะ compromise กับผู้รับและผู้ให้ และ 2 คนจะมีความสุข Greeny Rose จึงเป็นดอกกุหลาบสีเขียวที่ยอมปลดหนามอีโก้ของตัวเอง ดังนั้นความหมายของผม คือ แฟนด้อมอย่ามาทะเลาะกันเอง หรือว่าเรามีอะไร เราคุยกันแล้ว ความสัมพันธ์ในเชิงของแฟนคลับจะ ongoing ไปได้ตลอด”
ความหมายลึกไปมั้ยครับ มายยิ้ม ๆ ถามกลับมาที่เรา แล้วเล่าต่อถึง 3 ปีกับความประทับใจที่มีต่อ Greeny Rose
“ผมว่ามันคือการ give and take คือความสุขซึ่งกันและกัน ตามสิ่งที่ผมพยายามบอกทุกคนตลอด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาเจอกัน เป็นจังหวะชีวิตที่ดี แล้วการที่เราได้อยู่ด้วยกัน ต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ การหล่อเลี้ยงไม่ใช่การมาเพื่อเอาหรือมาเพื่อให้อย่างเดียว นั่นคือสิ่งที่ผมเรียกว่า give and take เหมือนลูกข่างที่หมุนไปเรื่อย ๆ เราเห็นความสนุกสนาน พัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่ผมเห็นมาตลอด อะไรที่เราทำให้เขาได้ น่ารักกับเขาได้ ทำงานดี ๆ ให้เขาได้ ให้เกียรติเขาตลอดเวลาเท่าที่เราให้เกียรติได้ อะไรที่เราทำได้ เราทำหมด”

“ในขณะเดียวกัน Greeny Rose ก็ส่งความรู้สึกดี ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ มาให้กับเรา การเอาตัวมางาน การส่งความรู้สึกดี ๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย บางคนไม่อยู่ที่ไทย อยู่ต่างประเทศ โพสต์ให้กำลังใจ ผมรู้ว่าพวกเขายังอยู่ตลอด แต่ก็มีที่เฉาบ้าง บางดอกหายไป แต่ดอกใหม่เกิดขึ้นมา”
“สุดท้ายอะไรก็ตาม ผมต้องขอบคุณทุกคน ขอบคุณแฟนคลับ ขอบคุณ Greeny Rose ทุกคนที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ ร่วม give and take กันมาตลอด ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ขอบคุณเลย อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้ดี ๆ อยากให้เทคแคร์ดูแลทั้งหัวใจ สุขภาพใจ สุขภาพกายให้ดี ทั้งของเราและคนใกล้ตัวครับ”
‘MILE’ Present is The Best Present
“การได้มีชีวิตอยู่ตอนนี้คือของขวัญกล่องที่ใหญ่ที่สุดแล้ว”
“การที่เราเป็นเรา มีชีวิตอยู่ตรงนี้ คือสิ่งที่เราแกะมาแล้วปลื้มใจ แล้วกล่องข้าง ๆ ที่เขาให้เราผ่านชีวิตก็คือเรื่องของครอบครัว เรื่องของแฟนคลับ เรื่องของเพื่อน เรื่องของกิเลสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ แผ่นเสียง สิ่งต่าง ๆ กล่องที่ประกอบรวมกันเป็น Present
ประสบการณ์เป็นเหมือนเม็ดทราย หรือก้อนกรวด ก้อนหินที่มาประกอบกัน The Star ก็เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานในวงการบันเทิง และสิ่งที่ชัดที่สุดคือเราไม่เคยคิดว่าเราต้องมาเป็นดารา พูดถึงตรงนี้แล้วเขินเลย (ยิ้ม) แต่ตอนนี้เราก็ปฏิเสธไม่ได้ เราเองก็ยังเคยแอบงง ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง”

บทสนทนาสุดท้าย เราย้อนถามมายกลับไปถึงบทบาทของคุณคินน์ คุณหนูอารมณ์ร้ายแห่งบ้านตระกูลหลักว่า มายกับคุณคินน์ มีความแตกต่างกันตรงไหน อะไรบ้าง
“คินน์คือไซซ์หนึ่งที่เป็นเรา แล้วไปขยายบางอย่างเพิ่มใส่ให้เขา ความรัก ความหวง ความคิดเยอะกับคนที่เขารู้สึกดีด้วย คินน์กับผมเหมือนกันเป๊ะเลย (หัวเราะ) ทั้งในบท ทั้งการแสดงออก แล้วก็เรื่องเทสของต่าง ๆ เราชอบอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม บ้าน ไลฟ์สไตล์คล้ายกับสิ่งที่เราชอบ แต่สิ่งที่ต่างคือผมก็ไม่เคยไปฆ่าคนนะ (หัวเราะ) อย่างที่สองก็คือผมรู้สึกว่าคินน์มีความเด็กเกินไป เวลาเราเด็ก เราก็เด็กแหละ แต่เราไม่ได้แบบเด็กน้อยขนาดนั้น แต่ในเรื่องเราก็ขยายให้เห็นถึงถึงมุมน่ารักของความเป็นตัวตนของคินน์ครับ”




